บทที่ 2 อ้อนวอน
ฝ่ามือหยาบใหญ่เอื้อมเข้าไปโอบประคองเหมยฮวากงจู่เข้ามาสู่อ้อมกอด ร่างกายของนางเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง ริมฝีปากได้รูปยามนี้ซีดขาวราวกับไร้โลหิต เห็นทีนางคงตากหิมะอยู่นาน เขาจึงเป่าปากเป็นเสียงที่คุ้นเคยดีในหมู่องครักษ์
หลังจากนั้นชิงหมิงก็เดินออกมาจากที่มืด ภายในมือของเขามีบังเหียนอาชาศึกตัวโปรด เทียนหลงเป็นอาชาป่าหน่วยก้านดี แต่มันกลับพยศเป็นอย่างมาก ไม่ยอมให้ผู้ใดย่ำกรายเข้าใกล้ เขาถูกใจมันตั้งแต่แรกเจอ อีกทั้งมันยังให้เขาสัมผัสกายของมันเป็นคนแรก เขาจึงรับมาและฝึกให้เข้าใจในสถานการณ์การรบ
“กลับจวนของข้า...เจ้าพาบ่าวผู้นั้นกลับไปด้วย” เขาสั่งให้องครักษ์ข้างกายเป็นผู้ดูแลสตรีที่ติดตามเหมยฮวากงจู่
“ขอรับ”
ร่างสูงสง่าส่งนางขึ้นหลังของเทียนหลง ก่อนที่เขาจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนอานม้าร่วมกันกับนาง ทว่าเนื้อตัวของนางเริ่มสั่นสะท้าน ริมฝีปากสั่นระริกจนได้ยินเสียงฟันที่กระทบกัน เขาจึงให้นางเอนพิงไปกับไหล่กว้าง แล้วดึงอาภรณ์ผ้าไหมเข้ามาคลุมร่างบางของนางเอาไว้
ฝ่ามือใหญ่กระตุกบังเหียนไปพร้อมกับการเตะขาลงบนท้องของอาชา มันย่ำฝีเท้าด้วยจังหวะเบา ก่อนจะเร่งจังหวะรวดเร็วจนเสียงของเกือกม้าดังก้องไปทั่วบริเวณ
ดวงตาที่งดงามดุจดวงตาของเหยี่ยวสายพันธุ์ดีมองขึ้นไปบนท้องฟ้า หิมะอีกระลอกกำลังโปรยปรายบางเบา เขาจึงหยิบร่มน้ำมันขึ้นมากางเพื่อป้องกันไม่ให้หิมะตกกระทบลงตัวของนาง โดยที่มืออีกข้างยังคงกระชากบังเหียนไม่หยุดยั้ง
เขาก้มมององค์หญิงผู้โชคร้ายเป็นจังหวะ แม้ใบหน้าของนางในยามนี้จะขาวซีด แต่โครงหน้าของนางกลับงดงามจนหัวใจของเขาเต้นระส่ำขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
ใบหน้าของนางรูปไข่มองดูงดงาม คิ้วโก่งดั่งคันศร ดวงตากลมโตที่เคยเบิกกว้างกลับปรือลง จนเหลือเพียงแพขนตาหนางอนที่กระพริบถี่ราวกับว่ากำลังเผชิญกับฝันร้าย จมูกเล็กโด่งเชิดรั้น ริมฝีปากหยักบางและงดงาม เรือนผมของนางยาวสลวยสีดำขลับดั่งขนนกกา
รูปร่างของนางที่อยู่ในอ้อมกอดดูอรชรอ้อนแอ้น เอวคอดกิ่วงดงามได้สัดส่วนราวกับหยกมันที่ผ่านการปั้นแต่ง เขามองใบหน้าของนางอยู่นานจนกระทั่งอาชาของเขามาหยุดอยู่เบื้องหน้าของจวน ที่มีป้ายไม้จันทน์แกะสลัก มีตัวอักษรสีทองเขียนเอาไว้ว่า ‘จวนเยี่ยนกั๋วกง’
เขาสลัดความคิดออกไปและรีบลงจากอาชา ก่อนจะอุ้มนางขึ้นสู่อ้อมกอดพาเข้าจวนด้วยความรีบร้อน ท่ามกลางสายตาที่งงงวยของบ่าวรับใช้ นานทีปีหนพวกเขาไม่เคยเห็นกั๋วกงพาสตรีใดเข้าจวนเช่นนี้
“ชิงหมิง ไปสั่งให้บ่าวนำถ่านไฟเข้าไปที่เรือนนอนของข้า ดูแลบ่าวผู้นั้นให้ดีด้วย” เขาเอ่ยสั่ง ก่อนจะรีบจ้ำเดินไปยังเรือนของตนด้วยความรีบร้อน
เขาวางร่างเล็กที่อยู่ในอาภรณ์เปรอะเปื้อนลงบนเตียงกว้างของเขาเองอย่างไม่นึกรังเกียจ หลังจากนั้นไม่นานบ่าวรับใช้ก็นำถ่านฟืนเข้ามายังด้านใน เพื่อทำให้ห้องนอนของเขาอบอุ่นขึ้น
แคว้นเยี่ยนตั้งอยู่ในทิศบูรพา อากาศในเหมันตฤดูจึงหนาวเย็นนานกว่าปกติทั่วไป
เปลวไฟในเตาฟืนกำลังลุกโชนให้ความอบอุ่นแก่ห้องนอนที่กว้างขวาง บ่าวรับใช้ช่วยกันเปลี่ยนอาภรณ์ให้กับสตรีที่นอนไม่ได้สติด้วยความขะมักเขม้น ก่อนที่พวกนางจะรีบออกไปจากเรือนของเยี่ยนกั๋วกง
เขานั่งเฝ้านางอยู่ด้านข้างเตียง เมื่อได้รับความอบอุ่น สีหน้าที่ซีดขาวของนางก็ดีขึ้นจนเขารู้สึกเบาใจ โดยที่ดวงตายังคงจ้องมองใบหน้าที่งามราวเทพธิดาอย่างไม่ลดละสายตา
หยางจื่อเยว่รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ในขณะที่ความเย็นยะเยือกค่อย ๆ จางหาย ปลายนิ้วมือขยับเล็กน้อย ก่อนที่เปลือกตาจะเปิดออกอย่างช้า ๆ
ภาพแรกที่นางมองเห็นก็คือเพดานไม้ที่ฉลุลายอ่อนช้อยประณีต และเมื่อดวงตาคู่งามกวาดมองไปรอบ ๆ หยางจื่อเยว่จึงพบว่านางกำลังอยู่ในห้องที่รู้สึกไม่คุ้นเคยมาก่อน ทว่านางกลับสะดุ้งจนตัวโยน เมื่อเสียงของบุรุษดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
"ฟื้นแล้วหรือ…"
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากมุมห้อง ดวงตาที่เบิกกว้างรีบหันมองไปตามเสียงด้วยความตกใจ บุรุษผู้นั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ทรงสูง ข้างกายของเขามีร่มน้ำมันสีแดงเพลิงวางเอาไว้
เยี่ยนกั๋วกง ไป๋จิ้งเหิง…
แม้ว่าหยางจื่อเยว่จะไม่เคยพบหน้าของเขามาก่อน แต่นางย่อมรู้จักชื่อเสียงของเขาเป็นอย่างดี บุรุษที่ถือร่มแดงไม่ห่างกาย และผู้ที่ได้รับขนานนามว่าเป็นจิ้งจอกน้ำแข็ง ภายในแคว้นเยี่ยนชิงอันมีเพียงเขาผู้เดียว เยี่ยนกั๋วกง ขุนนางผู้กุมอำนาจสูงสุดรองจากฮ่องเต้ และเป็นบุรุษที่เย็นชาเกินจะหยั่งถึง ภายใต้รอยยิ้มที่เยียบเย็นของเขามักแฝงไปด้วยไอสังหารเสมอ
ไป๋จิ้งเหิงเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลไป๋ ได้รับบรรดาศักดิ์เยี่ยนกั๋วกงต่อจากผู้เป็นบิดา แม่ทัพใหญ่ผู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ของฮ่องเต้คนก่อนมาอย่างเนิ่นนาน หลังจากที่ผู้เป็นบิดาล่วงลับ เขาได้กลายเป็นขุนนางอายุน้อยที่ถูกกล่าวหาว่าไร้ความสามารถ อาศัยเพียงบารมีของผู้เป็นบิดาเพียงเท่านั้น
ทว่าหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปี ความสามารถของเขากลายเป็นที่ประจักษ์ เมื่อเขาและไป๋เจิ้งหยาง ผู้เป็นน้องชาย ยึดครองแคว้นชิงอัน ก่อนจะรวบรวมแคว้นเยี่ยนชิงอันให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อถวายแด่ฮ่องเต้
ตระกูลไป๋จึงเลื่องชื่อลือชาไม่ต่างจากรุ่นของบิดา นอกจากจะมีความสามารถเป็นเลิศ ตระกูลไป๋ราวกับได้พรจากเทพสวรรค์ พวกเขาสองคนพี่น้อง ล้วนแล้วแต่มีใบหน้าที่งดงามราวกับจิ้งจอกมากเสน่ห์ แม้จะเต็มไปด้วยความโหดร้าย ดุดัน ก็ตามที
หยางจื่อเยว่พยายามยันกายลุกขึ้น นางรู้สึกปวดร้าวไปทั่วทั้งร่าง แต่ก็ฝืนกายลุกขึ้น ก่อนจะคุกเข่าลงบนพื้น ทิ้งศักดิ์ศรีองค์หญิงที่มีออกไปจนหมด ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของไป๋จิ้งเหิง
“เยี่ยนกั๋วกงได้โปรด…อย่าส่งตัวข้ากลับไปยังวังหลวงของเยี่ยนชิงอัน” นางกล่าวด้วยเสียงแผ่ว นัยน์ตาฉายแววแห่งความวิงวอนราวกับว่านางเห็นเขาเป็นที่พึ่งสุดท้าย
ไป๋จิ้งเหิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะวางถ้วยชาลงบนโต๊ะไม้ด้วยเสียงเบา ท่าทางของนางทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว ดวงตาที่รื้นไปด้วยหยาดน้ำตาทำให้เขารู้สึกแย่ขึ้นมาไม่น้อย
"เจ้าเป็นองค์หญิงที่แคว้นเสียนกังส่งมาเป็นพระสนมเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้น เดิมทีต้องเป็นข้าที่ต้องไปรับเจ้าด้วยตัวเอง"
เขาเอ่ยกับนางโดยไม่ใช้ถ้อยคำที่บ่งบอกถึงสถานะระหว่างชนชั้น เขาเห็นนางเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งเท่านั้น
“ข้าไม่อยากเป็นสนม ได้โปรด...” นางยังคงคุกเข่าอ้อนวอนต่อเขา
"เหตุใดจึงขอร้องให้ข้าขัดราชโองการ" ไป๋จิ้งเหิงเอ่ยเสียงเรียบ การขัดพระราชโองการเป็นสิ่งที่ขุนนางเช่นเขาไม่ควรกระทำ
"ข้าไม่ได้เต็มใจที่จะเป็นสนม ข้าถูกส่งตัวมาเพื่อประโยชน์ของแคว้น แต่ข้า…กลับถูกลอบสังหารระหว่างทางจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดและข้าไม่ต้องการเป็นเพียงหมากในเกมการเมือง"
หยางจื่อเยว่เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเอ่ยปากบอกความจริงแก่เขา ดวงตาที่สั่นระริกเต็มไปด้วยความกดดัน
ไป๋จิ้งเหิงเงียบไปครู่หนึ่ง แววตาของเขาเย็นชาและไม่อาจคาดเดาความคิด
“แล้วเจ้าคิดว่าจะหนีจากชะตากรรมได้ เพียงเพราะข้ายื่นมือช่วยเหลือได้อย่างนั้นหรือ”
หยางจื่อเยว่กัดริมฝีปากจนโลหิตซึม ร่างกายของนางยังคงสั่นสะท้านจากความหนาวและความหวาดกลัว นางรู้ดีว่าเยี่ยนกั๋วกงเป็นบุรุษที่มิอาจคาดเดา หากเขาปฏิเสธ นางคงไม่สามารถหนีไปที่ใดได้อีกแล้ว
ไป๋จิ้งเหิงจ้องมองนางเพียงครู่หนึ่ง ร่างสูงสง่าก้าวเท้าเดินไปหยุดเบื้องหน้าของนาง และใช้ปลายร่มเคาะบริเวณคางของนางเบา ๆ เพื่อบังคับให้นางเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา
"เจ้าเข้าใจหรือไม่ ว่าหากข้าช่วยเจ้า นั่นหมายความว่าข้ากำลังขัดขืนราชโองการของฮ่องเต้ โทษฐานหลอกลวงเบื้องสูง องค์หญิงเช่นเจ้ารู้ดีมิใช่หรือ ว่าโทษของมันโหดร้ายเพียงใด"
หยางจื่อเยว่จ้องมองเข้าไปในดวงตาคมกริบของเขา มือทั้งสองข้างของนางกำแน่นอยู่ข้างลำตัว นางรู้อยู่แล้วว่าการขอให้บุรุษตรงหน้าช่วยเหลือคือการเดิมพันที่มีโอกาสเพียงน้อยนิด แต่หากไม่เดิมพัน นางจะมีทางรอดได้เช่นไร
"ข้ายอมทำทุกอย่างไม่ว่าท่านต้องการสิ่งใด ข้ายินดีแลกเปลี่ยน ขอเพียงอย่าส่งข้ากลับไปก็พอ" นางกล่าวด้วยท่าทางที่หนักแน่น
ไป๋จิ้งเหิงหัวเราะเบา ๆ รอยยิ้มของเขาเย็นชาแต่ทว่าแฝงไปด้วยความสนใจในตัวของสตรีเบื้องหน้าอยู่ไม่น้อย
"เช่นนั้นหรือ หวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูดและหัวของข้า หากวันข้างหน้าเรื่องจริงกระจ่าง" เขาเอ่ยช้า ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงเพื่อกระซิบข้างใบหูนาง
“ข้าสัญญา”
"ข้าจะไม่ส่งตัวเจ้ากลับไป เพราะว่ายามนี้มีสตรีผู้หนึ่งเข้าวังเป็นพระสนมแทนเจ้าไปแล้ว ฮ่า"
ไป๋จิ้งเหิงหัวเราะออกมาด้วยท่าทางที่เหนือกว่า เขาหลอกให้นางเอ่ยคำสัญญา โดยที่เขารับรู้ตั้งแต่แรกว่านางต้องการสิ่งใด และมีใครบางคนสวมรอยเป็นเหมยฮวากงจู่ เพื่อเป็นพระสนมแทนนาง
“...”