บทที่ 2. หน้าที่ (เมีย) วันแรก ..
มือเล็กทว่ากร้านงานนวดเฟ้นเบาๆ ไปตามเท้าเรียวของคุณเพทายกดนวดหนักเบาอย่างระมัดระวัง สร้างความพอใจให้กับคุณเพทายยิ่งนัก ซึ่งนางไม่คิดเลยว่ามือเล็กๆ ของลูกคนที่ตนเกลียดจะทำให้รู้สึกดีและผ่อนคลายมากขนาดนี้ ดวงตางามหลับพริ้มแสนสบาย สบายกว่านวดในร้านสปาที่ไปเป็นประจำเสียอีก
“เสร็จแล้วค่ะ คุณท่านจะให้พราวทำอะไรตรงนี้อีกมั้ยคะ” เสียงนุ่มของภาวนาทำให้คุณเพทายลืมตาขึ้นช้าๆ สีหน้าค่อนไปทางรำคาญ เหมือนว่าหญิงสาวรบกวนเวลาพักผ่อนของนางกระนั้น
“ไปใส่ปุ๋ยต้นไม้ตรงนู้นไป กระสอบปุ๋ยขี้ไก่อยู่ที่ห้องเก็บของตรงนั้นเห็นไหม” นางชี้ไปยังโรงเรือนเล็กๆ ที่บ่งบอกว่าเป็นห้องเก็บของ
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำแล้วเดินเลี่ยงไปอย่างรู้งาน ไม่มีท่าทีอิดออดหรือกระฟัดกระเฟียดอย่างเช่นสาวๆ สมัยใหม่บางคนชอบทำเมื่อถูกใช้ให้ทำงานไร่งานสวนหรืออะไรที่ไม่ถูกจริตพวกเจ้าหล่อน แต่สิ่งที่ภาวนาแสดงออกคือยอมรับและทำอย่างไม่เกี่ยงงอน อาจจะเป็นเพราะไม่มีทางเลือกภาวนาถึงได้เป็นแบบนี้ คุณแพทายคิดในใจขณะมองร่างเล็กๆ หิ้วถังใส่ปุ๋ยและเข็นรถเข็นที่บรรจุถุงใส่ปุ๋ยขี้ไก่ไปตามทางเพื่อตักใส่ต้นไม้ทีละต้น ต้นไหนที่รถไปไม่ถึงเธอก็ตักใส่ถังไปหญิงสาวทำทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่ว และเมื่อมองเผินๆ จากตรงนี้เหมือนว่าภาวนาเป็นเด็กผู้ชายเสียมากกว่าเป็นหญิงสาว ยิ่งทำให้คุณเพทายรู้สึกขบขันอยู่ไม่น้อย นี่นางคิดถูกแล้วสินะที่พาภาวนามาที่นี่เพื่อให้มาอยู่ในฐานะของภรรยาแพทริก แล้วท่าทางแบบนี้จะให้ลูกชายของนางสนใจได้อย่างไร ท่าทางนิ่งๆ เงียบๆ จะทันเล่ห์เหลี่ยมผู้หญิงของแพทริกหรือ แล้วจะสู้รบปรบมือกับเจ้าหล่อนพวกนั้นได้อย่างไรหนอตัวก็เล็กนิดเดียว แต่ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าภาวนาจะโดนสาวๆ พวกนั้นถล่ม ถ้าภาวนาจะต้องเจ็บปวดโดนข่มเหงรังแก นั่นไม่ใช่หรือสิ่งที่ตนต้องการคุณเพทายถอนใจเบาๆ กับตัวเอง
พอใส่ปุ๋ยต้นไม้ให้กับ แม่สามี แล้วภาวนาก็ต้องรีบล้างไม้ล้างมือเดินไปยังห้องครัวด้วยความรีบร้อน ทำให้ชนกับหญิงสาวแต่งตัวสวยปราดเปรียวคนหนึ่งจนตัวเธอเองกระเด็นล้มไม่เป็นท่าอยู่กับพื้นหญ้า
“ว้าย เดินยังไงกันยะไม่ดูรึไงว่าฉันเดินอยู่ตรงนี้”
หญิงสาวคนนั้นหันมาเท้าสะเอวยืนค้ำหัวเธอน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ใบหน้าที่แต่งมาอย่างดีบิดเบ้จนน่าขันแต่ภาวนาไม่มีอารมณ์ขัน
“คุณต่างหากที่เดินไม่ดูคนที่นี่บ้านคนนะคะไม่ใช่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ภาวนาลุกขึ้นปัดเศษดินออกจากตัวแล้วจะเดินผ่านไป หากหญิงสาวคนนั้นไม่เรียกจิกเธอไว้เสียก่อน
“หยุดนะนังขี้ข้า ขอโทษฉันเดี๋ยวนี้เลยนะยะ”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมฉันต้องขอโทษด้วย หากจะขอโทษเราก็ต้องขอโทษซึ่งกันและกัน” ภาวนาไม่ยอมแพ้ แม้ภายนอกเธอจะดูเงียบๆ หงอๆ แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครรังแกได้ง่ายๆ หากเธอจะยอมเธอก็ยอมให้กับแค่บางคนและบางครั้งเท่านั้น
“แต่แกเป็นขี้ข้าแกต้องขอโทษฉัน ฉันเป็นเมียเจ้าของบ้านนี้นะรู้เอาไว้ด้วย”
คำพูดนี้ทำให้ภาวนายิ้มบางๆ กอดอกมองหญิงสาวที่แต่งตัวได้ไร้รสนิยมใจความคิดของตน เพราะนอกจากจะไม่สวยแล้วยังเหมือนว่าเจ้าหล่อนเอาเศษผ้าขาดๆ มาพันไว้บนร่างกายเฉพาะส่วนสงวนเท่านั้น หากไปเดินแถวๆ ซอยบ้านเธอมีหวังหมาข้างถนนวิ่งไล่ฟัดแน่ๆ
“จะบอกอะไรให้นะคะคุณเมียเจ้าของบ้าน ฉันไม่ใช่ขี้ข้าค่ะ และจะบอกอะไรให้อีกอย่างที่สำคัญมากๆ นะคะ ลองไปถามคนในบ้านนี้ดูนะว่าฉันเป็นใคร..”
พูดจบภาวนาก็เดินเร็วๆ จากไปโดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องของคนที่กระทืบเท้าเร่าๆ เหมือนโดนตบจนซิลิโคนเสริมจมูกทะลัก และเสียงกรีดร้องของเจ้าหล่อนก็ทำให้คุณเพทายที่กำลังจะเดินกลับเรือนใหญ่ต้องเดินมาดูด้วยความสงสัยว่ามีใครเป็นอะไร
“เกิดอะไรขึ้น ใครเอาชะนีมาเชือดในบ้านฉัน”
“คุณแม่ขา ช่วย ลิซ่า ด้วยคะ เมื่อกี้ลิซ่าถูกเด็กรับใช้ทำร้าย มันเดินชนลิซ่าจนล้มก้นกระแทกเลยนะคะ แล้วยังไม่ขอโทษแถมยังท้าตบท้าตีกับลิซ่าด้วย ไม่พอนะคะมันยังท้าทายลิซ่าให้ถามคนในบ้านว่ามันเป็นใคร”
ลิซ่าปรี่มาหาคุณเพทายแล้วฉอเลาะด้วยท่าทางน่าสงสารซ้ำยังเรียกคุณเพทายว่าคุณแม่อย่างไม่กระดากปาก คุณเพทายปรายตามองนึกเยาะในใจว่าลูกชายนางช่างไร้รสนิยมในการคบผู้หญิงเสียจริงๆ ยายลิซ่านี่เป็นนางแบบดังและยังเป็นลูกสาวเจ้าของธุรกิจส่งออกผลิตภัณฑ์แช่แข็งก็จริงแต่การแต่งเนื้อแต่งตัวไม่ถูกกาลเทศะและไร้รสนิยมมาก เน้นแค่โชว์นั่นเปิดนี่จนไม่เหลืออะไรให้น่ามอง ซ้ำการวางตัวก็ไม่มีสัมมาคารวะเรียกได้ว่าไม่มีความเป็นผู้ดีเลยแม้แต่น้อย
“แล้วยังไงละจ๊ะจะให้ฉันช่วยยังไง” คุณเพทายพอนึกออกว่าคนที่ลิซ่าพูดถึงนั้นเป็นใครเพราะคนที่เพิ่งเดินมาก่อนหน้านางก็คือภาวนา
“คุณแม่ต้องเรียกมันมาขอโทษลิซ่านะคะหรือไม่ก็ให้ลิซ่าตบมันเพื่อเป็นการลงโทษที่บังอาจมาอวดดีกับลิซ่า”
“แล้วเธอจะให้ฉันเรียกคนของฉันมาให้เธอลงโทษในข้อหาหรือโทษฐานอะไร แล้วเธอเป็นใครถึงจะมาทำร้ายคนในบ้านฉันล่ะจ๊ะ อ้อ.. อีกอย่างไม่ต้องเรียกฉันว่าแม่นะจ๊ะฉันไม่เคยมีลูกสาวและไม่อยากมี หากมีแล้วเป็นเหมือนเธอ และข้อสุดท้ายนะจ๊ะ หากคนที่เดินชนกับเธอเมื่อครู่ตัวเล็กๆ ผมสั้นๆ น่ะ คนนั้นน่ะคือเมียของตาแพทเพิ่งเข้ามาอยู่ในบ้านนี้เมื่อเช้านี้เอง”
“อะ อะไรนะคะ..” ลิซ่ายืนเซ่ออยู่กับที่อย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน และเป็นอีกครั้งที่เธอถูกเดินหนีไปอย่างไม่ไยดี...
ทางด้านภาวนาที่เดินเข้ามาในห้องครัว หญิงต่างวัยสี่คนก็หันมามองเธอเป็นตาเดียว เธอเดาได้ว่าหญิงร่างท้วมผิวค่อนข้างขาวมวยผมไว้กลางศีรษะน่าจะเป็นแม่ครัวใหญ่และหญิงสาวอีกสามคนก็ต้องเป็นลูกมือ
“เอ่อคือ..” ภาวนาไม่รู้จะแนะนำตัวอย่างไรดีและไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน
“คุณคือคุณพราวใช่มั้ยคะ มาทางนี้เลยค่ะ มานั่งข้างกระจิบเลยค่ะ” หญิงสาวน่าจะวัยใกล้เคียงกันกับเธอใบหน้ากลมแป้นแร้นผิวสองสีพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรพร้อมทั้งมาดึงมือเธอให้ไปนั่งข้างๆ
“พี่ชื่อกระจิบนะคะ พี่น่าจะเป็นพี่ ส่วนนี่นัง ผักบุ้ง นี่นัง ผักหวาน มันเป็นพี่น้องกันค่ะ บ้านเกิดอยู่บึงกาฬ ส่วนพี่อยู่บึงบอระเพชร แล้วก็นั่น ป้าอร่อย แม่ครัวของเรา แกทำอาหารอร่อยสมชื่อเลยนะคะ”
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะคะ พราวฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
“วุ้ยทำเป็นมาฝากเนื้อฝากตัว ถามจริงๆ เถอะ ไม่รู้ตัวรึไงว่ามาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร” ผักหวานลุกขึ้นเท้าสะเอวลอยหน้าลอยตาพูดแววตาของเธอเต็มไปด้วยความริษยาอย่างปิดไม่มิด
“นี่นังผักหวาน เอ็งนั่งลงทำงานของตัวเองไปเลย” ป้าอร่อยใช้ตะบวยตักแกงชี้หน้าผักหวานอย่างฉุนเฉียวแต่ผักหวานไม่ใส่ใจ ไหวไหล่ยียวน
“ป้าอย่ามาทำเป็นพูดดีเลย ใครๆ ก็รู้กันทั้งบ้านว่ายายคนนี้อยู่ในฐานะอะไร มันก็ขี้ข้าเหมือนกันนั่นแหละโว้ย จะดีหน่อยก็แค่มีตำแหน่ง เมีย พ่วงมาเท่านั้นล่ะ แต่สถานะก็ขี้ข้าเหมือนเดิม”
“นังผักหวาน มันจะมากไปแล้วนะ แกพูดอะไรของแก” ผักบุ้งผู้เป็นพี่สาวหน้าซีดรีบดุน้อง
“ฉันพูดจริงนี่ แล้วฉันยังรู้มาอีกว่า ที่ยายพราวได้มาอยู่ที่นี่ก็เพราะถูกขายมาเป็นขี้ข้า หรือจะพูดอีกทีก็คือขายตัว ที่สำคัญที่คุณเพทายให้มันอยู่ในฐานะนี้ก็เพราะต้องการ แก้ แค้น..”
ผักหวานหันมายิ้มเยาะและพูดเน้นในประโยคสุดท้ายด้วยความสะใจที่เห็นใบหน้าของภาวนาซีดขาวตื่นตะลึงในสิ่งที่ตนพูดออกไป
“นังผักหวาน” ทั้งป้าอร่อย พี่กระจิบและผักบุ้งร้องขึ้นพร้อมกันมองผักหวานตาเขียวปัด
“อะไรวะ พูดความจริงแค่นี้รับไม่ได้ ฉันไปดีกว่า เพราะมีขี้ข้าคนใหม่มาทำหน้าที่แทนแล้ว ฮ่าๆๆ”
ว่าแล้วร่างผอมบางของผักหวานก็สะบัดหน้าเดินออกไปพร้อมทั้งฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเหมือนจะยั่วให้คนฟังประสาทเสีย
“อย่าไปฟังมันเลยค่ะคุณพราว นังนี่มันขี้อิจฉา ใครดีกว่า สวยกว่ามันอิจฉาหมดล่ะ” ป้าอร่อยยิ้มปลอบ
“แต่พราวไม่ได้สวยนี่คะ”
ภาวนายังคงติดใจในคำพูดของผักหวานอยู่ไม่น้อย เกี่ยวกับเรื่องการ แก้แค้น ของคุณเพทาย ส่วนป้าอร่อยนึกขันคนไม่รู้ตัวว่าตัวเองสวย
“อย่าไปสนใจมันเลยค่ะ มันก็เพ้อเจ้อไปเรื่อย คุณพราวทำอาหารเป็นไหมคะ มาช่วยป้าทางนี้ดีกว่า” ป้าอร่อยตัดบททำให้ภาวนาจำต้องเดินไปหานาง
“พราวทำอาหารเป็นค่ะและชอบทำมาก พราวอยากเป็นเชฟในโรงแรมหรือร้านอาหารใหญ่ๆ ค่ะ” หญิงสาวยิ้มกว้างเมื่อได้พูดถึงความฝันของตนเองและวางเรื่องที่ผักหวานพูดไปชั่วคราว
“ดีเลยค่ะ วันนี้เราจะทำอะไรกันดีคะ มีปลากะพง ผักบุ้ง กะทิแล้วก็ผักอีกสองสามอย่าง”
“คุณเพทายชอบกินอะไรคะ”
“คุณท่านชอบอาหารไทยๆ โดยเฉพาะเมนูปลาค่ะ อาหารที่ไม่มีกะทิ แต่คุณแพทชอบแกงกะทิแต่ไม่ชอบกินหวานและในบ้านไม่มีใครกินเนื้อวัวหรือสัตว์ใหญ่ค่ะ” พี่กระจิบบอก
“อ้อ.. ค่ะ” ภาวนารับรู้แล้วหันไปคุยกับป้าอร่อยเรื่องอาหารอย่างถูกคอ
หลังจากที่ทำอาหารเย็นเสร็จแล้วก็เป็นเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาเศษๆ ภาวนารู้สึกเหนียวตัวและอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะวันนี้ตั้งแต่มาถึงเธอก็ได้ทำงานตลอดทั้งวันจนเหงื่อท่วมตัวแต่เธอไม่รู้จะบอกใคร หรือทำอย่างไรในเมื่อสิ่งที่ค้างคาใจอยู่นั้นมันทำให้เธอนั่งหงอยอยู่ในครัว
“อ้าวคุณพราวเดี๋ยวก็จะได้เวลาอาหารเย็นแล้วไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสิคะ ดูสิเหงื่อท่วมตัวแล้วค่ะ” พี่ยี่สุ่นขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งยากใจ
“พราวไม่รู้จะทำยังไงค่ะพี่ยี่สุ่น” เมื่อได้ฟังคำพูดของหญิงสาวยี่สุ่นก็ถอนใจเบาๆ
“ถ้าอย่างนั้นไปอาบน้ำห้องพี่ก่อนมั้ยคะ”
“แต่พราวไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน”
“ใส่ของพี่ไปก่อนค่ะ ขึ้นห้องแล้วค่อยไปเปลี่ยน” ยี่สุ่นยิ้มให้ทำให้ภาวนารู้สึกใจชื้นขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ เอ่อ.. พี่ยี่สุ่นคะ แล้วเย็นนี้พราวต้องร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับพวกเขารึเปล่าคะ”
“เอ่อ.. พี่ก็ไม่รู้จ้ะ”
“พราวพอเดาได้ค่ะ” ภาวนาถอนหายใจแล้วลุกขึ้นแล้วพยายามยิ้มให้กว้างที่สุด
“พี่ยี่สุ่นพาพราวไปอาบน้ำหน่อยสิคะ พราวเหนียวตัวจะแย่แล้วค่ะ”
“ค่ะ มาทางนี้เลยค่ะ”
ยี่สุ่นพาภาวนาเดินออกประตูหลังครัวไปยังเรือนพักของสาวใช้ซึ่งปลูกอยู่กันคนละฝั่งกับเรือนคนสวนและคนขับรถซึ่งจะที่นี่จะแยกเรือนพักหญิงชาย ส่วนคนที่มีครอบครัวจะอยู่อีกด้านเพื่อความเป็นส่วนตัวเป็นสัดส่วนดูแลปกครองได้ง่ายและไม่ก่อให้เกิดปัญหารำคาญใจ แต่แล้วระหว่างทางทั้งสองก็ต้องชะงักเมื่อเจอกับลิซ่ากับผักหวานยืนขวางทางอยู่
“แหม.. นี่น่ะเหรอ เมียทาส ของแพท ต๊ายตาย คิดว่าเมียทาสนี่ถูกยกเลิกไปตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว ยังมีหลงเหลืออีกเหรอเนี่ย” ลิซ่าปิดปากหัวเราะเหน็บแนมเบะปากเหยียดหยัน
“มีสิคะคุณลิซ่า ก็นี่ไงคะ เมียทาสของคุณลิซ่าหรือจะพูดอีกทีก็เมียน้อย”
“อุ้ย.. ผักหวานพูดอะไรแบบนั้นล่ะจ๊ะ แบบนี้เมียทาสก็เสียใจแย่สิ” สองสาวหัวเราะให้กันด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้
“นี่นังผักหวาน เรื่องของนายเอ็งอย่ายุ่งดีกว่า แล้วอีกย่างคุณลิซ่าก็ไม่ใช่เจ้านายเอ็ง”
“นี่ยี่สุ่น หล่อนจะมากำเริบกับฉันเหรอ” ลิซ่ากรีดเสียงใส่ด้วยตอนนี้เธอคือคนที่แพทริกกำลังคบหาและเจ้าหล่อนก็มั่นใจว่าตนเองคือคนพิเศษเพราะแพทริกควงเธอมาเกือบเดือนแล้วนับว่านานกว่าใครๆ นั่นก็แสดงว่าเธออาจจะมีโอกาสเข้ามาเป็นคุณผู้หญิงของบ้านนี้ หญิงสาวคิดเข้าข้างตัวเอง
“เปล่าค่ะ แค่พูดตามความจริง”
“แต่คุณลิซ่าคือคนที่คุณแพทจะแต่งงานด้วยจริงๆ นะพี่ยี่สุ่น” ผักหวานยังคงมั่นใจว่าตนจะได้เป็นสาวใช้คู่ใจของเจ้านายคนใหม่
“แต่ยังไม่แต่ง นั่นก็หมายความว่าไม่ใช้เว้ย”
“นังขี้ข้า กล้าดียังไงมาพูดแบบนี้กับฉัน ฉันเป็นแฟนแพทนะ”
“แต่คุณไม่มีสิทธิ์มาดูถูกหรือจิกใช้ใครที่นี่ค่ะ”
ยี่สุ่นตอบฉะฉานเพราะรู้สึกไม่ชอบใจที่ลิซ่าเข้ามาวุ่นวายที่นี่จนเกินงาม ต่อหน้าคุณเพทายก็สงบเสงี่ยมดีอยู่หรอก แต่ลับหลังไม่ต่างจากคนไร้การศึกษาทั้งที่ครอบครัวชาติตระกูลก็มีหน้าตาอยู่ไม่น้อยฐานะหรือก็ไม่ด้อยกว่าใคร แต่ลิซ่าก็เป็นผู้หญิงที่สวยแต่รูปเท่านั้น
“เราไปกันเถอะค่ะพี่ยี่สุ่น” เมื่อเห็นว่าเรื่องมันจะไปกันใหญ่ภาวนาจึงสะกิดยี่สุ่น
“แหม.. หลบอยู่หลังคนอื่นทำไมล่ะยะ เมื่อกี้ยังเก่งอยู่ไม่ใช่เหรอ” ลิซ่าหันมาจิกตาใส่ภาวนาด้วยความฉุนเฉียวเธอตั้งใจว่าจะมาเอาคืนจึงมาดักรออยู่ที่นี่เพราะผักหวานคอยเป็นหูเป็นตาให้นั่นเอง
“ฉันไม่อยากลดตัวเองไปเกลือกลั้วกับเศษมนุษย์ค่ะ”
“กรี๊ดดด นังบ้า แกว่าใครเป็นเศษมนุษย์หา..” ลิซ่ากรีดร้องออกมาเหมือนชะนีถูกเชือด ภาวนายิ้มบางๆ ดวงตาที่ฉายแววหวานปนโศกเสมอวาววับขึ้นเล็กน้อยดูเย็นชาและน่าเกรงขาม
“ก็ใครล่ะที่ทำเสียงเหมือนเปรตขอส่วนบุญ.. เราไปเถอะค่ะพี่ยี่สุ่น”
ภาวนาไม่ใส่ใจดึงยี่สุ่นเดินเลี่ยงไป แต่ลิซ่าไม่ยอม หญิงสาวกระชากแขนเรียวของภาวนาเต็มแรง ร่างที่เล็กบอบบางกว่าของภาวนาปลิวถลาเลยทีเดียวและเกือบจะล้มหากแต่ภาวนายั้งกายไว้ทันและด้วยความที่เธอเคยถูกเพื่อนๆ ที่โรงเรียนรังแกบ่อยๆ เพราะตัวเล็กและเงียบๆ ซึ่งมันทำให้ภาวนารู้วิธีการที่จะตอบโต้คนที่ตัวโตกว่าแข็งแรงกว่า
ภาวนาทำตัวอ่อนเหมือนจะล้มลงทำให้ลิซ่าได้ใจว่าจะได้เปรียบ จึงคิดจะปล่อยมือเพื่อให้ภาวนาล้มกระแทกพื้นแล้วจะคร่อมร่างเล็กของภาวนาและลงมือตบให้สมใจ แต่กลายเป็นกว่าภาวนาใช้ความปราดเปรียวพลิกตัวอย่างเร็วแล้วจับแขนของลิซ่าบิดไพล่หลังแล้วกดให้ร่างสูงกว่าของลิซ่านั่งคุกเข่าลงกับพื้น พอผักหวานได้สติจะเข้ามาช่วยภาวนาก็ถีบเข้าไปที่ท้องของผักหวานเต็มๆ จนผักหวานกระเด็นล้มไม่เป็นท่า ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนยี่สุ่นได้แต่ยืนอึ้งมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“หยุด.. อย่าคิดแม้แต่จะเข้ามาทำอะไรที่ไม่เข้าท่า ถ้าไม่อยากเจอดี”
น้ำเสียงและแววของภาวนาเข้มจัด ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ก็ทำให้ผักหวานไม่กล้าเข้ามามีเพียงลิซ่าเท่านั้นที่กรีดร้องโวยวายด้วยความเจ็บปวดและเจ็บใจ
“กรี๊ดนังบ้า แกปล่อยฉันนะ ฉันเจ็บนะ”
“ปล่อยน่ะปล่อยแน่” พูดจบภาวนาก็ผลักลิซ่าเต็มแรงจนหน้าไถลไปกับพื้นดีที่เจ้าหล่อนเอามือยันพื้นได้ทันก่อนที่ใบหน้าสวยเพราะศัลยกรรมจะแหกเพราะกระแทกกับพื้นปูอิฐหยาบๆ
“ไปกันเถอะค่ะพี่ยี่สุ่น” ภาวนาเดินไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยี่สุ่นจึงรีบก้าวตามไป ปล่อยให้ลิซ่ากับผักหวานนั่งมองด้วยความเดือดดาล
“เจ็บใจนัก ฉันจะฟ้องแพทคอยดู”
“ฟ้องเลยค่ะคุณลิซ่ามันมาทีหลังคุณนะคะ คุณแพทไม่มองมันหรอกค่ะ คุณแพทต้องเชื่อคุณลิซ่าและลงโทษมัน” ผักหวานยุส่งแล้วประคองลิซ่าขึ้นมาจากพื้น
ภาพการปะทะกันระหว่างลิซ่ากับภาวนานั้นอยู่ในสายตาของคุณเพทายตลอด นางมองดูตั้งแต่ภาวนาเดินคุยกันไปตามทางแล้วเจอกับลิซ่าที่ดักรออยู่ จริงๆ แล้วนางเองก็คิดว่าภาวนาจะถูกลิซ่ากับผักหวานรุมแน่นอน แต่แล้วก็กลายเป็นว่ามันผิดคาด และการกระทำของภาวนาทำให้คุณแพทายยิ้มอย่างพอใจ อย่างน้อยๆ นางก็คิดว่า มีอาวุธชั้นเยี่ยมที่จะประหัตประหารกับผู้หญิงที่เข้ามาวุ่นวายจนเกินงามอย่างลิซ่าและคนอื่นๆ ที่พยายามจะจับแพทริก ถ้านางจะมีสะใภ้ต้องเป็นคนที่นางเลือกแต่ก็ต้องไม่ใช่ภาวนา...
เย็นวันนั้นภาวนาได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับบรรดาสาวใช้คนอื่นๆ ตามที่เธอคิดคิดไว้ แต่เป็นสิ่งที่เธอต้องการอยู่แล้ว ส่วนลิซ่ากลับไปตั้งแต่ตอนทะเลาะกับเธอแล้ว ภาวนานั่งกินข้าวร่วมกับคนอื่นๆ ในครัวอย่างมีความสุขเพราะทุกคนให้การต้อนรับเธอเป็นอย่างดียกเว้นผักหวานซึ่งเย็นนี้ตักข้าวใส่จานแล้วแยกไปกินต่างหากซึ่งทุกคนต่างก็รู้สึกดีเพราะหากผักหวานร่วมโต๊ะก็อาจจะมีเรื่องให้วุ่นวาย
“คุณพราวจะขึ้นข้างบนก่อนเลยก็ได้นะคะ เดี่ยวทางนี้พวกพี่จัดการเองค่ะ”
“แต่ว่า..”
“อย่ากังวลเลยค่ะ คุณแพทไม่กลับมาหรอกค่ะคืนนี้ คุณพราวสบายใจได้”
ยี่สุ่นยิ้มให้กำลังใจ เพราะเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวตรงหน้าดี เธอเองก็รู้เรื่องการมาของภาวนามาตั้งแต่ต้นและรู้ดีว่าคุณเพทายต้องการอะไร เธออยู่กับคุณเพทายมานานเท่าอายุของแพทริกเลยทีเดียว แม้ไปอยู่เมืองนอกคุณเพทายก็ให้เธอตามไปด้วย ดังนั้นทุกสิ่งที่คุณเพทายทำและคิดเธอจะรับรู้เสมอแต่ด้วยความที่ตนเป็นเพียงลูกจ้าง เป็นข้าเก่าจึงทำได้เพียงรับรู้และรับฟัง
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ เอ่อ.. พี่ยี่สุ่นคะ พราวขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”
“ค่ะ”
“การมาของพราว คือการแก้แค้นของคุณเพทายใช่ไหมคะ แล้วคุณเพทายเขาแค้นพราวเรื่องอะไรคะ.. พี่พอรู้ไหม”
ยี่สุ่นอึ้งไปเล็กน้อยกับคำถามซื่อๆ ของภาวนา แต่เพราะเตรียมตัวมาแล้วว่าจะต้องเจอคำถามนี้
“พี่ไม่รู้อะไรมากหรอกค่ะ แต่คุณท่านเป็นคนดี ท่านมีเมตตากับทุกคนมาก คุณพราวอย่าคิดมากเลยนะคะ นังผักหวานมันก็พูดไปเรื่อยเปื่อยประสาคนพูดมากล่ะค่ะ”
“แต่.. เอาเถอะค่ะ พราวขอโทษที่ทำให้พี่ลำบากใจ”
ภาวนาเดินหน้าหงอยออกไป ยี่สุ่นมองตามแล้วถอนใจออกมาเบาๆ ป้าอร่อยซึ่งยืนฟังอยู่เงียบๆ เดินมาหายี่สุ่น
“น่าสงสารคุณพราวนะ”
“ใช่ป้า คนของเราก็ใช่ย่อย เจอทั้งเจ้านายทั้งขี้ข้า แต่ก็อย่างว่าเรามันก็แค่ขี้ข้าทำไรได้ล่ะ” ยี่สุ่นยิ้มเบื่อๆ แล้วทำงานของตัวเองไปจนเสร็จ
“แต่ข้าเชื่อว่าคุณพราวจะเอาชนะใจคุณท่านได้”
“ฉันขอให้เป็นแบบนั้น” ยี่สุ่นเองก็แอบคาดหวังไว้เช่นนั้น
