บทที่ 17 แสร้งแสดงได้ไม่พอใช้น้ำตาแตกช่วย
ฉีซินจื่อมองดูนางอย่างรังเกียจ พร้อมพูดขึ้นว่า “ไสหัวออกไป คนไม่ได้เรื่อง เห็นเจ้าแล้วก็ขวางหูขวางตา”
ติงตังกำลังจะรีบออกไป ฉีซินจื่อกลับพูดขึ้นมาว่า “ใช่ ตอนนี้แม่นมฉางเป็นอย่างไรบ้าง”
ติงตังสะดุ้ง พร้อมพูดขึ้นว่า “แม่นมฉาง……แม่นมฉางถูกพระชายาวางยาพิษ จนถึงตอนนี้ยังนอนซมอยู่ ไม่รู้ว่าจะสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ไหม”
“สาหัสขนาดนี้เลยหรือ?”
ติงตังรีบพยักหัว
ความคิดมากมายแล่นวาบผ่านก้นบึ้งหัวใจของฉีซินจื่อ สุดท้ายความโกรธก็ถูกระงับไว้อย่างนิ่งสงบนิ่ง โยนคำเตือนของเซียวจิ่นหมิงทิ้งไป แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า “ให้แม่นมฉางมาพบข้า”
ในเมื่อศิษย์พี่ไม่ใช่นางเป็นฝ่ายไปหาเรื่องหยุนหรั่นเฟิง งั้นนางก็จะกระทำอย่างมีเหตุผล แบบนี้ต่อให้สุดท้ายศิษย์พี่รู้แล้ว ก็จะไม่โทษนาง
แม่นมฉางเข้ามาถึง ก็คุกเข่าร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าฉีซินจื่อพร้อมพูดขึ้นว่า “คุณหนู ท่านต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้บ่าวนะ”
แม่นมฉางตัวบวมไปทั้งร่างกาย ดูไม่ออกแล้วว่ารูปลักษณ์เป็นอย่างไร ฉีซินจื่อถอยหลังไปสองก้าวอย่างรังเกียจแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่เจ้าถึงกลายเป็นเช่นนี้?”
“คุณหนู ล้วนเป็นฝีมือนังผู้หญิงพิษร้ายคนนั้นทำร้ายข้า ทั้งๆที่นางรู้ว่าข้าเป็นคนของท่าน ยังลงมือวางยาพิษข้า” ”แม่นมฉางหมอบหัวโขกพื้นไม่หยุด พร้อมพูดขึ้นว่า “คุณหนู คนแบบนั้นคู่ควรกับตำแหน่งพระชายาได้อย่างไร ทั้งๆที่ตำแหน่งนั้นเป็นของท่าน นางไม่คู่ควรที่จะหิ้วรองเท้าให้ท่านด้วยซ้ำ ท่านต่างหากที่เป็นประมุขในจวนของเราอย่างแท้จริง”
ฉีซินจื่อยิ้มหัวเราะอย่างได้ใจ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ข้าเป็นเพียงพระชายารองคนหนึ่ง ไม่ใช่ประมุขประจำบ้านอะไร แต่ในเมื่อเจ้ามาขอร้องต่อหน้าข้าแล้ว ไม่ว่ายังไงวันนี้ ข้าก็จะต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเจ้า”
“ขอบพระคุณคุณหนู”
จากนั้นพวกฉีซินจื่อก็พากันมายังเรือนเหอซินอย่างเกรียงไกรหมายรุกราน หยุนหรั่นเฟิง ได้ยินความเคลื่อนไหวจึงเดินออกมา กวาดสายตามองเห็นแม่นมฉางที่อยู่ด้านหน้าสุด ดวงตาฉายวาบแววเฉียบคม พร้อมพูดขึ้นด้วยท่าทีเกียจคร้านว่า “ยกโขยงมากันอย่างศึกใหญ่ นี่พระชายารองจะมาถวายพระพรข้าหรือ?”
แม่นมฉางกลับมองดูหยุนหรั่นเฟิง พร้อมพูดขึ้นว่า “พระชายาชั่วร้ายคนนี้ที่วางยาพิษทำร้ายข้า พระชายารอง ท่านต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้กับข้านะ”
ซินจื่ออดกลั้นไว้แล้วไปพาแม่นมฉางมา เป็นการใช้ความอดทนอย่างที่สุด เห็นหยุนหรั่นเฟิงยังกล้ายั่วยุ ความโกรธแค้นในใจยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้น
นังสารเลวคนนี้ครั้งก่อนเพิ่งถูกทำร้าย เห็นทีคงยังไม่จดจำการถูกสั่งสอน
“หยุนหรั่นเฟิง นี่เป็นจวนองค์ชายแปด เจ้าทำร้ายแม่นมในจวนแบบนี้ ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก วันนี้ข้าจะเรียกร้องความยุติธรรมให้กับแม่นม” ฉีซินจื่อพูดเสร็จ ก็กระโจนตัวพุ่งมาหาหยุนหรั่นเฟิง นิ้วมือกางเป็นกรงเล็บ พุ่งตรงไปยังใบหน้างดงามของหยุนหรั่นเฟิง
แววตาหยุนหรั่นเฟิงเย็นชา ครั้งที่แล้วถูกทำร้าย เพราะนางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีวรยุทธ ครั้งนี้หากยังให้อีกฝ่ายทำร้ายได้ นางก็จะโง่เขลาแล้วจริงๆ
หยุนหรั่นเฟิงก้าวเท้าหลบอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น ปืนพกที่รัดไว้ตรงหว่างขาตกอยู่ในอุ้งมือ ลั่นไกปืนอย่างคล่องแคล่ว ปราดเปรียว
ปัง....
เสียงดังโครมคราม เป็นที่ตกตะลึงไปทั้งจวนองค์ชายแปด มือทั้งคู่ของหยุนหรั่นเฟิงถือปืนไว้ สายตาเยือกเย็น ลูกกระสุนเฉียดผ่านผมที่ปอยด้านข้างของซินจื่อ เส้นผมบางส่วนถูกไฟไหม้ ส่วนต้นไม้ใหญ่ที่โดนกระสุน แยกออกจากกันอย่างสยดสยอง
สายตาซินจื่อตื่นตระหนกหวาดกลัว นิ้วมมือสั่นเทา นางไม่เคยเข้าใกล้ความตายขนาดนี้มาก่อน
ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบโต้ หยุนหรั่นเฟิงตะโกนพูดขึ้นว่า “ทหาร จับตัวคนร้าย”
ทหารจวนที่ได้ยินเสียงดังแล้วรีบมา ได้ยินคำพูดของหยุนหรั่นเฟิง ก็รีบชักดาบล้อมรอบไว้
“พระชายา คนร้ายมีไหน?”
หยุนหรั่นเฟิงส่งเสียงเมินอย่างเย็นชา สะบัดแขนเสื้อชี้ไปยังซินจื่อ พูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำจนคนฟังสั่นสะท้านว่า “เมื่อกี้พระชายารองฉีคิดจะทำร้ายข้า จับตัวนางไว้"
ทหารจวนรับผิดชอบความปลอดภัยภายในจวน รู้สถานการณ์ภายในจวนเป็นอย่างดี จึงต่างก็มองหน้ากัน ล้วนไม่กล้าเดินหน้า
แม่นมฉางเห็นแบบนี้ ก็รีบพูดขึ้นอย่างเหน็บแนมว่า “พระชายา ที่นี่เป็นจวนองค์ชายแปด ไม่ใช่จวนแม่ทัพใหญ่ คนที่เป็นประมุขคือองค์ชาย ใครๆต่างก็รู้ คุณหนูของเราต่างหากที่เป็นคนโปรดขององค์ชาย เจ้าถือว่าตนเองเป็นใคร คู่ควรที่จะออกคำสั่งคนในจวนหรือ”
พัฟ
หยุนหรั่นเฟิงยกฝ่าฟาดตบ จนแม่นมฉางล้มกองบนพื้น
นางยิ้มหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าเป็นตัวอะไร? ข้าเป็นพระชายาเอกที่แต่งงานกับเซียวจิ่นหมิงอย่างถูกต้องตามประเพณี นางฉีซินจื่อต่อให้เป็นที่รักใคร่ของเซียวจิ่นหมิงแค่ไหน ยังไงข้าก็เป็นพระชายาของจวนองค์ชายแปด หากวันนี้ข้าถูกรังแกแม้เพียงนิด รอเมื่อเซียวจิ่นหมิงกลับมา ข้าจะอาละวาดให้ทั้งจวนองค์ชายแตกกระจาย นิสัยของข้าทุกคนน่าจะรู้ดี อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทำ”
สีหน้าหัวหน้าทหารจวนเปลี่ยนไป
เขามีหน้าที่รับผิดชอบปกป้องภายในจวน รู้อยู่แล้วว่าช่วงนี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น และก็รู้ว่าพระชายาตรงหน้าคนนี้ไม่ธรรมดา เมื่อคิดไปคิดมา จึงหันไปมองพระชายารองฉี ที่ค่อนข้างคุยง่ายหน่อย พร้อมพูดขึ้นว่า “พระชายารอง ไม่ทราบว่าท่านกลับไปก่อน รอองค์ชายกลับมา ค่อยจัดการเรื่องนี้”
ฉีซินจื่อหันกลับมาทันที ร่างกายสั่นไหวอยู่อย่างเงียบๆ
นางแลดูอ่อนแอ ความจริงแล้วหยิ่งยโส ถึงแม้หยุนหรั่นเฟิงจะเป็นพระชายา แต่นางคิดมาตลอดว่าตนเองเป็นนายหญิงของจวนองค์ชายแปด ท่าทีแบบนี้ของหัวหน้าทหารจวน เห็นได้ชัดว่านางด้อยกว่าหยุนหรั่นเฟิง
นางจะทนรับได้อย่างไร
“ทำไม ในสายตาเจ้า ข้าสู้หยุนหรั่นเฟิงไม่ได้หรือ? ดังนั้นข้าจึงจำต้องถอย ฉันต้องอดทน?”
หัวหน้าทหารจวนอ้าปากตกตะลึงตาค้าง พร้อมพูดขึ้นว่า “พระชายารอง ข้าน้อยไม่ได้หมายความแบบนี้”
ฉีซินจื่อยกฝ่ามือผลักหัวหน้าทหารจวนออกไป
แล้วก็เคลื่อนตัวมาถึงตรงหน้าหยุนหรั่นเฟิง
ฝ่ามือเต็มล้นไปด้วยกำลังภายใน พุ่งไปฟาดตบหยุนหรั่นเฟิง กลับคิดไม่ถึงว่าตรงหน้าจะมีผงหอมลอยมาจู่โจม นางรู้สึกตัวทันทีว่าแย่แล้ว กำลังจะถอยหลัง แต่ผงนั้นก็เข้าสู่จมูกแล้ว เพียงพริบตาเดียว ร่างกายของนางก็อ่อนแรงลงอย่างไม่สามารถควบคุม ไม่มีเรี่ยวแรงแม้เพียงนิดเดียว
หยุนหรั่นเฟิงไม่มีความเกรงใจ ยกฝ่ามือฟาดตบลงไป อย่างเสียงดังฟังชัด บนใบหน้าขาวผ่องของฉีซินจื่อ ปรากฏร่องรอยฝ่ามือแดง
ทุกคนเงียบสงบ
สีหน้าหยุนหรั่นเฟิงเยือกเย็น มองดูฉีซินจื่อที่อ่อนแรงกองอยู่บนพื้น พร้อมพูดขึ้นว่า “ฉีซินจื่อ ข้าเคยบอกเจ้าแต่แรกแล้ว เราต่างก็ไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกัน เจ้าก็ยังเลือกที่จะมาหาเรื่องข้าถึงที่ เจ้าเห็นว่าค่าไม่มีทางสู้จริงๆหรือ?”
ฉีซินจื่ออยากดิ้นรนตอบโต้ แต่ทั้งร่างกายอ่อนแรง ไม่สามารถที่จะออกแรงได้เลยสักนิด พูดขึ้นด้วยเสียงแหบว่า “หยุนหรั่นเฟิง เจ้ากล้าตบข้า”
“ทำไมข้าจะไม่กล้า?” หยุนหรั่นเฟิงหัวเราะเย้ย ยกฝ่ามือขึ้นมาจะฟาดตบลงไป กลับถูกคนคว้าจับข้อมือไว้ พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงทุ่มต่ำว่า “หยุนหรั่นเฟิง เจ้าทำอะไร”
คนที่มาไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นเซียวจิ่นหมิง
เดิมเซียวจิ่นหมิงอยากที่จะมาตอบตกลงว่าจะกลับไปเยี่ยมบ้านพร้อมกับหยุนหรั่นเฟิง จึงตั้งใจที่จะมาดู กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อเข้าประตูมาแล้วจะมองเห็นภาพนี้
แววตาฉีซินจื่อเป็นประกาย ดิ้นรนที่จะซบแนบอกเซียวจิ่นหมิงอย่างอ่อนแรง พร้อมพูดขึ้นว่า “ศิษย์พี่ ข้า ข้า....ใบหน้าข้าเจ็บ”
เซียวจิ่นหมิงมองดูรอยนิ้วมือบนหน้าฉีซินจื่อ แล้วก็พูดขึ้นอย่างโกรธโมโหว่า “หยุนหรั่นเฟิง เจ้าใช้อำนาจบาตรใหญ่ขนาดนี้ คิดว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้หรือ”
หยุนหรั่นเฟิงบีบนวดข้อมือที่ปวดเมื่อย ดวงตากะพริบ รีบหันไปส่งสายตาให้หลินหลัง ปากกับพูดว่า “ข้าใช้อำนาจบาตรใหญ่ หรือฉีซินจื่อเอาเปรียบกลั่นแกล้งคน? เซียวจิ่นหมิง ที่นี่มีคนเยอะแยะ เจ้ากล้าที่จะให้คนอื่นอธิบายให้เจ้าฟังไหม ไม่ถามถึงเหตุผลถูกผิดแล้วก็ก่นด่าคน เจ้าเห็นว่าเจ้าเป็นองค์ชายแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือ”
