บทที่ 1. วิวาห์ชาเย็น
“อะไรนะครับจะให้ผมแต่งงาน..” ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่อย่างไม่ใคร่จะพอใจนักกับเรื่องที่มารดาบอก
“ใช่จ้ะ ลูกจะต้องแต่งงานกับคนที่มารดาเลือกให้ ส่วนบรรดาดารานางแบบทั้งหลายที่ลูกเคยควงก็ควงไป แม่ก็ไม่ว่า เพียงแต่แม่ไม่รับเข้าสังกัดนามสกุลเดียวกันเท่านั้น”
“แล้วคุณแม่จะให้ผมแต่งงานทำไม”
“ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้หญิงหน้าไหนมาแอบใช้นามสกุลของเราน่ะสิ ยายพวกนั้นก็เพียงแค่หวังเงินทองของกำนัลจากลูกเท่านั้นลูกก็น่าจะรู้ดีนะแพท แล้วแม่ก็ไม่ชอบที่ลูกมีแต่ข่าวคาวๆ คั่วกับคนนั้นคนนี้เหมือนพวกสำส่อนเอาไม่เลือก” คุณเพทายพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระเหมือนที่เขาชอบทำ
แพทริก พีรฉัตร เทเลอร์ ชายหนุ่มวัยสามสิบเอ็ดปีผู้เพียบพร้อมไม่ว่าจะเป็นหน้ารูปร่างหน้าตาที่เรียกได้ว่าหล่อเหลาราวเทพบุตร พ่วงมาด้วยความร่ำรวยที่เรียกได้ว่ามหาศาล และแน่นอนว่าหนุ่มโสดเนื้อหอมอย่างเขาจะต้องมีหญิงสาวมากมายเข้ามาในชีวิตให้เลือกสรร ไม่ว่าจะคบจริงจังหรือชั่วคราว ซึ่งนี่เองที่คนเป็นแม่อย่างคุณเพทายจึงต้องหาอะไรสักอย่างมาสกัดกั้นไม่ให้ผู้หญิงเหล่านั้นเข้ามาวุ่นวายกับลูกชายของตนมากเกินไป เพราะแต่ละอนงค์นางนั้นไม่มีสักคนที่ถูกใจถูกตาพอที่จะสนับสนุนหรือเห็นดีเห็นงามให้แพทริกคบหาได้เลยแม้แต่คนเดียวจนนางได้พบภาวนา
ถึงแม้จะเป็นลูกเพื่อนรักเพื่อนแค้นแต่นางเชื่อว่าภาวนาจะหยุดแพทริกและผู้หญิงเหล่านั้นได้ หรือแม้จะหยุดไม่ได้ก็ไม่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญคืออะไรนั้นคุณเพทายเลือกที่จะเก็บไว้ในใจในขณะผู้เป็นลูกชายหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“ผมไม่แต่ง..”
“ทางเลือกของลูกมีแค่ทางเดียวคือแต่งงาน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่ควรจะเป็นของลูกจะเป็นของผู้หญิงคนนั้น และอีกอย่าง งานแต่งงานจะมีขึ้นมะรืนนี้” พูดจบคุณเพทายก็เดินออกไปจากห้องทำงานของลูกชายที่ยืนอึ้งกับน้ำเสียงเยียบเย็นของมารดา
เมื่อประตูปิดลงแพทริกก็ทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่อย่างสุดแสนเซ็งจากที่ไม่อยากแต่งงานก็กลายเป็นอยากเอาชนะและอยากเห็นหน้าผู้หญิงที่มารดาของเขาจะยกสมบัติมหาศาลให้เจ้าหล่อน ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร มีอะไรดีถึงขนาดที่คนเข้มงวดและค่อนข้างจะ เยอะ อย่างมารดาของเขาอยากได้มาเป็นสะใภ้
“อยากจะรู้นักเธอเป็นใครมาจากไหน หึ คิดจะจับฉันไม่ง่ายหรอก...” ว่าแล้วชายหนุ่มก็โทรศัพท์หาลูกน้องคนสนิททันที
“คาเมล ทำงานด่วนให้หน่อยฉันต้องการข้อมูลทั้งหมดในเย็นนี้”
แล้วแพทริกก็บอกรายละเอียดคร่าวๆ ให้กับ คาเมล คนสนิทวัยยี่สิบเก้าซึ่งเป็นเสมือนน้องชายและมือขวาที่เก่งฉกาจ
แล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่ภาวนาไม่อยากจะก้าวขาออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียว ทั้งที่เธอคิดมาตลอดเวลาที่จะออกไปจากบ้านหลังนี้ บ้านที่ไม่มีความสุขยามที่บิดาเมากลับมาพร้อมด้วยการโวยวายอาละวาดและทุบตีเธอกับมารดาจนเธอตั้งความหวังไว้ว่าเมื่อได้งานทำที่มั่นคงเธอจะพามารดาออกไปใช้ชีวิตด้วยกัน ชีวิตที่ปราศจากผู้ชายขี้เมาและติดการพนันจนนำพาเธอกับมารดาตกอยู่ในความลำบากครั้งแล้วครั้งเล่าและทุกครั้งก็ทำให้มารดาของเธอต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ซึ่งเธอทำได้เพียงแค่มองด้วยน้ำตา..
นายเชษฐา บิดาของเธอติดเหล้าและการพนันจากที่มีฐานะร่ำรวยเคยอยู่ดีกินดีก็กลับกลายมาเป็นคนยากไร้ ชีวิตดั่งคุณหนูที่เพียบพร้อมของเธอก็หายวับไปเมื่อต้องย้ายบ้านและย้ายโรงเรียนกะทันหัน คุณย่าของเธอต้องขายบ้านหลังใหญ่มาซื้อบ้านหลังเล็กๆ อยู่ชานเมืองแต่ตกต่ำถึงขนาดนั้นบิดาของเธอก็ยังไงไม่สำนึกและยังไม่คิดจะกลับตัวและคอยทำร้ายมารดาของเธออยู่เสมอ คุณย่าของเธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากคอยทาแผลคอยปลอบมารดา ภาพที่เธอเห็นอยู่บ่อยๆ ก็คือภาพของคุณย่ากับแม่กอดกันร้องไห้ ตอนเด็กๆ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องอดทนอยู่กับบิดา แต่เมื่อเห็นความดีและการดูแลเอาใจใส่เธออย่างดีของคุณย่าทำให้เธอเข้าใจ
คุณย่าของเธอมีโรคประจำตัวและอายุมากทำให้มารดาเป็นห่วงท่านหากจะอยู่เพียงลำพังกับลูกชายขี้เมาและด้วยความที่แม่ไม่มีใครเพราะญาติๆ ของตนนั้นไม่มีใครอยากรับรู้เรื่องราวปัญหาของแม่นัก ยิ่งตอนนี้แม่ของเธอไม่ได้มีฐานะร่ำรวยเหมือนช่วงที่แต่งงานกับบิดาแรกๆ ก็ยิ่งไม่มีญาติคนไหนอยากคบหาเมื่อสิ้นบุญตากับยายพี่น้องของแม่ก็แบ่งสมบัติกัน และแม่ของเธอไม่ได้อะไรติดตัวมาเลยดังนั้นเธอกับแม่จึงเสมือนเหลือแต่ตัวไร้ญาติขาดมิตร จะมีก็เพียงบิดาและคุณย่าเท่านั้น แม้จะถูกบิดาทุบตีทำร้ายและต้องทำงานหนักสายตัวแทบขาดเพื่อปากท้องของทุกคนในบ้าน ในขณะที่บิดาของเธอไม่เคยทำอะไรเลยแต่แม่ก็อดทนอยู่มาจนทุกวันนี้
แม่อาภาหน้าที่เอาขนมกับแกงไปขายที่ตลาด ส่วนคุณย่ากับเธอจะช่วยกันทำอยู่ที่บ้าน คุณย่าของเธอเคยอยู่ในบ้านของผู้ดีเก่าท่านหนึ่งและได้รับการถ่ายทอดวิชาการทำอาหารไทยสูตรชาววังและอาหารฝรั่งมาหลายอย่างจนเมื่อคุณย่าออกเรือนกับปู่ซึ่งเป็นผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง คุณย่าของเธอก็ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้นั้นมาสู่เธอกับมารดา และเมื่อสิ้นบุญคุณย่าในขณะที่เธอเรียนมหาวิทยาลัยปีสองชีวิตของเธอกับมารดาก็เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม เพราะนอกจากจะไม่เหลือร่มโพธิ์ร่มไทรให้พึ่งพิงแล้ว บ้านที่อยู่ก็แทบจะไม่มีเช่นกันเพราะบิดาของเธอเอาไปจำนองกับเพื่อนในวงพนัน และนั่นล่ะคือจุดเริ่มต้นความเลวร้ายที่เธอไม่อาจจะทน เธอขวนขวายหางานทำและแอบเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงจนจบปริญญาตรีและพยายามเข้าไปทำงานในร้านอาหารหรือโรงแรมที่ไหนสักแห่งเพื่อจะได้พามารดาออกไปจากบ้าน เพราะตอนนี้บ้านมันไม่ใช่ของพวกเธอแล้วนั่นเอง เขาจะมาไล่วันไหนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่สำคัญบิดาของเธอไปตกลงจะยกเธอให้เป็นเมียเก็บของเพื่อนในวงพนันของตนเองหลังจากที่บิดาพามารดาไปนอนกับชายคนนั้นเพื่อชดใช้หนี้การพนันมาหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งมันทำให้มารดาล้มป่วยเพราะตรอมใจและเหนื่อยล้าเกินกว่าจะสนองความต้องการอันดิบเถื่อนของผู้ชายเห็นแก่ตัวเหล่านั้น และเธอรู้ว่าที่มารดายอมทำแบบนั้นก็เพราะพยายามปกป้องเธอจากคนใจร้ายพวกนั้นด้วยตัวของท่านเอง
“พราวต้องเรียนให้จบ อย่าสนใจว่าแม่จะเป็นอย่างไร ลูกจะต้องปลอดภัยจากคนพวกนี้ อย่าแต่งหน้าอย่าแต่งตัวสวยอย่าเงยหน้ามองพวกมันอย่าให้มันเห็นลูก..”
นั่นคือสิ่งที่มารดาบอกอยู่เสมอและเธอก็เชื่อฟังเพราะกลัว.. ตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านหลังเล็กมารดาก็ตัดผมให้เธอสั้นกุดเหมือนหนูแทะไม่ให้เธอไว้ผมยาวและแต่งตัวให้เธอเหมือนเด็กผู้ชายเสมอๆ แต่แม่ก็จะดูแลเธออย่างดีสะอาดสะอ้าน งานบ้านงานเรือนหรืองานฝีมือทุกอย่างมารดากับคุณย่าสอนเธอ และสอนให้เธอรู้จักดูและตัวเองจากอันตรายจากภัยรอบกาย
แต่สิ่งที่เธอพบเจอมันเป็นบาดแผลฝังอยู่ในใจเสมอกับพฤติกรรมแย่ๆ ของผู้เป็นพ่อ บาดแผลภายนอกมันไม่ได้บาดลึกเหมือนบาดแผลในใจ เธอยอมรับว่าเกลียดพ่อ เธอคุยกับท่านนับคำได้ทุกครั้งที่บิดาเมากลับมาแม่จะขังเธอไว้ในห้องซึ่งเธอก็ยินดีและเต็มใจ เหมือนเธอกับพ่ออยู่กันคนละโลกเขาไม่ค่อยสนใจเธอเช่นเดียวกันกับที่เธอไม่เคยสนใจเขา
“เชิญขึ้นรถครับ..” เสียงห้าวเข้มของชายหน้าตาขึงขังดังขึ้นทำให้ภาวนาสะดุ้งกะพริบตาปริบๆ มองเขางงๆ ชายคนนั้นจึงย้ำกับเธออีกครั้ง
“ผมเป็นคนของคุณเพทายมารับคุณไปที่บ้านครับ”
“อ้อ ค่ะๆ สวัสดีค่ะ” ภาวนาไหว้เขาอย่างงดงามจนทำให้คนที่ทำหน้าที่ขับรถมารับ เจ้าสาว ของเจ้านายถึงกับรับไหว้ไม่ทัน ภาวนายืนเก้ๆ กังๆ อยู่ข้างรถคันหรูที่เธอไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสนั่ง ตอนเธอเด็กๆ บิดาเคยมีรถยนต์แต่ไม่ได้หรูหราใหญ่โตแบบนี้ ธง เห็นท่าทางเงอะๆ งะๆ เหมือนไม่มั่นใจของเธอจึงรีบมาเปิดประตูให้
“ขอบคุณมากนะคะ” หญิงสาวไหว้ขอบคุณเขาอีกครั้งแล้วเข้าไปนั่งในรถแอร์เย็นฉ่ำ
“ของคุณผู้หญิงมีอะไรอีกมั้ยครับผมจะเก็บใส่หลังรถให้”
ธงมองหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนสีซีดรองเท้าคัทชูกลางเก่ากลางใหม่กับกระเป๋าใบเล็กใบเดียวอย่างไม่แน่ใจ
“ไม่ค่ะ พราวมีแค่นี้” ใจจริงภาวนาอยากจะบอกว่าเธอไม่มีสมบัติอะไรเลยนอกจากเสื้อผ้าไม่กี่ชุดและเงินไม่กี่ร้อย
“ครับ” ธงรับคำแล้วกลับไปนั่งประจำที่คนขับอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่กำลังจะไปเป็นเจ้าสาวมหาเศรษฐีอย่างคุณแพทริกจะไม่มีอะไรเลย หรือบางทีเจ้าหล่อนอาจจะไปหากอบโกยเอาข้างหน้าเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ก็ได้ แต่ท่าทางและแววตาชาเย็นของหญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่เบาะหลังก็ทำให้ธงค่อนข้างมั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้แตกต่างกว่าผู้หญิงที่เจ้านายคบหา แต่การแต่งงานแบบกะทันหันของเจ้านายหนุ่มรูปงามก็ทำให้ทุกคนต่างเคลือบแคลงสงสัย เพราะที่บ้านหลังงามของเจ้านายไม่มีการจัดสถานที่ไม่มีการ์ดเชิญ ไม่มีการเตรียมงานอะไรเลย..
ภาวนาชะงักอยู่กับที่ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเดินไปข้างหน้า ดวงตากลมโตไหวระริกด้วยความหวาดหวั่นกับสิ่งที่กำลังเผชิญริมฝีปากแห้งผากเม้มสนิทมือเล็กชื้นเหงื่อกำสายกระเป๋าสะพายใบเล็กไว้แน่น ธงซึ่งยืนมองหญิงสาวอยู่ชั่วครู่รู้สึกสงสารเธออยู่ไม่น้อยท่าทางหวาดๆ ของหญิงสาว
“เชิญด้านนี้เลยครับ”
ธงผายมือให้เธอเดินไปภาวนาจึงก้าวเดินไปช้าๆ ภาวนาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามก้าวขาเดินให้มั่นคงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และในที่สุดเธอก็เข้ามายังห้องโถงโอ่อ่าอลังการของคฤหาสน์หลังงามของครอบครัว เทย์เลอร์ ซึ่งคุณเพทายกำลังนั่งอยู่กับชายหนุ่มอีกคนและกำลังมองมายังเธอด้วยแววตาที่ทำให้ภาวนาแทบอยากจะวิ่งหนีออกไปจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้ คนพวกนี้เกลียดเธอ โดยเฉพาะแววตาของชายหนุ่มคนนั้นนั่นคือสิ่งที่ภาวนารับรู้ได้
“คนนี้เหรอครับที่คุณแม่บอกว่าจะมาเป็นเมียผม..”
ชายหนุ่มที่นั่งข้างคุณเพทายพูดขึ้น น้ำเสียงเหยียดหยันของเขาไม่เบานัก ภาวนาหน้าร้อนด้วยความอับอาย ในใจก็นึกว่าคำพูดกับหน้าตาของชายหนุ่มคนนี้ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ใบหน้าเรียวยาวคมสันมีไรเคราเขียวรอบกรามแกร่งนั้นประดับด้วยดวงตาคมใหญ่สีน้ำตาลเข้มภายใต้คิ้วดกหนานั้นวาววับคมกริบมีแววเย่อหยิ่งอย่างเด่นชัด จมูกโด่งสวยแบบฉบับลูกครึ่งรับริมฝีปากหยักสวยสีแดงเข้มหากประดับด้วยรอยยิ้มสดใสไร้แววเหยียดหยันมันคงจะน่าดูอยู่ไม่น้อย สรุปโดยรวมชายหนุ่มหล่อเหลาราวดารานายแบบปกนิตยสารและผู้ชายคนนี้คือคนที่เธอจะต้องแต่งงานด้วย
“นั่งสิ..”
คุณเพทายบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา ภาวนาไหว้คุณเพทายอย่างนอบน้อมแต่หญิงสาวกลับทำท่าเก้ๆ กังๆ เพราะไม่รู้จะนั่งตรงไหนระหว่างบนพื้นหรือบนโซฟาข้างๆ กับชายหนุ่มที่เธอยังไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไรและเหมือนว่าคุณเพทายจะรู้ดีว่าเธอรู้สึกอย่างไร
“นั่งกับพื้นนั่นล่ะ”
ภาวนาถอนใจเบาๆ เมื่อได้ยินคำบอกของคุณเพทาย เพราะเธอเองก็อยากนั่งตรงนี้ล่ะมันคงจะรู้สึกอึดอัดน้อยกว่านั่งใกล้กับพวกเขา
“เอาล่ะ ในเมื่อเธอมาแล้วก็ทำความรู้จักกันซะ ที่ตาแพท แพทริกลูกชายของฉัน ส่วนนั่นคือ ภาวนา เมียของลูก”
“โอเค.. ผมรู้จักเธอแล้วทีนี้ผมไปได้แล้วใช่มั้ยครับ” ชายหนุ่มลุกขึ้นทันทีที่ได้ ทำความรู้จักกัน
“แล้วแพทจะไปไหน”
“ผมมีนัดกับลิซ่า”
“ไปสิ อย่ากลับค่ำล่ะอย่าลืมว่ามีเมียแล้ว”
“ครับ ผมจะไม่ลืม ว่าผมมีเมียทาสแล้ว หึหึ ไปนะจ๊ะเมียจ๋า เดี๋ยวเย็นๆ ผัวจะกลับมา”
ร่างสูงใหญ่ราวร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรเดินผิวปากออกไปอย่างสบายอารมณ์ ท่าทางเหมือนเพลย์บอยจอมกะล่อนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อของเขาทำให้ภาวนานึกถึงบิดาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้าที่มีดวงตาโศกซึ้งประดับอยู่ยิ่งหมองหม่นลงไปอีก ซึ่งท่าทางหม่นหมองของเธอทำให้คนมองอยู่ยิ้มพอใจ
“เอาเป็นว่า งานแต่งงานของเธอกับตาแพทเสร็จสิ้นลงแล้ว คงไม่ว่ากันนะที่ไม่ได้ให้จดทะเบียนสมรสและไม่มีงานแต่งหรูหราอย่างที่พวกเธอวาดฝันไว้”
“ค่ะ..” หญิงสาวตอบสั้นๆ ก้มหน้านิ่งเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“แต่ฉันยังให้โอกาสเธอได้ทำหน้าที่เมียของตาแพทอยู่นะ เธอจะอยู่ห้องเดียวกัน เอาของไปเก็บสิแล้วลงมาพบฉันที่เรือนในสวน ยี่สุ่น มานี่สิ”
คุณเพทายเรียกสาวใช้เสียงเข้มทรงอำนาจไม่นาน ยี่สุ่น สาวใช้วัยสามสิบปลายรูปร่างอวบอิ่มระยะสุดท้ายก็เดินมานั่งคุกเข่าข้างๆ ภาวนาด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม
“ค่ะคุณผู้หญิง”
“พาผู้หญิงคนนี้ไปที่ห้องตาแพทแล้วบอกรายละเอียดเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ให้เธอฟัง เสร็จแล้วไปเจอฉันที่เรือนเล็กในสวน ฉันให้เวลาเธอครึ่งชั่วโมง” ร่างเพรียวของคุณเพทายออกไปแล้วภาวนาจึงหันมาไหว้ผู้สูงวัยกว่าอย่างอ่อนน้อมฝากเนื้อฝากตัว
“สวัสดีค่ะพี่ยี่สุ่น”
“อะ เอ่อ สะ สวัสดีค่ะ คุณ..”
“พราวค่ะ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรหรอกค่ะ พราวรู้สถานะตัวเองดี”
หญิงสาวยิ้มบางๆ ให้ ยี่สุ่นถอนใจนึกเห็นใจหญิงสาวผู้ที่เจ้านายบอกว่าเป็นเมียของคุณแพทริกอยู่ไม่น้อย ซึ่งพอมาถึงจุดนี้สาวใช้ร่างอวบรู้ได้ทันทีว่า เมีย ในสถานะที่คุณเพทายวางไว้นั้นมันจะออกมาเป็นอย่างไร
“มาเถอะค่ะ พี่สุ่นจะพาไปที่ห้องคุณแพท มีของอะไรอีกมั้ยคะ”
ภาวนาส่ายหน้าช้าๆ ยี่สุ่นถอนหายใจอีกครั้งแล้วยิ้มให้อย่างจริงใจก่อนจะลุกขึ้นพาสมาชิกใหม่ หรือจะเรียกให้ถูกก็คือ ทาส คนใหม่ของบ้านไปยังห้องของเจ้านายหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ ขี้โวยวาย เข้มงวด และทรงเสน่ห์มากที่สุด..
ภาวนาเดินไปยังเรือนเล็กในสวนตามที่คุณเพทายบอกไว้ด้วยความรู้สึกหนักอึ้งเธอรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังเผชิญนั้นคืออะไร และก็ได้แต่ภาวนาว่าให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เธอมีชีวิตใหม่แล้ว มีคนปกป้องให้พ้นจากคนชั่ว มีที่ซุกหัวนอน มีข้าวให้กินสามมื้อ และมารดาได้รับการรักษาที่ดี คิดบวกสิคิดบวก หญิงสาวเฝ้าบอกตัวเองเช่นนั้น แม้จะไม่มั่นใจเลยว่าจะคิดบวกได้อีกนานแค่ไหน ซึ่งท่าทางของภาวนานั้นคุณเพทายเฝ้าสังเกตตั้งแต่หญิงสาวเดินเข้ามาแล้ว
“เอาล่ะ มารับรู้สิ่งที่เธอจะต้องทำในบ้านนี้เสียทีนะภาวนา”
คุณเพทายเอกเขนกอิงหมอนใบสวยด้วยท่าทางสบายๆ ปากพูดแต่สายตาจับจ้องอยู่ที่หนังสือในมือ ภาวนานั่งลงกับพื้นอย่างสงบเสงี่ยมจนเมื่อผู้สูงวัยกว่าเหลืบตามองเธอลอดแว่นก่อนที่นางจะลุกนั่งตัวตรง
บรรยากาศในเรือนรับรองโล่งโปร่งสบายตาด้วยเป็นเรือนที่มีหน้าต่างบานกว้างยาวจรดพื้นลมอ่อนๆ พัดเย็นสบายทั้งวันและยังหอมสดชื่นด้วยกลิ่นดอกไม้ต่างๆ ที่ปลูกสลับกันอย่างลงตัว ภาวนาสังเกตว่าที่นี่เหมือนบ้านสวนเก่าที่ถูกปรับปรุงปลูกไม้ดอกไม้ประดับเพิ่มเติมเข้ามาให้สวยงามน่าอยู่เธอเห็นต้นมะม่วงและต้นชมพู่ ส้มโออยู่ตลอดแนวรั้วและทางเดินปูอิฐงดงาม
“เธอจะต้องทำอาหารเช้าให้ฉันทุกเช้า ฉันจะกินข้าวประมาณหกโมงเช้าไม่เกินเจ็ดโมงเช้า ตาแพทจะไปทำงานก่อนแปดโมง และรับของว่างเวลาสิบโมง จะกินมื้อเที่ยง เที่ยงตรง รับของว่ายามบ่ายบ่ายสองโมง ตอนเย็นเราจะกินข้าวพร้อมหน้าหกโมงเย็นไม่เกินหนึ่งทุ่ม.. นี่แค่เรื่องอาหารนะ ยังมีงานอื่นๆ นอกเหนือจากการทำอาหารอีกก็คือ เธอต้องทำความสะอาดบ้านทั้งหลังร่วมกับสาวใช้คนอื่นๆ และทำงานในสวนนี้ด้วย ตัดหญ้ารดน้ำต้นไม้พรวนดินใส่ปุ๋ยตัดแต่งกิ่ง ทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานสวนโดยห้ามไม่ให้ใครมาช่วย เข้าใจที่พูดรึเปล่า”
“เข้าใจค่ะ”
“หวังว่าคงทำได้”
“ค่ะ ทำได้ค่ะ”
หญิงสาวรับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นใบหน้าที่คุณเพทายยอมรับกับตัวเองว่าหญิงสาวผู้นี้สวยหวานปนโศกนั้นนิ่งสนิทราวกับยอมรับชะตากรรมของตนเองทำให้ใจอันรุ่มร้อนด้วยความคับแค้นใจของนางสั่นไหวอย่างประหลาด ก่อนที่นางจะรีบตัดความรู้สึกนั้นออกไปใบหน้าที่ยังคงความงดงามแม้วัยร่วงเลยมากว่าห้าสิบปีเชิดขึ้น
“เอาล่ะ ช่วงนี้ชั้นค่อนข้างปวดเมื่อยอยากได้หมอนวด นวดเป็นมั้ย”
“เป็นค่ะ”
“นวดฝ่าเท้าล่ะเป็นมั้ย”
“เป็นค่ะ พราวเคยเรียน” คำของหญิงสาวทำให้นางประหลาดใจอยู่ไม่น้อยแต่ก็ทำเพียงยิ้มบางๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็นวดให้หน่อยนะ เสร็จแล้วก็ไปตัดกิ่งกำแพงโมกข์ตรงโน้นให้ฉันหน่อยกิ่งมันเริ่มเกะกะแล้ว”
“ค่ะ แต่ขอพราวไปเตรียมของสักครู่ได้ไหมคะ”
“เธออยากได้อะไร”
“ผ้าขนหนูกับน้ำมันนวดค่ะ น้ำมันพราวมีแต่ผ้าขนหนูพราวว่าจะไปขอจากพี่ยี่สุ่น” หญิงสาวตอบอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
“ไปสิ รีบไปรีบมาล่ะ” ภาวนาเดินเข่าออกไปช้าๆ คุณเพทายมองตามร่างเล็กบอบบางของ ลูกสะใภ้ ไปอย่างพินิจพิเคราะห์
ความจริงแล้วในสายตาของนางนั้นภาวนาเป็นคนสวยเลยทีเดียวแต่ทำไมถึงได้มีสภาพซอมซ่อแต่งตัวราวกับเด็กหนุ่มทั้งที่คนอย่างอาภานั้นรักสวยรักงามและแต่งตัวเก่งพอตัว สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันอาภาเป็นดาวคณะเลยทีเดียวการแต่งเนื้อแต่งตัวสวยก็เนี้ยบกว่าใคร จริงอยู่แม้ว่าตอนนี้ฐานะของอาภากับเชษฐาไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเมื่อก่อนแต่อาภาไม่น่าจะปล่อยปละละเลยลูกสาวที่มีแววสะสวยไม่เป็นรองใครแบบนี้ ทรงผมก็เหมือนหนูแทะทุเรศลูกตา เสื้อผ้ารึก็เก่าคร่ำครึแม้มันจะสะอาดสะอ้านก็เถอะแต่ดูโดยรวมแล้วภาวนาดูมอมแมมทั้งที่มีเชื้อสายชาติตระกูลที่ดี
“หึ คงเอาแต่เที่ยวสนุกสนานจนไม่มีเวลาดูแลลูกสินะ สุดท้ายก็คงพากันเข้าบ่อนจนหมดเนื้อหมดตัวล่ะสิ เอ.. แล้วเชษฐาไปไหนของเขานะ ทำไมไม่เห็นอยู่กับลูกเมียทั้งที่เขายังไม่เลิกกัน มันต้องมีอะไรสักอย่าง..”
คุณเพทายคิดวุ่นวายใจอยู่คนเดียว แต่เหนือส่งอื่นใด การแก้แค้นคือสิ่งที่อยู่ในใจนางมาเสมอ สิบปีแก้แค้นไม่สายและนางก็รอเวลานี้มานานเหลือเกิน..
