บทที่ 5 ตระกูลไป๋
น้ำเสียงของเขายังคงเต็มไปด้วยความเข้มแข็ง ทว่าในแววตาคมเข้มคู่นั้นกลับซ่อนความอ่อนโยนเอาไว้โดยที่ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด
เหมยฮวากงจู่เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ ภาพของบุรุษถือร่มแดงที่สังหารคนโดยไม่กระพริบตายังคงติดอยู่ในใจ ตั้งแต่ที่ได้พบหน้า นางก็ไม่เคยเห็นเยี่ยนกั๋วกงแสดงสีหน้าที่อ่อนโยนเช่นนี้มาก่อน
“ข้าต้องใช้ด้วยหรือ ในเมื่อผู้คนในแคว้นเยี่ยนชิงอันแห่งนี้ไม่มีผู้ใดรู้จักข้า” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวานใส นัยน์ตาสุกสกาวของนางยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย
“จริงอยู่ที่ผู้คนอาจจะไม่รู้จักเจ้า หากแต่ว่าเหล่านักฆ่าคงจะรู้จักชื่อและใบหน้าของเจ้าเป็นอย่างดีแน่นอน ข้าไม่ได้ว่ากระไร ถ้าหากเจ้าไม่อยากใช้สกุลของข้า...”
เยี่ยนกั๋วกงยกยิ้มขึ้นเพียงเล็กน้อย ก่อนที่จะขยับกายและก้าวเท้าเข้าไปใกล้ ๆ พลางมองใบหน้าของนางอย่างพิจารณา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่แฝงไปด้วยความขัดใจเล็ก ๆ แล้วหันหลังเดินนำออกไป
“ข้าใช้...ข้าจะใช้สกุลของท่าน”
ไป๋จื่อเยว่รีบเดินตามเขาไปในทันที แต่ด้วยความสูงที่มากกว่านางอยู่หลายส่วน ทำให้นางไม่อาจเดินตามได้ทัน นางจึงซอยเท้าถี่และเอื้อมมือคว้าท่อนแขนของเขาเอาไว้
“เปลี่ยนใจแล้วหรือ...” ไป๋จิ้งเหิงยิ้มกริ่ม ก่อนจะเก็บสีหน้าให้นิ่งเฉยดังเช่นเดิม ริมฝีปากหยักรีบเอ่ยถามนางในทันที
“อืม ข้าจะใช้สกุลไป๋ของท่าน” นางพยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ
"สกุลไป๋ของข้า เหมาะสมกับเจ้ามากกว่าสกุลหยางเสียอีก"
บุรุษร่างสูงโน้มกายลงมา พร้อมกับยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาใกล้ จนนางได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายของเขา
“ขะ...ข้าแค่ใช้ชั่วคราวก็เท่านั้น” นางจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“หากเจ้าอยากใช้ไปตลอด ข้าก็ไม่ติดใจกระไร”
เขาบอกกับนางด้วยความเรียบง่าย ใบหน้าของเขายังคงไร้ซึ่งรอยยิ้ม แต่ทว่าในดวงตากลับซ่อนความอบอุ่นที่ไม่อาจปฏิเสธได้ หลังจากที่เขาหมุนกายกลับมา ไป๋จิ้งเหิงก็ถอนหายใจแรงและยิ้มกว้าง ก่อนจะทาบฝ่ามือลงไปยังก้อนเนื้อในอก
“...” คำพูดของเขาทำให้นางยืนนิ่ง ดวงตากลมกระพริบถี่ วาจาของเขาทำให้ใจดวงน้อยของนางเต้นผิดจังหวะขึ้นมากะทันหัน
ไป๋จื่อเยว่เดินตามแผ่นหลังกว้างของเยี่ยนกั๋วกงไปด้วยความรู้สึกประหลาด ราวกับว่าสองเท้าของนางแทบจะลอยขึ้นจากพื้น อีกทั้งใบหน้ายังรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
แม้จะไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะมีมุมที่อ่อนโยนเช่นเดียวกัน มันทำให้นางรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ดวงตาที่เย็นชาและแข็งกร้าวของเขากลับแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจ
ภายในศาลาใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางสวนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนา น้ำที่อยู่ภายในสระใหญ่จับตัวกันจนเป็นน้ำแข็งเพราะอากาศที่หนาวเย็นจัด ไป๋จิ้งเหิงนั่งลงและรินชาร้อนที่เกิดควันฉุยหลังจากที่ได้สัมผัสกับความเย็น และยื่นมันให้นางดื่มคลายหนาว
“ดื่มเสียหน่อยเถอะ”
นางรับมันมาจากมือของเขา ปลายนิ้วเรียวของนางแตะสัมผัสกับนิ้วของเขาจนชะงัก ก่อนจะจับถ้วยชาออกมาและยกขึ้นดื่มในทันที
“อ๊ะ...”
ด้วยความขัดเขินทำให้นางลืมไปเสียสนิทว่าชานั้นร้อนมากเพียงใด มันลวกลงบนปากของนางจนรู้สึกแสบร้อน ไป๋จื่อเยว่รีบวางถ้วยชาลง ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นลูบริมฝีปาก แต่ทว่านางช้าเกินไป
ร่างเล็กสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย เมื่อปลายนิ้วเรียวดุจแท่งเทียนแตะไล้ไปตามกลีบปากที่บวมแดงของนาง ความอบอุ่นจากปลายนิ้วถูกส่งมายังริมฝีปากเล็กของนางจนไม่รู้สึกถึงความเจ็บ
“ไม่คิดเลยว่าองค์หญิงเช่นเจ้าจะซุ่มซ่ามเช่นนี้” เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นใกล้ ๆ กับนาง
“ไม่ใช่เสียหน่อย...ข้าเพียงแต่”
นางรีบเงยหน้าขึ้นเพื่อปฏิเสธในสิ่งที่เขากำลังตำหนินาง แต่ทว่าใบหน้าของนางกลับอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงสามชุ่น ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดใบหน้าจนใจสั่นไหว ดวงตาสีนิลที่ดุดันคู่นั้นกำลังสะกดจิตใจของนางจนลืมเลือนในสิ่งที่จะเอ่ยทัดทาน
ตึกตัก ตึกตัก
‘รูปงามอะไรเช่นนี้’ สิ่งที่นางคิดในยามนี้ คือใบหน้าที่งดงามหล่อเหลาราวกับหยกชั้นดีของเขา นางไม่เคยเห็นบุรุษใดมีรูปโฉมเช่นเขามาก่อน ความร้อนผ่าวแผ่ซ่านขึ้นบนใบหน้า ดวงตากลมเอาแต่จับจ้องริมฝีปากที่แดงก่ำของเขาด้วยใจที่สั่นไหว
“เพียงแต่...อะไรหรือ”
ปลายจมูกเป็นสันคมแตะสัมผัสกับปลายจมูกของนาง
ปลายดวงตาของนางเห็นว่าเขากระตุกยิ้มบริเวณมุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์ เมื่อได้สตินางจึงใช้ฝ่ามือดันแผงอกกว้างของเขาด้วยความอ้อยอิ่ง
“เพียงแต่ข้าไม่ทันระวังก็เท่านั้น” นางก้มหน้าลงต่ำเพื่อซ่อนความเขินอาย
“ในพระราชวังจะมีการแต่งตั้งสนมองค์ใหม่ในเร็ว ๆ นี้”
เมื่อเห็นว่าสตรีเบื้องหน้าเขินอายจนใบหน้าแดงซ่านราวกับเป็นไข้ เขาจึงเลิกแกล้งนาง และเอ่ยพูดถึงเรื่องที่สำคัญให้นางได้รับรู้ในฐานะขององค์หญิงตัวจริงที่ควรจะอยู่ในพิธีที่เกิดขึ้น
“ผู้ใดกัน เหตุใดนางถึงได้อยากเป็นสนมจนต้องปลอมตัวเป็นข้า” นางเปรยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา พลางเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“แคว้นเสียนกังของเจ้าเป็นแคว้นที่ไม่ได้ใหญ่โตกระไรหากเทียบกับแคว้นเยี่ยนชิงอัน หากว่าบิดาของเจ้าไม่ส่งเจ้ามาเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี แล้วจะมีอำนาจที่เพิ่มพูนได้เช่นไร” เขาพยายามที่จะอธิบายให้นางได้เข้าใจถึงอำนาจที่ผู้คนต่างต้องการ
“ข้า...ข้าไม่ค่อยเข้าใจ”
“แม้ว่าเจ้าจะถูกส่งตัวมาเป็นพระสนม แต่ก็เป็นพระสนมชั้นกุ้ยเฟยที่เป็นรองเพียงแค่ฮองเฮา ไม่ว่าอย่างไรอำนาจของฮ่องเต้แคว้นเยี่ยน
ชิงอันก็ต้องส่งผ่านมายังมือของเจ้า หากเจ้าจะคิดการใหญ่สมรู้ร่วมคิดกับองค์รัชทายาทผู้เป็นพี่ชายของเจ้า ยึดครองแคว้นเยี่ยนก็ย่อมได้
‘ยืมมือคนในแคว้นเยี่ยนเพื่อสังหารผู้เป็นเจ้าของแผ่นดิน’ ”
“แต่ข้าและเสด็จพี่ไม่เคยคิดเช่นนั้น การที่เสด็จพ่อส่งข้ามานั่นก็เพื่อขยายเส้นทางการค้าขายอัญมณี แม้ว่าแคว้นเสียนกังจะมีอัญมณีมากมาย แต่ผู้คนในแคว้นล้วนแล้วแต่ยากจน ไม่มีผู้ใดซื้อของที่มากมูลค่า” นางรีบอธิบายถึงเจตนาในทันที
“ข้ารู้ ว่าเจ้าอาจจะไม่ได้คิดจะกระทำเช่นนั้น แต่หากมีผู้ใดผู้หนึ่งในราชวงศ์ของเจ้าคิดการใหญ่ขึ้นมาเล่า”
“ข้านึกไม่ออกจริง ๆ”
ยามนี้เหมยฮวากงจู่นั่งนิ่ง ทว่าในใจกลับเริ่มรู้สึกถึงความไม่สบายใจ นางต้องรีบแจ้งข่าวให้เสด็จพี่และเสด็จพ่อทรงทราบ
“ท่านมีหนทางให้ข้าได้แจ้งข่าวแก่เสด็จพี่ของข้าบ้างหรือไม่” นางเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่รีบร้อน
“ไม่ต้องรีบร้อนไป เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าผู้ใดในแคว้นของเจ้าคิดจะทำการที่อุกอาจเช่นนี้ ในเมื่ออีกฝ่ายแสร้งเล่นละคร เหตุใดเจ้าไม่ให้คนผู้นั้นแสดงให้จบ...”
เยี่ยนกั๋วกงหันมามองนางอย่างเงียบ ๆ สักพัก ก่อนที่จะตอบด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเด็ดขาด คิ้วเข้มเรียงตัวสวยของเขายกขึ้นอย่างเจ้าแผนการ
“ข้าจะทำตามที่ท่านบอก” นางรับฟังในเหตุผลของบุรุษตรงหน้า และเมื่อวาจาของเขาเต็มไปด้วยความจริงที่นางอยากจะรู้
“ข้าจะต้องไปที่พระราชวัง เพื่อเข้าร่วมพิธีแต่งตั้งในครั้งนี้ อาจจะต้องใช้เวลาสองสามวัน ในระหว่างนี้ เจ้าจงอยู่แต่ในจวน ห้ามออกไปที่ใดเด็ดขาด หากมีสิ่งใดที่ต้องการให้แจ้งแก่ชิงหลง องครักษ์ของข้า เข้าใจหรือไม่” เขากล่าวพร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาของนางด้วยความจริงจัง
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” นางตอบออกไป โดยที่สีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความกังวล
เยี่ยนกั๋วกงพยักหน้าอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นว่านางเข้าใจในคำสั่งของเขาเป็นอย่างดี ภายในห้องทำงานระหว่างที่เขากำลังเตรียมตัวเพื่อออกเดินทาง ชิงหลง และชิงหมิงองครักษ์คู่ใจก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
“เยี่ยนกั๋วกง ท่านจะซ่อนองค์หญิงตัวจริงเอาไว้จริง ๆ หรือขอรับ” ชิงหลงเอ่ยขึ้นด้วยความหนักใจ นั่นเป็นเพราะเขาห่วงใยผู้เป็นนายเหนือกว่าสิ่งใด
“หากฮ่องเต้รู้เข้า...” ชิงหมิง เอ่ยเตือนสติ
“หากฮ่องเต้รู้เข้า พวกเจ้ากลัวว่าข้าหัวจะหลุดจากบ่าอย่างนั้นหรือ ฮ่า” เขาหัวเราะขึ้นมาในลำคอ
“โธ่กั๋วกง...” พวกเขาได้แต่เบิกดวงตากว้าง เมื่อผู้เป็นนายหัวเราะขึ้นมาราวกับไม่ทุกข์ร้อนใด
“น้องชายข้าเร่งให้ข้าหาพี่สะใภ้อยู่ทุกวัน พวกเจ้าคิดว่าเป็นเช่นนี้ไม่ดีหรือ...” เขาถามกลับด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
“ทะ...ท่านมีใจให้องค์หญิงผู้นั้นหรือ”
พวกเขาเบิกตากว้างจนแทบจะถลนออกมา เมื่อเห็นว่าเยี่ยนกั๋วกงเปรยถ้อยคำเช่นนั้นออกมา อีกทั้งสีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความสุข
“ใช่ ข้ามีใจให้แก่นาง...” เขายอมรับออกไป โดยไม่คิดจะปิดบังแต่อย่างใด
“เยี่ยนกั๋วกง ได้โปรดคิดให้ดีเถอะขอรับ...”
องครักษ์ทั้งสองทรุดกายคุกเข่าลง พร้อมกับประสานฝ่ามือแล้วก้มใบหน้าลงจรดพื้น เพื่อร้องขอให้เขาคิดทบทวนทุกอย่างให้ดีอีกครั้ง
“หัวอยู่บนคอของข้า มิใช่ว่าผู้ใดจะมาตัดมันง่าย ๆ แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นถึงผู้ครองแผ่นดินก็ตามที...”