ตอนที่ 3
“พี่วิไม่สบายหรือเปล่าคะ”
เสียงถามอ่อนๆของเด็กสาวร่างอ้อนแอ้น เจ้าของใบหน้าอ่อนใสเปล่งปลั่งทำเอาวิรามรสะดุ้งโหยง เพราะกำลังนั่งใจลอย
รินรดา สิริรัตนะ เด็กสาววัยสิบเก้าย่างยี่สิบ ญาติผู้น้องที่มารดาของวิรามรรับอุปการะ ให้การสนับสนุนด้านการศึกษา ปัจจุบันเป็นนักศึกษาที่สถาบันแห่งหนึ่ง
“พี่สบายดี วันนี้ไม่มีเรียนหรือเรา”
“ไม่มีค่ะ หยุดอ่านหนังสือเตรียมสอบ”
“เทอมสุดท้ายแล้วสินะ ว่าแต่จบจากนี่แล้วจะไปเรียนอะไรต่อ”
“ยังไม่รู้เหมือนกันค่ะ บางที...รินอาจจะออกมาหางานทำก่อนสักพัก”
“วุฒิแค่นี้จะได้เงินเดือนสักกี่พันกัน เรียนไปก่อนเถอะ ถ้าเราเรียนหลักสูตรปริญญาแต่แรก สี่ปีก็ได้ปริญญาแล้ว นี่เลือกจะเรียนเอาวุฒิด้านวิชาชีพแบบนี้เลยต้องเรียนนานขึ้นอีกกว่าจะได้ป.ตรี”
“รินเรียนไม่เก่งอย่างพี่วิ กลัวเรียนไม่จบน่ะค่ะ”
“ทำไมจะเรียนไม่จบ เรานี่คิดอะไรแปลกๆ กลัวไม่เข้าท่า”
วิรามรมองหน้าสวยใสอย่างวัยรุ่นของญาติสาวผู้น้องอยู่อึดใจจึงพูดขึ้นอย่างรู้ทัน
“พี่รู้ละ รินเกรงใจคุณแม่ ถึงเลือกเรียนสายวิชาชีพ เผื่อยังไงก็จะได้ใช้วุฒิปวส.สมัครงานได้ใช่มั้ยล่ะ”
“เอ่อ...ริน...”
“ไม่ต้องเอ่ออ่าเลย เราก็อย่างนี้ คิดมาก เกรงใจเกินเหตุ”
นอกจากทำเสียงเอ็ด ยังมองญาติผู้น้องด้วยแววตาดุ อีกฝ่ายก็ได้แต่ยิ้มแหย
“ก็น่าจะรู้” วิรามรพูดติดต่อกันไป “คุณแม่เต็มใจสนับสนุนเรื่องการศึกษารินทุกอย่าง ค่าเล่าเรียนจะสักเท่าไหร่เชียว แค่นี้ขนหน้าแข้งคุณป้าของรินไม่ร่วงหรอกน่า”
รินรดาหัวเราะคิก
“คุณป้าไม่ได้ผูกเงินไว้กับขนหน้าแข้งสักหน่อยนี่คะ”
“ก็จริงนะ”
วิรามรหลุดยิ้ม แต่รอยยิ้มเหมือนจะขึ้นไปไม่ถึงดวงตาคู่สวยเมื่อพูดติดต่อกันไป
“แต่พี่ก็พูดจริงเหมือนกัน รินไม่ควรต้องเกรงใจจนยอมทนเรียนหลายปีกว่าจะได้ปริญญาแบบนี้ ที่คุณแม่จ่ายค่าเล่าเรียนค่าใช้จ่ายต่างๆให้รินน่ะ เทียบไม่ได้เลยกับที่ท่านเที่ยวทำบุญ บริจาคตามงานการกุศลต่างๆ เพื่อให้ได้หน้าได้ตา เป็นที่กล่าวขวัญในวงสังคม”
“เอ่อ... พี่วิพูดเหมือนไม่ชอบใจที่คุณป้าทำบุญกุศลงั้นแหละ”
“ถ้าทำแต่พอดีพี่ไม่ว่าหรอก แต่นี่คุณแม่เอาแต่งานสังคมสงเคราะห์นอกบ้าน จนลืมหันกลับมาเหลียวแลคนในบ้าน บางทีพี่ก็เคยคิดเล่นๆ ถ้าคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่ การที่คุณแม่ทุ่มเทให้งานบุญงานกุศลแบบนี้จะทำให้ชีวิตคู่ของท่านมีปัญหาบ้างมั้ย”
รินรดานิ่วหน้ามองญาติผู้พี่ ได้เห็นว่าตาคมโตที่เคยเปล่งประกายดูไม่วับวาวดุจเคยจึงโพล่งถามออกไป
“พี่วิแน่ใจนะคะว่าไม่ได้เป็นอะไร”
“ทำไมเราถามพี่อย่างนั้นล่ะ”
รินรดาประหลาดใจ ปกติพี่วิของหล่อนไม่เคยพูดอะไรได้เรื่องได้ราวอย่างนี้สักที นอกจากเอาแต่โมโหเวลาคนรอบตัวทำอะไรไม่ถูกใจ ขนาดรินรดาที่มีศักดิ์เป็นน้อง วิรามรยังไม่เว้น
เกิดอะไรขึ้น?
รินรดาโล่งใจที่ไม่ต้องตอบคำถามญาติผู้พี่คนสวย เมื่อสาวใช้โผล่เข้ามาขัดจังหวะ
“มีแขกมาหาคุณรินค่ะ”
วิรามรนิ่วหน้า ถามเสียงค่อนข้างห้วน เพราะอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่
“แขกน่ะชื่ออะไรเขาบอกหรือเปล่า”
“บะ...บอกค่ะ ชื่อคุณทวนเทพค่ะ”
สาวใช้ปากสั่น คุณวิเวลาดีก็อย่างกับนางเอก เวลาร้ายคือนางมารที่ทุกคนในบ้านต่างรู้ดี ถึงกับมีการตั้งคำถามในหมู่คนใช้ ว่าชาตินี้จะมีผู้ชายหน้าไหนกล้าที่จะมาปราบพยศคุณวิบ้างไหม
“พี่วิคะ รินขอออกไปรับแขกก่อนนะคะ”
รินรดาขอตัว
“จะออกไปทำไม ให้แสวงไปเชิญให้เข้ามาที่นี่ก็ได้นี่”
ที่นี่คือห้องนั่งเล่นส่วนตัวของครอบครัว ปกติวิรามรจะไม่ค่อยพอใจขนาดเคยต่อว่ารินรดามาแล้ว เมื่อญาติผู้น้องพาเพื่อนเข้ามานั่งคุยนั่งกินขนมในห้องนี้
“เบาะนี่เปื้อนง่ายเธอก็รู้นี่ยายริน”
น้ำเสียงเข้มงวดนั้นรินรดายังจำได้ดี แล้ววันนี้วิรามรกลับบอกหน้าตาเฉย
“เอ่อ...”
รินรดาติดอ่าง กระทั่งวิรามรหันไปทางสาวใช้ที่ยังไม่กล้ากลับออกไปจนกว่าคุณวิจะบอกให้ไปได้
“ไปเชิญแขกคุณรินเข้ามาที่นี่เลยแสวง แล้วอย่าลืมหาน้ำหาท่ามารับรองแขกด้วยล่ะ”
นี่ก็อีก อย่าว่าแต่แสวงเลย รินรดายังต้องอ้าปากค้าง
พี่วิของรินรดาลืมเขย่าขวดก่อนกินยาแน่ๆเลย ถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์
“นี่แม่คุณ”
น้ำเสียงชักจะกลับมาเป็นวิรามรคนเดิม เมื่อแสวงออกประตูไปแล้ว
“อย่ามองราวกับว่าพี่เป็นตัวประหลาดไปหน่อยเลยน่ะ ทำไม? คนเราจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางดีขึ้นบ้างไม่ได้หรือยังไง”
ขนาดว่าปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในทางดีขึ้น วิรามรคนเดิมก็ยังโผล่ออกมาให้เห็นแว้บๆ
“ได้ค่ะได้” รินรดารีบบอกเอาใจ ก่อนจะไปกวนตะกอนให้ขุ่นขึ้นมาอีก
ไม่นาน แสวงก็เดินนำชายหนุ่มร่างสูงเพรียว แต่งกายด้วยรสนิยมดีอย่างคนที่เติบโตมาในครอบครัวฐานะมั่งคั่งเท่านั้นจะทำได้ เข้ามาในห้อง
ทวนเทพ วัชระพงษ์พันธุ์ เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีเข้าขั้นรูปหล่อ
เขาเป็นญาติผู้พี่ของเพื่อนสนิทคนหนึ่งของรินรดา หล่อนได้รู้จักกับเขาก็เพราะเพื่อนแนะนำให้รู้จัก
