บทที่ 1 เหมยฮวากงจู่
หิมะสีขาวยังคงโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าดั่งกลีบดอกเหมยต้องกับสายลมที่พัดพา ท้องฟ้าสีเทาหม่น บ่งบอกถึงความเหน็บหนาวที่กำลังกัดกินทุกสรรพสิ่งไม่เว้นแม้กระทั่งยอดหญ้าและใบไม้ที่เคยเขียวขจี
หยางจื่อเยว่ หรือเหมยฮวากงจู่ เป็นองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของฮ่องเต้แห่งแคว้นเสียนกัง หยางจื่อหลินผู้เป็นบิดาพระราชทานนามเหมยฮวา ที่สื่อความหมายว่า ดอกเหมยที่ทนทานต่อความหนาวเย็น อดทนและเข้มแข็ง
ยามนี้สตรีร่างระหงประทับนั่งอยู่ภายในรถม้าที่ถูกประดับด้วยธงรูปดอกเหมย สัญลักษณ์ประจำพระองค์ ใบหน้างดงามยังคงเรียบเฉย แต่ทว่าหัวใจของนางกลับหนาวเหน็บยิ่งกว่าสายลมเย็นที่พัดพาอยู่ด้านนอกหลายเท่านัก
การเดินทางในครั้งนี้หยางจื่อเยว่หาได้เต็มใจเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะราชโองการของผู้เป็นบิดา ด้วยความงดงามและชาติกำเนิดที่สูงส่งทำให้นางไม่อาจทัดทาน นางจึงถูกส่งตัวมาแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้น ด้วยการเป็นพระสนมของฮ่องเต้แห่งแคว้นเยี่ยนชิงอัน
ทว่า
ฟิ้ว...ฉึก
กรี๊ด
เสียงของลูกธนูแหวกผ่านอากาศเข้ามายังด้านในของรถม้า หัวเหล็กของมันปักลงบนเนื้อไม้ ผ่านหัวไหล่ของนางไปเพียงไม่ถึงสองชุ่น [1] บ่าวรับใช้ของนางกรีดร้องเสียงหลง ขณะที่องครักษ์ทางด้านนอกพยายามตั้งรับการโจมตีจากศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ
“องค์หญิง อย่าออกมาด้านนอกเด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงองครักษ์ของผู้เป็นบิดาร้องบอก แต่ไม่ทันที่หยางจื่อเยว่จะได้เอ่ยตอบเขา รถม้าก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเพราะการโจมตีอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว อาชาตกใจจนเตลิด คนคุมบังเหียนจึงเสียการควบคุม แรงกระแทกทำให้นางและบ่าวสาวกลิ้งไปกลิ้งมาภายในตู้โดยสาร
“มีคนลอบทำร้าย รีบปกป้ององค์หญิงเร็วเข้า!”
เสียงตะโกนดังขึ้นท่ามกลางเสียงอาวุธที่กำลังปะทะกัน เสียงกรีดร้องของบ่าวรับใช้และขันทีผู้ติดตามทำให้หยางจื่อเยว่ใจสั่นด้วยความหวาดกลัว และในระหว่างที่นางพยายามตั้งสติ รถม้าก็พลิกคว่ำลงไปในหิมะอย่างแรง
ร่างเล็กกลิ้งหลุน ๆ ออกมาจากรถม้า แรงปะทะทำให้ศีรษะของนางชนเข้ากับก้อนหินที่อยู่บนพื้น ความเจ็บปวดทำให้ใบหน้าได้รูปยับย่น แต่ยังไม่ทันจะได้พักหายใจ เงาดำของบุรุษในอาภรณ์ดำที่แฝงเร้นกายอยู่ในความมืดก็ปรากฏกายขึ้น
"นางยังไม่ตาย รีบสังหารองค์หญิงเสีย!"
บุรุษร่างหนาราวสามถึงสี่คนสาวเท้าเข้ามาใกล้ ตั้งท่าจะเข้าโจมตีหวังจะปลิดชีพของนาง ดาบของพวกมันตวัดง้างขึ้นอย่างเต็มกำลัง แต่หยางซีกลับรุดเข้ามาตั้งรับดาบนั้นเอาไว้ พร้อมกับองครักษ์คนอื่น ๆ ที่เข้ามาปกป้องนาง
"ฟางชิง เจ้าพาองค์หญิงหนีไปเร็วเข้า!" หยางซีเอ่ยสั่งบ่าวรับใช้สาวที่ตัวสั่นอยู่ข้างกายเหมยฮวากงจู่
"หยางซี ข้าไม่อาจทิ้งเจ้า..." หยางจื่อเยว่ส่ายหน้าระรัว นางไม่อาจทิ้งผู้ติดตามจากแคว้นเสียนกังเพื่อหนีเอาชีวิตรอด
"ไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ คนพวกนี้มาเพื่อเอาชีวิตของพระองค์!" องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ ยังคงประดาบกับศัตรู แม้ว่าอาภรณ์ของเขาจะอาบย้อมไปด้วยโลหิต
"ไปเพคะ องค์หญิง ไม่มีเวลาแล้ว"
ฟางชิงสูดลมหายใจ กลืนความหวาดกลัวลงไปในลำคอ นางคว้าข้อมือเล็กให้ออกวิ่งไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง
แต่สตรีหรือจะมีแรงกำลังหลีกหนีบุรุษร่างกำยำ พวกมันวิ่งตามหลังมาอย่างบ้าคลั่ง หยางจื่อเยว่กัดฟันแน่น แล้วหยิบดาบจากองครักษ์ที่ไร้ลมหายใจขึ้นมาถือเอาไว้แน่น
"องค์หญิง จะสู้กับพวกกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ" หนึ่งในพวกมันแสยะยิ้มอย่างน่าเกลียด ก่อนจะขยับเท้าเข้ามาใกล้
"พวกเจ้าไล่ข้าดั่งสุนัขจนตรอก จะให้ข้าอยู่เฉย ๆ ได้เช่นไร" นางกำดาบในมือแน่น พลางดันฟางชิงให้หลบอยู่ทางด้านหลัง
"เช่นนั้นพวกข้าจะเป็นสหายให้พระองค์ได้เล่นสนุกก่อนตายก็แล้วกัน ฮ่า"
เคร้ง
ดาบเล่มงามถูกฟันลงมาโดยไม่ยั้งมือ หยางจื่อเยว่รับดาบนั้นเอาไว้อย่างทันท่วงที แรงที่กดลงมาทำให้แขนเล็กของนางสั่นไหวเล็กน้อย ริมฝีปากเล็กเม้มแน่น ก่อนที่นางจะนึกถึงคำสอนของผู้เป็นพี่ชาย จังหวะนั้นฝ่ามือบางจึงพลิกดาบแล้วตวัดเข้าลำคอของบุรุษชุดดำจนโลหิตสาดกระเซ็น
แม้ว่าเหมยฮวากงจู่จะถูกส่งตัวมาเพื่อเป็นพระสนม แต่นางก็ถูกพี่ชายสอนการใช้อาวุธมาบ้าง นางจึงมิใช่สตรีอ่อนแอ แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี การหลบหลีกการปะทะจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
นางจึงใช้แรงเฮือกสุดท้ายยันกายลุกขึ้นก่อนจะจับมือของฟางชิง แล้วหันหลังวิ่งหนีไปยังป่าหิมะที่อยู่เบื้องหน้า
หิมะหนานุ่มถมลงบนเท้าให้จมลึก การก้าวเท้าแต่ละก้าวเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่หยางจื่อเยว่ก็ยังคงกัดฟันฝืนวิ่งต่อไป แม้ลมหายใจจะเริ่มหอบถี่กระชั้นและไร้เรี่ยวแรง การอยู่ในสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยหิมะ ทำให้ร่างกายบอบบางเย็นยะเยือกจนแทบหมดสติไป
'ข้าจะหนีไปได้อีกไกลแค่ไหนกัน เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ท่านพี่ ข้าจะได้มีชีวิตกลับไปพบพระองค์อีกสักครั้งหรือไม่'
เมื่อไร้หนทาง ความคิดถึงก็จู่โจมภายในจิตใจให้ดำดิ่ง นัยน์ตาคู่งามคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ริมฝีปากเล็กขบกันแน่นจนได้กลิ่นเลือดจาง ๆ
เสียงฝีเท้าของชายชุดดำยังคงตามไล่ล่าอยู่ไม่ไกล ความเหนื่อยล้าเริ่มกัดกินท่อนขาเล็กของนาง ในขณะที่สายตาเริ่มพร่ามัว เพราะอากาศที่หนาวเย็นจนร่างเล็กในอาภรณ์ขนจิ้งจอกสั่นสะท้าน
ฟุ่บ
"ฟางชิง!"
ฝ่ามือเล็กที่นางจับเอาไว้หลุดออก ก่อนที่ฟางชิงจะล้มลงไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะ
"องค์หญิง หนีไปเพคะ!" นางปัดมือองค์หญิงตัวน้อยออก แล้วเอ่ยปากให้นางรีบหนี
"ไม่ ข้าไม่ไป" ร่างเล็กพยายามที่จะพยุงฟางชิงขึ้นมาจากหิมะ
"หนีไม่รอดแล้วสินะ องค์หญิงยังอยากสนุกอยู่หรือไม่"
ปลายเท้าของบุรุษอาภรณ์ดำเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าเหี้ยมเกรียมยกยิ้ม พร้อมกับง้างดาบในมืออีกครั้ง นางจึงปรือดวงตาลงด้วยความจำใจ เมื่อไม่อาจหลบหนี
ฟึ่บ พลั่ก
ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้น หลังจากเกิดเสียงทิ้งตัวลงไปบนกองหิมะ ชายชุดดำนอนนิ่งอยู่บนพื้นที่แดงฉาน กลิ่นคาวของโลหิตคลุ้งไปทั่วบริเวณ
"สตรีเพียงผู้เดียว พวกเจ้าก็ยังจะทำร้าย"
เงาของบุรุษร่างสูงใหญ่พาดผ่านลงมาจากที่สูง ยามนี้แสงจันทร์บนท้องนภาเริ่มเปล่งแสง
หยางจื่อเยว่เงยใบหน้าขึ้นมองไปตามเสียงจนได้พบบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่บนกิ่งก้านดอกเหมยที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน
เขาสวมอาภรณ์ชั้นดีสีดำสนิท ภายในมือข้างหนึ่งถือร่มน้ำมันสีแดงสดกางกั้นหิมะที่ยังคงโปรยปราย ส่วนมืออีกข้างมีดาบยาวที่กำลังสะท้อนแสงจันทร์เงางาม ปลายดาบมองเห็นโลหิตที่หยดลงบนพื้น ผ้าไหมสีดำของอาภรณ์พลิ้วไหวไปตามสายลม ในขณะที่ดวงตาเฉียบคมจับจ้องไปทางศัตรูด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
"ยะ...เยี่ยนกั๋วกง" พวกมันชะงักค้าง ร่นเท้าถอยหลังด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
"อืม ข้าเอง ยังไม่รีบหนีอีกหรือ ไม่ต้องการมีชีวิตแล้วหรืออย่างไร" น้ำเสียงเย็น แต่กลับทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง พวกมันไม่ตอบโต้ แต่กลับหันหลังวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งเห็นผี
ฟึ่บ
เยี่ยนกั๋วกงตวัดดาบออกไป หลังจากที่เขาปรายดวงตามองมายังสตรีโฉมงามที่นั่งตัวสั่นอยู่ในกองหิมะ ก่อนที่บุรุษชุดดำราวห้าคนจะทรุดกายลงบนพื้นจนแน่นิ่งไป เพียงดาบเดียวเขาสามารถสังหารคนได้ถึงห้าคน
ด้วยวรยุทธที่สูงส่ง ดาบของเขาก็กลับมาอยู่ภายในมือหลังจากที่ได้ดื่มโลหิต ก่อนที่ร่างสูงสง่าจะกระโดดลงมาจากต้นไม้ใหญ่ สองเท้าของเขาแตะพื้นด้วยความแผ่วเบา
"เฮ้อ ข้ารอดแล้ว"
หยางจื่อเยว่ผ่อนลมหายใจยาว หัวใจของนางเต้นระรัวอย่างไม่อาจควบคุม
หลังจากที่นางยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ ดวงตาของนางกลับพร่าเลือนลงไปทุกที และหลังจากนั้นร่างเล็กของนางก็หงายหลังไปกับพื้นหิมะ
"องค์หญิง!" ฟางชิงส่งเสียงเรียกผู้เป็นนาย ทว่าความหนาวเหน็บทำให้นางอ่อนแรงจนไม่อาจขยับกาย
ในภาพสุดท้ายที่หยางจื่อเยว่มองเห็น ก็คือบุรุษผู้ถือร่มแดง ย่อกายลงมาและชันเข่าข้างนึ่ง ริมฝีปากเขาขยับช้า ๆ ก่อนที่สติของนางจะดับวูบลงไป
“ข้าจะทำเช่นไรกับเจ้าดี เหมยฮวากงจู่”
[1] 1 ชุ่น ประมาณ 1 นิ้ว
