บทที่ 4 นามใหม่
ในยามอรุณรุ่งของวันถัดมา หยางจื่อเยว่ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกเศร้าโศกกับเหตุการณ์ที่นางได้พบเจอ ทั้งความแค้นและความสับสนยังคงวกวนอยู่ภายในใจไม่หยุดหย่อน
ในขณะที่นางลืมตาขึ้นแล้วกวาดมองไปรอบกาย ดวงตาคู่งามกลับทอประกายขึ้นด้วยความดีใจ เมื่อเห็นว่าฟางชิงนั้นปลอดภัยดี บ่าวรับใช้สาวผู้ดูแลนอนฟุบอยู่ด้านข้างของเตียงกว้าง ใบหน้าน้อย ๆ ของฟางชิงซบอยู่บนท่อนแขนของตัวเอง ด้วยใบหน้าที่ยังคงมีความเหน็ดเหนื่อยอยู่บนนั้น
หยางจื่อเยว่จึงขยับกายลุกขึ้นด้วยความแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อของฟางชิงด้วยความแผ่วเบา
“ฟางชิง…ฟางชิง…”
เสียงหวานใสที่เอ่ยเรียกนั้นกระตุ้นให้บ่าวรับใช้คนสนิทลืมตาขึ้นมอง ฟางชิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเบิกดวงตากว้างขึ้นก่อนจะเอ่ยกับนาง พร้อมดวงตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“องค์หญิง…ทรงตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ”
ฟางชิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่บางเบาราวกับกระซิบ ในขณะที่นางค่อย ๆ ยืดตัวขึ้นจากท่านอนและส่งยิ้มให้กับผู้เป็นนาย
“ชู่...อย่าเรียกข้าว่าองค์หญิง”
หยางจื่อเยว่ยกนิ้วเรียวขึ้นทาบริมฝีปากเพื่อปรามฟางชิง หลังจากที่นางได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งเดินย่ำเข้ามาชิดใกล้ ก่อนที่บานประตูจะถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน บ่าวรับใช้สาวราวสองคนก็เดินเข้ามาพร้อมกับอาภรณ์ประจำฤดูหนาวที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้เป็นอย่างดี มามอบให้แก่นาง ก่อนจะพากันเดินออกไปด้วยความรวดเร็วราวกับถูกสั่งไม่ให้รบกวน
นางปรายดวงตามองไปยังอาภรณ์ที่วางอยู่เบื้องหน้าด้วยความสนใจ ก่อนจะขยับกายเข้าไป และเอื้อมฝ่ามือแตะสัมผัสบนเนื้อผ้าที่มีความนุ่มนวล และค่อนข้างหนา
ทำให้นางรู้ได้ในทันทีว่าอาภรณ์เหล่านี้ถูกทอขึ้นมาจากเส้นไหมชั้นดี ลวดลายและการตัดเย็บเป็นไปด้วยความประณีตและงดงาม
“เป็นไหมชั้นดี…”
หยางจื่อเยว่พึมพำ ในขณะที่ฝ่ามือเรียวบางยังคงลูบไล้ไปตามลวดลายของเส้นไหม แล้วหันมองไปยังฟางชิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อเอ่ยถามความคิดเห็น
“เจ้าเห็นหรือไม่ว่ามันงดงามมากเพียงใด แต่ข้ากลับรู้สึกแปลกที่จะต้องใส่มัน”
สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความชั่งใจ แคว้นเสียนกังแม้จะมีฤดูหนาว แต่ทว่าไม่ได้หนาวเหน็บจนต้องโหมประโคมอาภรณ์ขนสัตว์มากถึงเพียงนี้ นางจึงเกิดอาการประหม่าขึ้นมา
“องค์...เอ่อ คุณหนู อาภรณ์เหล่านี้เป็นอาภรณ์สำหรับฤดูหนาว ที่เยี่ยนกั๋วกงเตรียมเอาไว้ให้ สวมใส่มันเถิดเจ้าค่ะ แคว้นเยี่ยนชิงอันหนาวเหน็บยิ่งนัก” ฟางชิงมองท่าทางของผู้เป็นนายที่เริ่มฉายแววความลังเล ก่อนที่นางจะเอ่ยบอก
หยางจื่อเยว่ไม่ได้ตอบสิ่งใดต่อ แต่กลับพยักหน้าให้ฟางชิงเข้ามาช่วยนางจัดการร่างกาย ก่อนจะสวมใส่อาภรณ์ที่งดงาม แล้วสวมเครื่องประดับที่ถูกส่งมาด้วยเช่นเดียวกัน
อาภรณ์ที่สวมใส่เป็นเสื้อคลุมยาวสีฟ้าอ่อน พร้อมกับกระโปรงผ้าไหมสีเงินเงางาม บริเวณปกเสื้อถูกตัดเย็บด้วยขนจิ้งจอกสีขาวที่ฟูฟ่อง พร้อมกับปักเครื่องประดับลงบนเรือนผมที่ถูกรวบครึ่งศีรษะ ทุกสิ่งที่อยู่บนกายของหยางจื่อเยว่ทำให้ภาพลักษณ์ของนางดูสง่างามยิ่งขึ้นไม่น้อย แม้จะไม่ได้เต็มไปด้วยเครื่องประดับมากมาย แต่ก็ดูเหมาะสมและลงตัว
เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยดีแล้ว นางจึงเดินออกจากเรือนนอนและมุ่งตรงไปยังลานกว้าง ในขณะที่ฟางชิงยังคงเดินตามหลังนางไปด้วยความระมัดระวัง
แต่ในทันทีที่สองเท้าก้าวผ่านประตูออกมา นางกลับพบว่าหิมะกำลังตกโปรยปรายลงมาเป็นละอองเล็ก ๆ โชคดีที่จวนของเยี่ยนกั๋วกงเป็นทางเดินยาวที่มีหลังคา นางจึงไม่จำเป็นต้องใช้ร่ม
เสียงกระทบกันของศาตราวุธดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล นางจึงรีบเดินตรงไปยังที่มาของเสียงในทันที ยามนี้บริเวณกลางลานกว้าง มีบุรุษรูปงามกำลังฝึกฝนกระบวนท่าและวรยุทธอยู่ท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลน
ฝ่ามือใหญ่ของเขายังกำร่มสีแดงเอาไว้แน่น ส่วนอีกมือหนึ่งถือดาบเล่มยาวที่สะท้อนแสงแดดรำไรในยามเช้า จนเกิดประกายระยิบระยับ
ร่างกายท่อนบนของเขาไร้อาภรณ์ปกคลุมกาย ผิวพรรณที่ขาวสว่างกลับมีรอยแดงที่เกิดจากหิมะกัดกร่อน แผงอกกว้างเผยให้เห็นถึงกล้ามเนื้อที่แกร่งกล้า แต่ทว่ากลับมีรอยแผลเป็นมากมายอยู่บนร่างกายของเขา ราวกับว่าเขาได้ผ่านศึกสงครามมาจนนับครั้งไม่ถ้วน
ไป๋จิ้งเหิงกำลังฝึกกระบวนท่าด้วยท่าทางที่แข็งแรงและมั่นคง ร่มน้ำมันสีแดง และดาบเล่มยาวภายในมือของเขา กำลังขยับไปตามท่าทางที่ลื่นไหลราวกับกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ที่ไหวไปตามสายลม
เยี่ยนกั๋วกงยังเคลื่อนไหวต่อไปด้วยความรวดเร็ว ร่มสีแดงและดาบเล่มยาวดูเหมือนจะหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือการป้องกัน ท่าทางเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยความแม่นยำและรอบคอบ
เพียงแค่จังหวะกระพริบตาหุ่นเบื้องหน้าที่ตั้งเรียงรายก็ขาดออกเป็นสองท่อนด้วยความรวดเร็ว ทำให้หยางจื่อเยว่อดไม่ได้ที่จะหยุดมองไปยังบุรุษรูปงามที่อยู่เบื้องหน้า ด้วยสายตาที่ชื่นชม
‘รูปงามเหลือเกิน’ ดวงตาคู่งามยังคงจับจ้องไปยังบุรุษท่ามกลางหิมะด้วยความพึงใจ ร่างสูงสง่าที่พลิ้วไหวอยู่ท่ามกลางหิมะ พร้อมกับร่มสีแดงประจำกายทำให้เขาดูเหมือนจิ้งจอกที่ออกมาเริงระบำ สาดเสน่ห์อันน่าหลงใหลให้กับเหยื่อที่พร้อมจะพลีกายเป็นอาหารอันโอชะ
ไป๋จิ้งเหิงรับรู้ได้ถึงสายตาคุ่หนึ่งที่จ้องมองเขาอยู่นาน จึงหยุดการฝึกฝน และปรายดวงตาคมเข้มมายังทิศทางหนึ่ง จนมองเห็นสตรีร่างบางในอาภรณ์ที่เขาบรรจงเลือกเองกับมือ ‘ช่างงดงามนัก’
“อากาศเหน็บหนาวเช่นนี้ ท่านยังคงฝึกอยู่อีกหรือ” หยางจื่อเยว่ขยับกายเข้าไปใกล้ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“แคว้นเยี่ยนมีฤดูหนาวที่เนิ่นนานยิ่งนัก หากเอาแต่คุดคู้อยู่ในที่อุ่น จะฝึกความแข็งแกร่งให้กับร่างกายได้เช่นไร ยิ่งการฝึกนี้ต้องใช้ความเร็วและความแม่นยำ ยิ่งต้องใช้เวลาฝึกฝนที่ต่อเนื่องถึงจะชำนาญ” เยี่ยนกั๋วกงตอบนางด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง
“...”
เมื่อร่างสูงสง่าขยับกายเข้ามาชิดใกล้ สมองของนางกลับขาวโพลนไม่ต่างไปจากหิมะที่กองอยู่บนพื้น แผงอกกว้างที่กระเพื่อมขึ้นลงทำให้ลำคอของนางแห้งผาก ดวงตาคู่งามไม่ได้แหงนขึ้นมองสบตากับเขาแต่อย่างใด นางกำลังเชยชมร่างกายที่งดงามของเขาจนหูดับไปชั่วขณะ
“หยางจื่อเยว่!” เขาตะเบ็งเสียงดัง เพื่อเรียกสติของนาง
“อะ...อืม”
หยางจื่อเยว่พยักหน้ารับ นางยังคงไม่กล้ามองสบตากับเขา จู่ ๆ ใบหน้าของนางกลับร้อนผ่าวขึ้นมาท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดพาให้กายบอบบางสั่นสะท้าน
“เป็นกระไรของเจ้า” เขาเอ่ยถาม ก่อนจะเบี่ยงใบหน้าเพื่อซ่อนรอยยิ้มของตัวเอง
“เปล่า ข้ามิได้เป็นอันใด”
สตรีเบื้องหน้ามีใบหน้าที่แดงก่ำ ทำให้เขารู้สึกขำขันอยู่ไม่น้อย ฝ่ามือใหญ่วางดาบและร่มภายในมือ ก่อนจะหยิบเสื้อสีดำขึ้นสวมใส่ด้วยความอ้อยอิ่ง
“ไปนั่งดื่มชาคลายหนาวที่ศาลาด้านนั้นเถอะ”
เขาบอกกับนาง ก่อนจะโบกมือไล่ข้ารับใช้สาวของนางออกไป
ทว่าร่างเล็กของนางกลับยืนนิ่งไม่ไหวติง เขาจึงสอดมือหนาเข้าไปประสานกับนิ้วเรียวบางทั้งห้าของนาง พร้อมกับก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
“อ๊ะ”
หยางจื่อเยว่ได้สติ แต่นางกลับถูกเขาจูงมือมุ่งตรงไปยังศาลาเบื้องหน้าเสียแล้ว นางพยายามที่จะสะบัดมือของเขาออก แต่มันกลับแน่นเหนียวเสียยิ่งกว่าแป้งเปียก นางจึงได้แต่เดินตามไปอย่างไม่ขัดขืน
“ไป๋จื่อเยว่ นี่คือชื่อของเจ้าหลังจากนี้”
ไป๋จิ้งเหิงเปรยขึ้นมาระหว่างทาง ใบหน้าคมคายก้มมองสตรีที่มีความสูงเพียงหน้าอกของเขา ด้วยรอยยิ้มที่ทำให้หยางจื่อเยว่ตัวเย็นราวกับถูกฝังเอาไว้ในหิมะ
“ไป๋...” นางเอ่ยทวนตระกูลที่เขาตั้งให้อีกครั้ง ดวงตาของนางเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง
“ใช่ ไป๋ ยามนี้เจ้าคือคนหนึ่งในตระกูลของข้า...”