บทที่ 3. เผชิญหน้ากับ สามี
ภาวนาเปิดประตูห้องนอนอันกว้างใหญ่โอ่อ่าเข้ามาด้วยใจหวั่นไหว แม้จะรู้ดีว่าเจ้าของห้องหรือจะพูดอีกทีก็คือ สามี ของเธอไม่อยู่ก็ตาม ร่างเล็กเดินเร็วๆ ไปหยิบกระเป๋าออกมาแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็มายืนมองเตียงกว้างอย่างลังเลว่าจะขึ้นไปนอนบนเตียงดีหรือไม่ หรือว่าจะนอนกับพื้นและสรุปแล้วเธอก็เลือกที่จะนอนบนพื้นมากกว่า ภาวนาลากผ้าปูกับผ้าห่มสำรองในตู้ออกมาปูนอนที่มุมห้องตรงประตูกระจกระเบียงซึ่งพอมีแสงสลัวๆ จากแสงจันทร์สาดสิ่งเข้ามา เธอชอบแสงจันทร์มองมองพระจันทร์ในยามค่ำคืนเดือนหงายเพราะมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนไม่โดดเดี่ยว อย่างน้อยๆ ก็มีดวงจันทร์เป็นเพื่อน บางครั้งเธอยังชอบภาวนาขอพรจากพระจันทร์อยู่บ่อยๆ แม้ว่าพรที่ขอนั้นไม่เคยสำฤทธิ์ผลเลยสักครั้งก็ตาม
“พระจันทร์จ๋า ขอให้พราวได้มีความสุขอย่างแท้จริงสักครั้งได้ไหม..” หญิงสาวเงยหน้ามองดวงจันทร์ดวงโตที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้าก่อนจะไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอนเช่นทุกวัน..
รุ่งเช้าภาวนารีบตื่นแต่เช้ามืดเพื่อจะไปซื้อของที่ตลาดกับป้าอร่อยและนึกดีใจที่แพทริกไม่ได้กลับมาเมื่อคืนนี้เขาก็คงไปนอนที่ไหนสักแห่งหรือไม่ก็คงอยู่กับลิซ่าแต่ก็ดีแล้วที่เป็นแบบนั้น หญิงสาวรีบลงไปสมทบกับป้าอร่อยแต่ขณะที่กำลังจะเปิดประตูออกไปนั้นก็เป็นจังหวะเดียวกับประตูถูกเปิดออกมาจากคนที่อยู่ข้างนอกทำให้ภาวนาเสียจังหวะผงะด้วยความตกใจร่างเล็กเซถลาล้มลงไปกองกับพื้น
“ซุ่มซ่าม..” เสียงห้าวฟังดุหงุดหงิดร่างสูงใหญ่ยืนค้ำหัวเธอ ภาวนาเงยหน้ามองเขาอย่างขุ่นใจแต่ไม่พูดอะไรออกมาแล้วพยายามลุกขึ้นแล้วยืดตัวตรงเดินผ่านเขาไปเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ชายหนุ่มมองตามร่างเล็กที่สูงเพียงหัวไหล่ของตนออกไปอย่างไม่พอใจ สายตามองเขาเหมือนไม่มีตัวตน ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนมองเขาแบบนั้นแล้วผู้หญิงอย่างภาวนากล้าดีอย่างไรจึงได้มองเขาด้วยสายตาแบบนั้น
“นี่เธอ หยุดเดี๋ยวนี้” เสียงห้าวเรียกห้วนๆ หญิงสาวจึงหยุดเดินแต่ไม่หันไปมองเดือดร้อนให้คนตัวโตเดินมาข้างหน้าเธอเสียเอง
“ขอโทษฉันด้วย”
น้ำเสียงหาเรื่องอย่างเห็นได้ชัด ภาวนาลอบถอนใจเบาๆ ด้วยความเอือมระอา เธอเคยได้ยินเสียงแบบนี้ของบิดายามที่เรียกจิกมารดานี่เธอจะต้องมาเจอคนแบบเดียวกันกับคนที่เกลียดแสนเกลียดอย่างนั้นหรือ
“ขอโทษค่ะ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วไม่คิดว่าเธอจะเอ่ยปากขอโทษเขาง่ายๆ แบบนี้ แต่มันยังไม่พอสำหรับเขา
“เอ่ยปากขอโทษเฉยๆ แค่นี้เหรอ”
ภาวนากัดริมฝีปากด้านในจนรู้สึกเจ็บ หญิงสาวเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาว่างเปล่าไม่ตอบโต้และไม่สนใจว่าเขาจะเป็นอย่างไรร่างเล็กเดินเร็วๆ ลงบันไดไปโดยไม่เหลียวหลังสร้างความขุ่นเคืองให้กับชายหนุ่มยิ่งนัก
“ยายเด็กบ้าเอ๊ย”
แพทริกสบถตามหลังไปแล้วเดินกลับเข้าห้องปิดประตูอย่างแรง ป้าอร่อยซึ่งยืนรอภาวนาอยู่สะดุ้งตกใจมองตามร่างเล็กที่เดินลิ่วๆ ลงบันไดมาอย่างเห็นใจ
“ขอโทษที่ให้รอนะคะป้า” หญิงสาวยิ้มให้บางๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ เราไปกันเถอะค่ะ”
ทางด้านแพทริกที่เข้ามาในห้องก็ยังคงหัวเสียอยู่ไม่หาย ดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มมองไปที่เตียงกว้างที่มันดูเรียบตึงเหมือนไม่มีใครใช้งานมันแล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“แล้วเมื่อคืนยายมอมแมมนั่นนอนที่ไหน อย่าบอกนะว่านอนบนพื้น” ชายหนุ่มมองเตียงกว้างแล้วกวาดตามองไปรอบห้องก็ไม่พบอะไรผิดปกติไปจากเดิมก็ยิ่งไม่เข้าใจแต่เขาก็ไม่คิดจะสนใจอยู่แล้วว่าเธอจะอยู่อย่างไรในเมื่อภาวนาไม่ใช่เมียที่เขาต้องการมาตั้งแต่แรก ร่างสูงเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบของใช้ส่วนตัวแล้วก็ต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นกระเป๋าใบเล็กที่เก่าแสนเก่าที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นของใครวางอยู่บนชั้นล่างสุดของตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่
ข้างกระเป๋าใบเล็กคือเสื้อผ้าไม่กี่ชุดที่ถูกพับอย่างเป็นระเบียบ มือใหญ่เอื้อมไปหยิบเสื้อผ้าของเธอมาดูอย่างอดไม่ได้ เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่โคร่งเนื้อนุ่มและบางจากการใช้งานแต่ก็ยังคงสะอาดเอี่ยมบ่งบอกถึงผู้เป็นเจ้าของซักถนอมผ้าได้เป็นอย่างดี เสื้อของเจ้าหล่อนไม่มีคราบเหลืองเลยแม้แต่นิดเดียว กางเกงยีนสีซีดเก่ายังคงสภาพที่ดีแม้จะดูออกว่ามันใช้งานมานานปีและยังตัวเล็กนิดเดียวนี่เจ้าหล่อนใส่มันได้อย่างไรกันนะ แพทริกวางเสื้อผ้าของเธอไว้เหมือนเดิมแล้วก็นึกสงสัยว่าภาวนามีชุดชั้นในแบบไหนกันนะ
ไอ้โรคจิต... อยู่ๆ คำนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว
“เฮ้ย ไอ้บ้า แกคิดไปได้ยังไงวะไอ้แพท..”
ชายหนุ่มดุตัวเองหน้าร้อนผ่าวด้วยความละอาย เขาไม่เคยละลาบละล้วงข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของใครมาก่อนเลย แม้แต่เรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนสนิทกันแค่ไหนเขาก็ยังไม่เคยไปค้นรื้อหรือหยิบจับดูข้าวของของกันและกัน แต่ทำไมเขาจึงได้กลายเป็นไอ้โรคจิตมาสำรวจข้าวของส่วนตัวของยายมอมแมมนั่นด้วย แล้วเขาก็ตั้งฉายาหญิงสาวว่า ยายมอมแมม เสียเลย
แพทริกสะบัดศีรษะแรงๆ เพื่อสลัดเรื่องของภาวนาออกจากหัวแล้วหยิบของใช้ของตนเองเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวก่อนจะออกไปรอมารดาเพื่อรับประทานอาหารเช้าพร้อมกันซึ่งเขาจะทำเช่นนี้เสมอจนเป็นเรื่องที่เขาต้องถือปฏิบัติมาตลอดนับตั้งแต่บิดาเสียชีวิตไปเมื่อตอนที่เขาเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นมารดาของเขาโศกเศร้าเสียใจมากนางป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอยู่กว่าสองปีซึ่งช่วงเลานั้นเองที่เขาต้องเข้ามารับช่วงงานต่อจากบิดาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งงานทั้งเรียนก็หนักหนาพอสมควรแต่ด้วยความเป็นคนชอบเอาชนะ เขาจึงฝ่าฟันพาบริษัทผ่านจุดเลวร้ายมาจนยิ่งใหญ่รุ่งเรืองได้อย่างที่ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กหนุ่มอย่างเขาจะสามารถทำได้ และทุกๆ วันไม่ว่าเขาจะทำงานดึกดื่นแค่ไหน จะไปเมาหัวราน้ำอย่างไรตอนเช้าเขาจะต้องกลับมาที่บ้านเพื่อรับประทานอาหารกับท่าน
จนวันนี้ที่เขามีพร้อมทุกอย่างและเลยวัยหนุ่มคึกคะนองมาแล้วเขาก็ยังคงทำงานหนักแต่เรื่องเที่ยวเตร่และเรื่องผู้หญิงก็เป็นสิ่งที่ตามมาเหมือนเงาตามตัว แต่ผู้หญิงที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาก็คือมารดานั่นเอง ซึ่งแพทริกไม่เคยละเลยที่จะเอาใจใส่และดูแลนางอย่างดีมาตลอดแม้บางครั้งคุณเพทายจะค่อนข้างฉุนเฉียวเอาแต่ใจแต่เขาก็ไม่เคยขัดใจมารดาเพราะถือว่าหากทำให้นางสบายใจเขาก็ควรทำเพราะกลัวว่านางจะกลับไปซึมเศร้าอีก
“เมื่อคืนไม่ได้กลับมานอนที่บ้านเหรอตาแพท” เมื่อเห็นหน้ามารดาก็ถามตรงประเด็นทันที
“ผมนอนที่คอนโดครับคุณแม่ บังเอิญว่าพอคุยงานเสร็จก็พากันไปต่อ ผมเห็นว่าดึกแล้วขับรถไม่ไหวก็เลยแวะนอนที่นั่นเลย”
“ไปกับตาเมธเหรอ ช่วงนี้ตาเมธไม่เห็นมาบ้านเราเลยนะ” นางถามถึง เมธัส เพื่อนรักของเขานั่นเอง
“ไอ้เมธมันกำลังเตรียมตัวไปขอสาวแต่งงานครับ”
“อ้าวเหรอ แต่งกับหนูมลรึเปล่า”
“ครับ ก็แต่งๆ กันเสียทีทะเลาะกันจนท้องป่องแล้วยังไม่ยอมลงเอยกันเสียที..”
แพทริกยิ้มๆ เมื่อพูดถึงเมธัสกับ มลฤดี ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่สมัยเรียน จนทำงานก็ยังไม่เลิกทะเลาะกัน แต่ไปๆ มาๆ ก็ปรากฏว่ามลฤดีท้องและคนที่ทำให้เกิดเรื่องก็คือเมธัสซึ่งตอนนี้กำลังตามง้องอนมลฤดีให้ยอมแต่งงานด้วยแต่สาวเจ้าก็ช่างใจแข็งและแสนงอนไม่ยอมลงเอยด้วยเสียที เมื่อคืนเขาจึงต้องเป็นที่ปรึกษาด้านปัญหาครอบครัวให้เพื่อนรักจนดึก
“แล้วว่าแต่เราเถอะ เป็นไงมั่งล่ะ หมายถึงกับแม่ภาวนาน่ะ ลูกว่าเธอเป็นไง”
“โอ๊ย.. แม่ครับ นี่แม่ให้ผมแต่งงานกับเธอเพื่อเอาเคล็ดหรือไงครับ ผู้หญิงอะไรหาความสวยไม่เจอดูแข็งกระด้างผมไม่เข้าใจคุณแม่เลยว่าทำแบบนี้ทำไม ไอ้ที่คุณแม่ทำเขาไม่ได้เรียกว่าแต่งงานนะครับ” แพทริกส่ายศีรษะไปมาแล้วทำหน้าเหมือนกินยาขม
“ก็ใช่ไง งานแต่งที่ไม่ใช่งานแต่ง แต่ให้ทุกคนรู้ว่าเธอเป็นเมียลูกแค่นั้น คิดเหรอว่าแม่จะให้ผู้หญิงที่มีแต่ตัวอย่างแม่ภาวนามาเป็นสะใภ้หรือให้ใช้นามสกุลเรา ไม่ใช่แค่ภาวนานะ แต่หมายถึงผู้หญิงที่ลูกควงๆ อยู่ทุกคนไม่มีสิทธิ์ด้วย”
คุณเพทายน้ำเสียงจริงจังแพทริกจึงยกกาแฟขึ้นจิบเพื่อกลบเกลื่อนไป สองแม่ลูกคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่นระหว่างรออาหารเช้าซึ่งทุกวันคุณเพทายจะต้องมานั่งที่นี่เพื่ออ่านหนังสือพิมพ์หรือไม่ก็เดินออกไปที่สวนดูต้นไม้ใบหญ้า หรือบางครั้งก็จะเก็บดอกมะลิมาร้อยมาลัย แม้คุณเพทายจะไปใช้ชีวิตอยู่สวิสเซอร์แลนด์และอังกฤษตามสามี แต่นางก็ยังคงรักความเป็นไทยและใช้ชีวิตแบบวิถีไทยและสอนให้แพทริกรักในสายเลือดไทยด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่ชายหนุ่มจะพูดภาษาแม่ได้ชัดเจน
“คุณแม่ต้องการอะไรครับถึงได้ให้ภาวนาเข้ามาเป็น เอ่อ เป็นเมียผม คุณแม่ก็น่าจะรู้ว่าเธอไม่ใช่รสนิยมผมเลย”
“แม่แค่ทำตามความต้องการของตัวเองเท่านั้นล่ะ ลูกจะไม่รักไม่อะไรกับแม่ภาวนาก็ไม่เป็นไรนี่ จะโขลกสับจะด่าว่าอะไรก็แล้วแต่ลูก ภาวนาเป็นสมบัติของลูก แพทจะทำอะไรกับเธอก็ได้..” พูดโดยไม่มองหน้าแพทริกส่ายหน้ายิ้มๆ
“ผมไม่เข้าใจ.. แต่ผมคิดว่าคุณแม่คงมีเหตุผลที่มากกว่านั้น อยู่ๆ จะให้ผมทำแบบนั้นกับคนที่ไม่รู้จักได้ยังไง”
“เอาเป็นว่า ภาวนาเป็นลูกของคนที่ทำให้แม่เจ็บปวด เจ็บปางตาย แม่ต้องการแก้แค้นเอาคืนที่แม่ของยายเด็กนั่นทำให้แม่เจ็บแม่อยากให้พวกมันเจ็บเหมือนที่แม่เคยเจ็บ แพทช่วยแม่ได้ไหมล่ะ”
ชายหนุ่มอึ้งไปกับคำพูดของมารดา แม่ลูกสบตากันจริงจัง และสิ่งที่ชายหนุ่มเห็นคือร่องรอยความเจ็บปวดที่ฉายออกมาจากแววตาผู้เป็นแม่ แพทริกถอนหายใจหนักๆ เห็นทีเรื่องนี้เขาก็ต้องช่วยนางจัดการ ใครที่ทำให้คนที่เขารักเจ็บปวดมันจะต้องเจ็บปวดยิ่งกว่า
“ถ้าอย่างนั้นคุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ พวกนั้นจะต้องเจ็บปวดอย่างที่สุด มากกว่าที่แม่เคยเจ็บ”
“ขอบใจมากจ้ะที่เข้าใจแม่”
“เอาเป็นว่า ผมจะไม่ให้เธอได้อยู่อย่างสงบสุขอย่างที่คุณแม่ต้องการแน่นอนครับ”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างให้มารดา สักครู่ยี่สุ่นก็เข้ามาบอกว่าอาหารเช้าพร้อมแล้ว สองแม่ลูกจึงเดินไปที่โต๊ะอาหารซึ่งที่นั่นป้าอร่อยกับภาวนาก็ยืนรอตักอาหารอยู่แล้ว ภาวนาเดินมาตักข้าวใส่จานให้สองแม่ลูกด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม ใบหน้าเรียวมันเล็กน้อย แพทริกปรายตามองหญิงสาวอย่างเห็นขันที่มารดาพาเธอมาเป็นเมียของเขา ความจริงไม่จำเป็นจะต้องให้เธออยู่ในฐานะนี้ด้วยซ้ำแค่พามาในฐานะคนรับใช้หรืออะไรสักอย่างก็ได้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่สนใจภาวนาอยู่แล้ว
“เสร็จแล้วก็ออกไปเสียทีสิ เห็นหน้าแล้วกินข้าวไม่ลง”
ชายหนุ่มตะคอกใส่ภาวนาที่ยืนรอรับใช้อยู่ ภาวนาหน้าซีดเล็กน้อยแต่ก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไร ป้าอร่อยมองตามร่างเล็กไปอย่างเห็นใจ
