บทที่ 3 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์
หยางจื่อเยว่ ยังคงนั่งอยู่ท่ามกลางเตาฟืนที่ให้ความอบอุ่นทว่าบรรยากาศกลับเย็นยะเยือก ดวงตาสีดำสนิทของนางเต็มไปด้วยความสับสนและความขุ่นเคือง ปลายร่มสีแดงยังจ่อที่บริเวณปลายคางของนาง ในขณะที่เยี่ยนกั๋วกงแสยะยิ้มด้วยท่าทางที่ร้ายกาจและมากเล่ห์
กลอุบายของเขาทำให้นางติดอยู่ในพันธะของคำสัญญา การคำนวณของเขานั้นแม่นยำและรู้เวลา ราวกับว่ารอจังหวะเวลาให้นางเอื้อนเอ่ยในสิ่งที่เขาต้องการออกไป ก่อนจะเฉลยความจริงที่ทำให้หยางจื่อเยว่หน้าชา เห็นทีนางคงประเมินขุนนางอันดับหนึ่งแห่งเยี่ยนชิงอันผิดพลาดไป
คำพูดของเขาเมื่อครู่ยังคงดังก้องอยู่ภายในหูของนาง กรามเล็กขบกันแน่น ก่อนที่ริมฝีปากบางจะขยับเพียงเล็กน้อย
“เจ้าเล่ห์นัก...”
“หรือเจ้าจะผิดสัญญาที่ให้ไว้แก่ข้า...เห็นทีองค์หญิงแห่งเสียนกังคงจะไร้สัจจะวาจาเสียแล้วกระมัง” ไป๋จิ้งเหิงยิ้มกริ่ม เขายังคงจับจ้องไปยังใบหน้าที่งดงามของนางด้วยความพึงใจ
“ทั้งที่ท่านรู้อยู่แล้ว แต่ก็ยังหลอกให้ข้าเอ่ยคำสัญญา ท่านหน้าไม่อายเกินไปแล้วกระมัง”
ดวงตากลมหลุบสายตาลงต่ำ หลังจากที่ถูกดวงตาคู่คมจับจ้องอยู่เนิ่นนานราวกับต้องการกลืนกิน อีกทั้งนัยน์ตาคู่นั้นยังเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่สะกดสายตา พาให้หัวใจของหยางจื่อเยว่เต้นระรัว
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง หากเจ้าทำตามที่ข้าบอก สุดท้ายเจ้าก็จะได้สิ่งที่ต้องการ” เยี่ยนกั๋วกงพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา แต่ทว่าฟังดูหนักแน่น
“ถ้าหากข้าตัดสินใจหนี…ท่านจะทำเช่นไร” หยางจื่อเยว่เอ่ยถามด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“หากเจ้าเลือกที่จะหนี ข้าจะไม่ขัดขวาง แต่จงจำเอาไว้ว่ายามนี้ค่าหัวของเจ้ามีค่ามากเสียยิ่งกว่าทองคำ...”
เยี่ยนกั๋วกงมองนางด้วยแววตาที่ไม่สื่อความหมายใด ก่อนที่เขาจะบอกกับนางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลราวกับสายลมที่พัดผ่าน ทว่าความจริงที่ออกมาจากปากของเขา ทำให้นางรู้สึกจุกแน่นอยู่ภายในอก
นางคือเหมยฮวากงจู่ตัวจริงที่ถูกนักฆ่าตามล่าเพื่อสังหารให้สิ้นซาก ตราบใดที่นักฆ่าเหล่านั้นยังไม่สามารถที่จะเด็ดหัวของนาง พวกเขาก็คงจะไม่หยุดการไล่ล่าได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน
หากว่านางออกไปจากจวนของเยี่ยนกั๋วกง ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ในที่สุด และดูเหมือนว่าชะตาชีวิตของนางยามนี้ได้ผูกเอาไว้กับบุรุษรูปงามแห่งเยี่ยนชิงอันไปเสียแล้ว
“ข้าจะไม่หนี ข้าจะทำตามที่ท่านต้องการ ขอเพียงท่านปกป้องชีวิตของข้าเอาไว้ก็พอ” นางพูดอย่างหนักแน่น
เยี่ยนกั๋วกงยิ้มบาง ๆ ราวกับเป็นการยอมรับในคำพูดของนาง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เคลือบแฝงไปด้วยความพึงพอใจ
“แน่นอนว่าข้าจะปกป้องเจ้า หากเจ้าเชื่อฟังข้า...”
ไป๋จิ้งเหิงวางร่มในมือลง เขาประคองร่างเล็กที่ยังคงเหนื่อยล้าขึ้นไปนั่งบนเตียงกว้าง ใบหน้าที่เย็นเยียบดุจน้ำแข็งมีรอยยิ้มจาง ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า ทว่ารอยยิ้มเขากลับดูกรุ้มกริ่มจนไม่น่าไว้ใจ
“ท่านรู้หรือไม่ ว่าสตรีใดที่เข้าวังเป็นสนมแทนข้า”
หยางจื่อเยว่เอ่ยถามด้วยความสงสัย ระหว่างที่เดินทางมายังแคว้นเยี่ยนชิงอัน ถูกดักทำร้ายก็นับว่าร้ายแรงมากพอแล้ว แต่นี่ดูเหมือนว่ามีคนจงใจจัดฉากทุกอย่างขึ้นมา เพื่อปูเส้นทางในการสวมรอยเป็นองค์หญิงจากแคว้นเสียนกังได้อย่างแยบยล
“ข้าก็มิรู้ ยามที่เจ้าอยู่ที่เสียนกังไม่มีสิ่งใดผิดปกติบ้างเลยหรือ”
ไป๋จิ้งเหิงยักคิ้วขึ้น เขายังคงสงสัยอยู่ไม่น้อย เห็นทีราชวงศ์ของนางจะต้องมีผู้ที่คิดการณ์ใหญ่โตเป็นแน่
“ข้าก็มิรู้...”
หลังจากที่นางเอ่ยออกไป หยางจื่อเยว่ก็รู้สึกได้ถึงดวงตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมา ด้วยท่าทางที่เอาเรื่อง เมื่อเห็นว่านางเอ่ยถ้อยคำเช่นเดียวกับเขาราวกับเลียนแบบ ทั้งที่นางไม่รู้จริง ๆ
“หากเจ้าอยากมีชีวิตรอด เจ้าต้องละทิ้งฐานันดรของเจ้าเป็นการชั่วคราว” เยี่ยนกั๋วกงครุ่นคิดเป็นอย่างหนัก ยามนี้นางไม่อาจแสดงตัวตนที่แท้จริงออกไป
“จะให้ข้าเป็นผู้ใดดีเล่า”
แม้ว่าเรื่องราวของความจริงจะดูเคร่งเครียดและเป็นอันตราย แต่เมื่อนางคิดว่าจะต้องอยู่ในคราบของผู้อื่น นางกลับรู้สึกสนุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นางใช้ชีวิตอยู่แต่ในพระราชวังมาอย่างเนิ่นนาน และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้นางไม่อยากเป็นพระสนม
ชีวิตในวังหลังเต็มไปด้วยการชิงดีชิงเด่น และยึดครองอำนาจในราชสำนัก มารดาของนางมักจะต้องคอยจัดการพระสนมของผู้เป็นบิดาที่ชอบรวมตัวกันก่อความวุ่นวายอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่ที่นางจำความได้ แต่มารดาของนางนับว่าโชคดี เพราะผู้เป็นบิดาไม่มีพระประสงค์ที่จะมีโอรสหรือธิดาที่เกิดจากสนม
“สาวใช้...” เขาเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“สะ...สาวใช้หรือ หากเป็นเช่นนั้น ข้า...”
หยางจื่อเยว่กลืนน้ำลายลงคอ หากนางสวมบทบาทเป็นเพียงสาวใช้ นางก็คงจะไม่ได้มีอิสระอย่างที่นางโหยหามาโดยตลอด สาวใช้ไม่เคยได้อยู่อย่างสบาย ในหนึ่งวันมักจะมีงานให้ทำจนล้นมือ หลังจากเวลาค่ำมืดก็เป็นเวลาพักผ่อนไปเสียแล้ว
“หรือว่าเจ้า...อยากจะเป็นฮูหยินของข้า...”
เมื่อเห็นว่าหยางจื่อเยว่มีท่าทีที่ไม่พอใจกับบทบาทสาวใช้ที่เขามอบให้ ไป๋จิ้งเหิงจึงโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ ริมฝีปากหยักของเขาเหยียดตรงด้วยความเจ้าเล่ห์ ดวงตาสีนิลทอประกายงดงาม จนหัวใจของนางเต้นโครมครามเสียงดัง
ตึกตัก ตึกตัก
“พูดกระไรของท่าน...” นางรีบก้มหน้าลงต่ำเพื่อหลบสายตาที่ทรงพลังคู่นั้นด้วยความว่องไว
“ข้าแค่ล้อเจ้าเล่น หรือว่าเจ้าคิดจริงจัง”
ดวงตาคมเข้มหรี่มองสตรีข้างกาย ก่อนที่เขาจะหยัดกายลุกขึ้นและหยิบร่มเพื่อที่จะเดินออกไป
“ฟางชิง เอ่อ คนของข้าเป็นเช่นไรบ้างหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยถามเขาที่เดินหันหลังออกไป
“สตรีผู้นั้นปลอดภัย แต่องครักษ์ของเจ้า...ถูกสังหารจนหมด” เขาเอ่ยบอกโดยที่ไม่ได้หันหลังกลับไปมอง
“...”
หยางจื่อเยว่รู้สึกปวดร้าวจนไม่อาจกลั้นน้ำตา นางรู้สึกจุกแน่นอยู่ภายในอกจนไม่ได้ตอบโต้ถ้อยคำใด ๆ ออกไป ก่อนที่หยาดน้ำตาจะพรั่งพรูออกมาเป็นสายไหลอาบแก้ม
“น้ำตาไม่ได้ทำให้คนของเจ้าฟื้นคืนมา หากเจ้าไม่อยากเป็นผู้พ่ายแพ้ ก็จงเช็ดน้ำตาให้เหือดแห้ง แล้วพักผ่อนเสียเถอะ”
หลังจากที่เสียงหวานใสเลือนหายไป ไป๋จิ้งเหิงก็รู้ดีว่านางคงจะเสียใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงสะอื้นไห้บางเบา
เขาจึงเอ่ยออกไปโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมอง ก่อนจะเหวี่ยงผ้าเช็ดหน้าสีขาวปักตัวอักษรคำว่าไป๋ไปยังนาง ด้วยความคาดคะเนที่แม่นยำราวกับจับวาง
แหมะ
ผ้าผืนนั้นตกลงบนศีรษะของหยางจื่อเยว่ได้อย่างพอเหมาะนางหยิบมันออกมาก่อนจะเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ทว่านางกลับทำสิ่งที่เขาไม่คาดคิดลงบนผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดที่อยู่ภายในมือ
ครืด ครืด
‘นั่นนางกำลังสั่งน้ำมูกลงบนผ้าผืนนั้นหรือ’ ใบหน้าได้รูปของเขามีรอยย่นระหว่างคิ้ว
“ประเดี๋ยวข้าจะซักคืนนะเจ้าคะ” นางรีบเอ่ยปากขึ้นก่อนที่เขาจะก้าวเท้าพ้นไปจากประตู
“ไม่ต้อง ทิ้งไปเสียเถอะ!”
ไป๋จิ้งเหิงรีบตอบออกไปด้วยความรวดเร็ว หลังจากนั้นเสียงสั่งน้ำมูกก็ดังขึ้นอีกครั้ง จนเขาจำต้องเบ้หน้า ก่อนจะรีบออกไปจากเรือนของตัวเอง
หยางจื่อเยว่ละสายตาขึ้นจากผ้าเช็ดหน้าในมือ นางมองแผ่นหลังกว้างใหญ่ของบุรุษที่เดินออกไปด้วยความรู้สึกที่ประหลาด
แม้ว่าเยี่ยนกั๋วกงจะมีใบหน้าที่เยียบเย็น แต่นางกลับได้เห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ของเขาอยู่หลายครั้งหลายครา
ร่างเล็กนอนราบลงไปบนเตียงกว้าง ดวงตากลมปรือลงด้วยความอ่อนล้า ความเสียใจที่สูญเสียยังคงตรึงอยู่ภายในใจไม่จางหาย ราชวงศ์ของนางทำสิ่งใดผิดพลาดไป ถึงได้มีผู้ที่ลอบสังหารอยู่เบื้องหลังมากมายเช่นนี้
“ข้าขอพึ่งพิงร่มเงาของท่าน เยี่ยนกั๋วกง”
หยางจื่อเยว่พึมพำ ยามนี้เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถเป็นร่มเงาใหญ่ให้นางได้พักพิง จนกว่านางจะได้รู้ว่าผู้ใดที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องราวทั้งหมด