ตอนที่ 1 โอกาสที่สอง[2]
ตระกูลคังเคร่งครัดเรื่องจารีตประเพณี สตรีทุกรุ่นในตระกูลต้องอยู่ในกรอบ เพราะเป็นตระกูลของฮองเฮา ยึดถือเอาความเชื่อดั้งเดิมที่ว่าสตรีมีหน้าที่ให้กำเนิดบุตรและดูแลเรื่องภายในบ้านเท่านั้น ชีวิตต้องฝากไว้กับบุรุษ ห้ามมีปากมีเสียง
ในอดีตก่อนจะมีการก่อตั้งแคว้นเหลียว บรรพบุรุษตระกูลซินและตระกูลคัง ร่วมสาบานเป็นพี่น้อง ยกทัพรบพุ่งพิชิตชนเผ่าต่างๆ ยึดครองหลายดินแดน
จนกระทั่งสามารถก่อตั้งและสถาปนาเป็นแว่นแคว้น ด้วยความที่บรรพบุรุษตระกูลคังไม่อยากขึ้นเป็นฮ่องเต้ ทำให้บรรพบุรุษตระกูลซินจำต้องขึ้นครองราชย์ เป็นฮ่องเต้แคว้นเหลียว
แต่ทั้งสองได้กรีดเลือดสาบาน และใช้สลักลงบนแผ่นศิลา ถือเป็นราชโองการที่จะสืบต่อไปยังเชื้อสายทุกรุ่นของทั้งสองตระกูล
บุรุษตระกูลซินทุกรุ่นที่ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จะรับสตรีตระกูลคังเป็นฮองเฮาได้เท่านั้น หากลูกหลานฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยอมทำตาม ให้ถือว่าผิดคำสาบานต่อบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งแคว้น ต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ และแคว้นเหลียวจะถึงการล่มสลาย
คังหวายซีคือบุตรีในภรรยาเอกของคังกั๋วกง มีน้องสาวร่วมบิดาอยู่สี่นาง หญิงสาวสายเลือดตระกูลคังทุกนางต่างก็ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างเข้มงวด ยิ่งคังหวายซีที่วันข้างหน้าจะต้องรับตำแหน่งฮองเฮายิ่งต้องเคร่งครัดมากกว่าผู้อื่น
พอฟ้าเริ่มสว่าง อันย่าก็ช่วยคังหวายซีแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จพอดี
"คุณหนูไม่สบายตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ" อันย่ามองใบหน้าผู้เป็นนายผ่านกระจกทองเหลืองด้วยความเป็นห่วง
"ข้าสบายดี" หวายซียกยิ้มอ่อนโยนมองสบตาสาวใช้คนสนิทผ่านกระจก ก่อนจะลุกขึ้นยืน "พวกเราไปกันเถิด ปล่อยให้กูกูทั้งแปดรอนาน คงไม่ดีนัก"
อีกเพียงสองเดือน คุณหนูคังจะต้องเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์ไท่จื่อ รัชทายาทแคว้นเหลียว ฮองเฮาผู้มีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆจึงส่งกูกูแปดนางมาช่วยอบรมสั่งสอนหลานสาว
หวายซีก้าวออกจากห้องด้วยกิริยาท่าทางสง่างาม สายตามองตรงแน่วแน่ ลำคอระหงไปจนถึงแผ่นหลังตั้งตรง สองมือประสานไว้ตรงท้องน้อย ทุกย่างก้าวของนางไม่ทำให้ชายกระโปรงสั่นไหวเลยด้วยซ้ำ
หากกูกูทั้งแปดเห็นนางในตอนนี้ บางทีอาจจะคิดว่าไม่จำเป็นต้องสอนแล้วก็เป็นได้ กระทั่งอันย่าที่ตามมาด้านหลังยังมองผู้เป็นนายด้วยความประหลาดใจ
ห้าร้อยปีนับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นเหลียวจนมาถึงวันนี้ รัชสมัยของฮ่องเต้ซินซางถือได้ว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองมากที่สุด ไร้สงครามแย่งชิงดินแดน ทุกแคว้นต่างอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ราษฎรได้อยู่ดีกินดี
ตำหนักไท่จื่อ
บนเตียงกว้างในห้องบรรทม บั้นท้ายแกร่งขยับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กลางหว่างขาเรียวที่ถ่างอ้ากว้างจนเกือบจะเป็นเส้นตรง หญิงงามร่างบอบบางจิกเล็บลงบนที่นอน เม้มปากกลั้นเสียงจนหน้าแดง
เสียงเนื้อกระทบเนื้อ และเสียงหายใจแรงดังสอดประสาน ขันทีนางกำนัลที่รอรับใช้อยู่ด้านนอกได้แต่ยืนก้มหน้าก้มตาเฝ้ารอเข้าไปรับใช้ผู้เป็นนายยามเสร็จกิจ
สตรีแคว้นเหลียวต่างถูกอบรมสั่งสอนอย่างเคร่งครัดเรื่องการปฏิบัติตัวยามอยู่บนเตียง ยิ่งเป็นเตียงของเชื้อพระวงศ์ยิ่งมีกฎเกณฑ์มากกว่าธรรมดา
ทั้งห้ามแตะต้องพระวรกาย และห้ามเปล่งเสียงอันไม่พึงประสงค์ให้เป็นที่ระคายหู ทำให้หญิงงามบนเตียงยามนี้ ทำได้เพียงอดกลั้นจนกว่าพระองค์จะบรรลุเป้าหมาย
อู่เหินไทจื่อ ปีนี้อายุยี่สิบเอ็ด ความหล่อเหลาสง่างาม ต่างเป็นที่โจษจันไปทั่วแคว้นและยังดังไปถึงแคว้นข้างเคียง นอกจากข้ารับใช้ในตำหนักแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่ารัชทายาทแคว้นเหลียวพระองค์นี้เป็นผู้ที่ขาดเรื่องกามกิจไม่ได้
พระองค์ทรงมีอนุและนางกำนัลอุ่นเตียงมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่ละนางล้วนแล้วแต่มีความงดงามเป็นเอกลักษณ์
รัชทายาทซินอู่เหิน เป็นโอรสที่เกิดจากหวงกุ้ยเฟย เพราะคังฮองเฮาทรงให้กำเนิดพระธิดาเพียงองค์เดียว แต่ถึงแม้พระองค์จะให้กำเนิดโอรสก็ไม่แน่ว่าจะได้ขึ้นครองราชย์
เพราะที่ผ่านมาทุกรัชสมัย แคว้นเหลียวต่างเลือกองค์รัชทายาทที่ความสามารถ หาได้ให้ความสนใจในตำแหน่งของมารดา ถึงได้ทำให้แคว้นเจริญรุ่งเรืองอย่างทุกวันนี้
เมื่อเสียงในห้องบรรทมเงียบลง ขันทีและนางกำนัลต่างพากันทยอยเปิดประตูเข้ามาปรนนิบัติผู้เป็นนาย
"อีกสองวัน คุณหนูคังต้องเดินทางไปขอพรที่อารามจี้พ่ะย่ะค่ะ"
เสียงกระซิบกระซาบของเหนียนกงกงขันทีคนสนิททำให้คิ้วของอู่เหินไท่จื่อขยับเล็กน้อย หลังจากสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ พระองค์ก็สาวเท้าตรงไปยังห้องหนังสือ โดยมีเหนียนกงกงและองครักษ์ก้าวตามหลัง
"อีกสองวันเตรียมตัวไปอารามจี้"
"พ่ะย่ะค่ะ"
แท้จริงแล้วองค์ไท่จื่อไม่จำเป็นต้องไปดูหน้าว่าที่พระชายา เพราะต่อให้นางอัปลักษณ์พระองค์ก็ยังคงต้องแต่งกับนางอยู่ดี เรื่องที่ซินอู่เหินยอมรับไม่ได้ที่สุดในชีวิตก็คือเรื่องนี้
ฮ่องเต้ซินซางทรงรักมั่นในตัวหวงกุ้ยเฟยแต่มิอาจมอบตำแหน่งสตรีคู่บัลลังก์ให้นางได้เพราะกฎมณเฑียรบาล
ถึงแม้ว่าตอนนี้องค์รัชทายาทจะยังมิได้มีสตรีอันเป็นที่รัก ด้วยความที่เห็นความเจ็บช้ำของพระมารดา จึงค่อนข้างฝังจิตฝังใจ คิดเปลี่ยนแปลงคำสาบานของเหล่าบรรพชนมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์
พระองค์มิใช่อยากจะไปดูรูปร่างหน้าตาของคังหวายซี แค่อยากไปเห็นสตรีตระกูลคัง เพื่อหาหนทางล้มเลิกการแต่งงาน
จวนคังกั๋วกง
แปดกูกูต่างพากันประหลาดใจ เพราะแค่เพียงครึ่งวันพวกนางก็มิมีสิ่งใดจะอบรมสอนสั่งว่าที่พระชายาในองค์รัชทายาทแล้ว
คุณหนูคังผู้นี้ไม่เพียงแต่เรียนรู้เร็ว แต่ทุกอากัปกิริยาและการวางตัว แม้แต่เสด็จป้าผู้เป็นฮองเฮายังเทียบไม่ติด ทำให้กูกูทั้งแปดต้องรีบกลับวังเพื่อไปรายงาน
ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์แคว้นเหลียว ที่มีการอบรมว่าที่ไท่จื่อเฟยแค่เพียงครึ่งวัน
หลังจากแปดกูกูกลับไป หวายซีก็สาวเท้าตรงไปยังห้องเก็บตำรา
"คุณหนูจะไปที่ใดเจ้าคะ"
"ห้องเก็บตำรา"
"ห้องเก็บตำรา?" อันย่าเอียงคอมองผู้เป็นนายด้วยความสงสัย เพราะตามธรรมดาแล้ว สตรีแคว้นเหลียวไม่มีความจำเป็นต้องอ่านตำรา หรือกระทั่งเล่าเรียนเขียนอ่าน ยิ่งคุณหนูผู้เคร่งครัดของนางด้วยแล้วยิ่งไม่จำเป็น "ไปทำอะไรเจ้าคะ?"
วายซีเพียงหันกลับมายิ้มสดใสแต่ไม่ได้เอ่ยอันใด ยังรักษาจังหวะการก้าวเท้าตรงไปข้างหน้า อันย่าได้แต่เพียงขมวดคิ้วสาวเท้าตามไป
เมื่อสมัยยังเด็ก ด้วยความที่มีสาวใช้ฉลาดเฉลียวและซุกซนอย่างอันย่า และเจ้านายผู้ว่านอนสอนง่ายอย่างหวายซี ทำให้การละเล่นของนายบ่าวคู่นี้ค่อนข้างจะผิดแผกแตกต่างจากเด็กทั่วไป
ยิ่งสิ่งใดที่ถูกห้ามอันย่าก็จะยิ่งสนใจใคร่รู้ หากเพียงเท่านั้นยังพอว่า แต่กลับชักนำคุณหนูตัวน้อยของนางให้ทำทุกอย่าง
สตรีตระกูลคังถูกห้ามไม่ให้เล่าเรียนเขียนอ่าน อันย่าก็แอบพาคุณหนูวัยสี่ปีไปแอบข้างเรือนของเหล่าบุรุษตระกูลคังทุกวัน เพื่อแอบฟังพวกเขาเล่าเรียนศึกษา
ไม่เพียงแค่สองนายบ่าวจะอ่านออกเขียนได้ ยังแอบฝึกวรยุทธทุกวันตั้งแต่เด็ก และยังฝ่าข้อห้ามอีกมากมายที่เป็นกฎเหล็กของสตรี ยังดีที่หวายซีเป็นเด็กที่ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ทำให้ไม่มีใครรู้เรื่องนี้
คุณหนูคังเองก็ไม่เคยคิดที่จะนำสิ่งที่เรียนรู้มาใช้จนกระทั่งตาย แต่หวายซีในยามนี้ หาใช่คังหวายซีในกาลก่อนไม่
