บทนำ บุรุษถือร่มแดง
ในค่ำคืนที่ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีเทาทะมึน มวลหมู่ดาวที่เคยส่องแสงเจิดจรัสประดับฟากฟ้าก็อับแสงลง แม้กระทั่งดวงจันทราก็ยังคงเลือนหายออกไปจากผืนฟ้าราวกับได้ถูกความมืดมิดกลืนกินไปด้วยเช่นเดียวกัน มีเพียงสายลมแรงเท่านั้นที่พัดเสียงหวีดหวิว ผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ จนเกิดการเสียดสีท่ามกลางความเงียบสงบ ส่งให้บรรยากาศภายในผืนป่าเต็มไปด้วยความวังเวงและดูน่ากลัว
อีกทั้งยามนี้ยังคงมีหิมะที่พรำละอองบาง ๆ ตกลงมาไม่ขาดสาย โดยหิมะที่ตกหนักก่อนหน้าทำให้ยอดหญ้าและใบไม้ถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวโพลน น้ำแข็งที่เกาะตามพื้นถนนและทางเดิน ทำให้การสัญจรเป็นอันตราย และเป็นไปอย่างยากลำบาก
ทว่ากลับมีกองคาราวานจากต่างแคว้นเดินทางผ่านเข้ามา และในขณะที่รถม้าหรูหรามีธงประจำตำแหน่งของแคว้นเสียนกัง กำลังเคลื่อนตัวผ่านทิวไม้ใหญ่ทั้งสองฟากฝั่ง กลับต้องหยุดชะงักอย่างไม่คาดคิด เมื่ออาชาคู่หนึ่งที่ลากจูงตู้โดยสารเกิดความหวาดกลัวและตกใจจนไม่อาจก้าวเท้าต่อไปข้างหน้าได้ มันจึงหันเหไปทางด้านข้างและรีบกระตุกตัวออกจากเส้นทางจนน่าแปลกใจ
"เหตุใดอาชาเหล่านี้จึงมีท่าทางหวาดกลัวไปได้เล่า!"
อากาศที่หนาวเย็นจัด ทำให้เกิดเป็นควันขาว ในยามที่เปล่งเสียงออกมา
บุรุษในอาภรณ์ขุนนางสีน้ำเงินเข้มตะโกนด้วยเสียงที่ดังลั่น เมื่ออาชาทั้งสองเกิดพยศขึ้นมาในระหว่างทาง พร้อมกับพยายามบังคับให้อาชากลับมาเดินทางต่อ แต่ความดื้อรั้นของม้าที่ทำให้เขารู้สึกโกรธจนแทบจะควบคุมสติไม่อยู่
"เกิดอันใดขึ้น" เสียงของสตรีที่อยู่ในรถม้าเปล่งออกมาด้วยความหงุดหงิด
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน จู่ ๆ พวกมันก็พยศขึ้นมา”
บุรุษที่ถือบังเหียนตอบโต้กับอีกฝ่ายด้วยความสนิทสนม ราวกับว่าได้ลืมสิ่งใดบางอย่างไปในระหว่างที่กำลังหัวเสียกับอาชาจนหมดสิ้นแล้ว
แค่ก แค่ก
“ระวังวาจาของเจ้าด้วย” สตรีในรถม้ากระแอมขึ้น และเอ่ยเตือน
“กระหม่อมขออภัยพ่ะย่ะค่ะ”
บุรุษผู้นั้นพยายามที่จะควบคุมบังเหียนอีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่อาจบังคับอาชาได้อย่างเต็มที่ เขาใช้กำลังที่มีดึงบังเหียนให้ม้าเชื่อง แต่ทว่าพวกมันกลับมีท่าทีตื่นตระหนกและระแวง จนกองคาราวานจำต้องหยุดชะงักไปด้วยเช่นเดียวกัน
ในขณะที่ขุนนางหนุ่มกำลังง่วนอยู่กับการปราบอาชาที่กำลังพยศ จู่ ๆ กลับมีลมหนาวพัดกรรโชกสร้างความหนาวสะท้าน จนรู้สึกเสียวสันหลัง เขาจึงหยุดชะงักและกวาดสายตามองไปยังความมืดมิดเบื้องหน้า แต่ทว่าทุกอย่างกลับดูปกติดีราวกับว่าเป็นเขาที่หวาดระแวงไปเอง
ขุนนางวัยหนุ่มจ้องมองออกไปเบื้องหน้าอีกครั้ง เมื่อรู้สึกเหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่แฝงตัวอยู่ในอากาศใกล้ ๆ กับเขา ก่อนจะเกิดเสียงลมหวีดหวิวบางเบา ๆ ช่างวังเวงจนขนหัวลุก ก่อนที่เสียงนั้นจะกลายเป็นเสียงที่ดังแทรกผ่านความมืด จึงทำให้เขารู้สึกได้ถึงความไม่ปกติในทันที
กึก
เสียงฝีเท้าของใครบางคนเหยียบย่ำลงบนหลังคาของรถม้าด้วยความแผ่วเบา เรียกสายตาที่เริ่มสั่นไหวให้ปรายขึ้นมอง ฝ่ามือที่ถือโคมไฟสั่นสะท้านเล็ก ๆ เขาชูมันขึ้นเหนือศีรษะและส่องไปทางด้านบนของรถม้า แต่ทว่าเขากลับต้องผงะ เมื่อดวงตาสบเข้ากับบุรุษผู้หนึ่ง
บุรุษที่ยืนอยู่บนหลังคารถม้า มีรูปร่างที่สูงโปร่งสง่างาม สูงราว ๆ แปดฉื่อ กล้ามเนื้อกระชับได้สัดส่วน ไหล่กว้างอกผายกำยำบึกบึน สวมอาภรณ์ผ้าไหมปักลายสีดำสนิท ภายในมือของเขามีร่มน้ำมันสีแดงเพลิงวาดลวดลายนกเฟิ่งหวงที่คล้ายกับกำลังโบยบิน ท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาไม่ขาดสาย
ในจังหวะที่เขาขยับปลายร่มขึ้นจนมองเห็นใบหน้าที่งดงาม หล่อเหลา ประหนึ่งเทพเซียนที่ลอยลงมาจากสรวงสวรรค์ ใบหน้าของเขาคมเข้มหล่อเหลาราวหยกสลัก กรามคมเด่นชัด คิ้วเข้มพาดเฉียง ดวงตาคมกริบประดุจเหยี่ยว นัยน์ตาสีนิลดุดันน่าค้นหาและมีเสน่ห์ที่ลึกลับ แพขนตาหนางอนงาม จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากหยักสีแดงระเรื่อที่กำลังแสยะยิ้มด้วยความน่ากลัว ไม่ต่างจากจิ้งจอกที่หิวกระหายและพร้อมจะฉีกเหยื่อออกเป็นชิ้น
เรือนผมสีดำสนิทถูกรวบครึ่งศีรษะ สวมด้วยกวานเงินประดับทองบอกถึงฐานะที่ไม่ธรรมดา ปลายผมที่ปล่อยสยายพลิ้วไหวไปกับสายลมเย็น เฉกเช่นเดียวกับผ้าคลุมไหล่สีเข้มที่โบกสะบัดต้านทานแรงลม เขาคือบุรุษรูปงามที่ไม่ควรปรากฏกายออกมาในยามวิกาลเช่นนี้
"เยี่ยนกั๋วกง..."
ขุนนางหนุ่มเงยใบหน้าขึ้นมองมองด้วยความตกใจ และในทันทีที่โคมไฟภายในมือส่องเห็นใบหน้าของบุรุษผู้มาเยือนให้เต็มตา เขาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบที่วิ่งผ่านเข้าไปในกระดูกจนสองขาแข็งเกร็ง เมื่อบุรุษผู้นั้นขยับปลายร่ม จนมองเห็นรอยยิ้มที่พร้อมจะช่วงชิงวิญญาณออกไปจากร่างได้ทุกเมื่อ เขาก็แทบจะหยัดยืนต่อไปไม่ไหว ทั้งแขนและขากลับอ่อนแรงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
“ผู้ที่ส่งพวกเจ้ามาล่อลวงข้าช่างเลือดเย็นนัก รู้ทั้งรู้ว่าหากศัตรูได้อยู่ต่อหน้าข้า ย่อมไม่มีชีวิตรอด แต่ก็เลือกที่จะส่งมา”
น้ำเสียงที่เย็นเยียบไม่แพ้หิมะที่โปรยปรายดังขึ้น บริเวณมุมปากของเขากระตุกยิ้มกว้าง มันดูเย็นชาประหนึ่งก้อนน้ำแข็ง แต่ทว่าสีหน้ากลับไม่แสดงถึงอารมณ์ใดออกมา ร่างสูงสง่ายังคงยืนอยู่บนหลังคารถม้าด้วยท่าทางไม่แยแส
ข้ารับใช้และขันทีที่ร่วมเดินทางมากับกองคาราวานเริ่มมีท่าทีที่หวาดกลัว โดยเฉพาะชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่ควบคุมรถม้า ดวงตาของเขาเหม่อลอยราวกับถูกสะกดจิต ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างกระชับอาวุธของตัวเองด้วยมือที่สั่นไหว
“เยี่ยนกั๋วกง ข้าเองก็อยากจะเห็นกับตาว่าฝีมือการต่อสู้ของท่านเก่งกาจสักเพียงใด” เสียงของสตรีในรถม้าดังขึ้นด้วยความใจเย็น
“เหมยฮวากงจู่ พระองค์ไม่คิดจะออกมาให้กระหม่อมได้ยลโฉมพระพักตร์เลยหรือ...” เยี่ยนกั๋วกงแค่นเสียงออกมาด้วยความท้าทาย
ฟึ่บ
ทว่าปลายดาบที่แหลมคมกลับแทงผ่านหลังคารถม้าขึ้นมาบริเวณปลายเท้าของเขา เยี่ยนกั๋วกงจึงก้าวเท้าหลบหลีกด้วยความว่องไว เขาเป็นนักรบที่ชำนาญทั้งวรยุทธและกลศึก การเคลื่อนไหวของเขานั้นรวดเร็วและงดงาม
กลีบปากหยักเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ก่อนที่เขาจะกระโดดลงมาจากด้านบนหลังคารถม้าด้วยท่วงท่าที่สง่างาม หลังจากนั้นฝ่าเท้าทั้งสองข้างก็แตะลงบนพื้นด้วยความแผ่วเบาแต่กลับดูแข็งแรง อีกทั้งท่าทางของเขายังคงความสุขุมเอาไว้ตลอดเวลา
"สมกับเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งของเยี่ยนชิงอัน ฝีมือกั๋วกงนั้นไม่ธรรมดา แต่วันนี้ข้าไม่อาจปล่อยให้ท่านรอดชีวิต"
เสียงของสตรีดังขึ้น พร้อมกับเสียงหวีดของสายลมรอบกาย ทำให้เยี่ยนกั๋วกงรับรู้ได้ว่านางกำลังพุ่งตัวออกมาจากด้านในรถม้า และก็เป็นเช่นนั้น เมื่อปลายดาบที่ถูกตีจากโลหะชั้นดีถูกจ่อออกมาเบื้องหน้าของเขา
ร่างสูงสง่าใช้เพียงปลายร่มตวัดไปมา เพื่อรับแรงที่สตรีอาภรณ์ดำสาดส่งใส่เขาอย่างไม่เว้นจังหวะให้ได้หายใจ สตรีผู้นี้คือนักฆ่า กระบวนท่าของนางจึงว่องไวและรีบร้อน
“น่าเสียดายที่นักฆ่าเช่นเจ้าต้องมาตายด้วยน้ำมือข้า เอาล่ะ ข้าไม่อยากประวิงเวลา ประมือกับเจ้ามาครู่ใหญ่แล้ว ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำต่อ...”
ภายในดวงตาคู่คมของเขา มีแสงวูบวาบราวกับเปลวไฟร้อนแรงปรากฏขึ้นมา แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความเยือกเย็นที่ไม่อาจคาดเดา
ร่างสูงใหญ่ขยับกายเข้าประชิดนักฆ่าสาว ร่มแดงภายในมือถูกเขาพับเก็บจนปลายด้ามของร่ม ปรากฏดาบปลายแหลมคมที่พร้อมจะชกชิงลมหายใจมาจากผู้เป็นศัตรู
กองคาราวานถูกสั่งให้กรูกันเข้ามาห้อมล้อมบุรุษร่มแดงเอาไว้ แต่ทว่ากลับมีทหารกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใต้อาณัติของเยี่ยนกั๋วกงเข้ามาขวางและสังหารศัตรูจนสิ้นซากเพียงแค่ชั่วพริบตา
“เยี่ยนกั๋วกง...” องครักษ์คู่ใจของเขาเอ่ยเรียกผู้เป็นนาย
“รอข้าประเดี๋ยว”
เขาตอบองครักษ์ด้วยถ้อยคำสั้น ๆ เพียงเท่านั้น ก่อนจะมุ่งมั่นสังหารนักฆ่าสาวผู้มากฝีมือ ร่างใหญ่ของเขากระโจนเข้าหานางด้วยความรวดเร็วประหนึ่งสายลมที่พัดผ่าน จังหวะแรกปลายดาบของเขาเฉือนเข้าที่บริเวณหน้าท้องของนาง จนร่างบางโซเซ
การเคลื่อนตัวครั้งที่สองเขาฟาดปลายคมลงไปที่ข้อมือเล็กจนดาบในมือของนางร่วงหล่นตกลงสู่พื้น ก่อนจะออกแรงกระชากร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอด แล้วจ่อปลายดาบที่ลำคอของนาง
“ข้าแพ้แล้ว...”
สตรีอาภรณ์ดำเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม นางเป็นนักฆ่าที่มากฝีมือ การได้ประมือกับบุรุษเช่นเขาถือว่าคุ้มค่า แม้จะถูกสังหารก็ตามที
ดวงตายาวรีทอประกายความกระหายโลหิต เขายิ้มเหี้ยมเกรียม และกระซิบข้างใบหูของนาง ก่อนจะตวัดปลายมีดเข้าที่ลำคอระหงอย่างไร้ความปรานี ก่อนที่ร่างนั้นจะทรุดลงไปกองบริเวณแทบเท้าของเขา
“ข้าไม่เคยปล่อยให้ศัตรูมีลมหายใจ...”
“เยี่ยนกั๋วกง หน่วยสอดแนมรายงานว่า มีรถม้าของแคว้นเสียนกัง กำลังมุ่งหน้าเข้าไปที่พระราชวังแล้วขอรับ”
ชิงหมิงรีบเข้ามารายงานในทันที ก่อนที่เขาจะยื่นผ้าผืนหนึ่งให้กับผู้เป็นนายได้เช็ดโลหิตที่สาดกระเซ็นออกจากใบหน้า
ภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าหาได้ทำให้เขาหวาดกลัว การได้รับใช้เยี่ยนกั๋วงกงมานานหลายปี ทำให้เขารับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าจิ้งจอกน้ำแข็งผู้นี้โหดเหี้ยมมากเพียงใด
“คนผู้นี้ช่างดึงดันเสียจริง ๆ ปล่อยให้พวกเขาทำตามแผนการต่อไปก็แล้วกัน รีบออกตามหาเหมยฮวากงจู่ให้เจอโดยเร็วที่สุด”
“ขอรับ”
ใบหน้าคมคายมีรอดยิ้มผุดพรายขึ้น เขาเดินข้ามซากศพไปด้วยความเลือดเย็น ก่อนจะกระโดดขึ้นบนหลังอาชาสีดำทมิฬนำหน้าองครักษ์ที่ติดตามออกไปด้วยความรีบร้อน ตราบใดที่เขายังหาเหมยฮวากงจู่ตัวจริงไม่พบ หน้าที่ของเขาย่อมยังไม่ถือว่าสิ้นสุด...