บทที่ 13 ขออวยพรให้เจ้างดงามบริสุทธิ์ไปตลอด
ฮูหยินที่หลินหลังพูดถึง คือแม่ของหยุนหรั่นเฟิงที่เสียชีวิตไปแล้ว อีกฝ่ายเหลือสิ่งของไว้ให้เพียงไม่กี่ชิ้น ปิ่นปักผมนั่นก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนที่แต่งงานให้กับหยุนโม่ เป็นหนึ่งในสินสอดที่ได้มา
ตอนแม่ของหยุนหรั่นเฟิงยังมีชีวิตอยู่ชอบสวมอย่างมาก หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว หยุนโม่ก็ชอบเอาปิ่นปักผมออกมาเพราะคิดถึงเจ้าของ ต่อให้ไม่อยากแค่ไหน สุดท้ายก็ยังเอาปิ่นปักผม ให้มากับสินสอดของหยุนหรั่นเฟิง
นี่เพิ่งกี่วันเอง ทำไมถึงหายไปได้
สีหน้าหยุนหรั่นเฟิงเยือกเย็น หันไปมองพ่อบ้านหลิวอย่างเย็นชา พร้อมพูดขึ้นด้วยสายตาเฉียบคมว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
พ่อบ้านหลิวสีหน้าขาวซีด พร้อมพูดขึ้นว่า “บ่าวไม่รู้ ข้าจะไปดูเดี๋ยวนี้ ของเข้าออกจากคลังล้วนมีบันทึกไว้ ข้า.....”
“คึกคักกันขนาดนี้เลยหรือ” เสียงอ่อนโยนอ่อนหวานดังขึ้นมา ฉีซินจื่อเดินเข้าไปในเรือนอย่างเชื่องช้า นางน่าจะตั้งใจแต่งตัวเป็นพิเศษ แต่งหน้าประณีตสวมชุดสง่างาม ปิ่นปักผมสีเขียวมรกตบนหัวสีสันสดใส ทำให้แลดูบอบบางและยิ่งน่ารัก
“ศิษย์พี่ให้ข้ามาดู กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเสด็จพี่พระชายา ดูสิ....พ่อบ้านหลิว เจ้าก็เป็นถึงผู้เฒ่าในบ้านแล้ว ทำไมทำงานไม่รอบคอบเช่นนี้ ทำให้เสด็จพี่พระชายาโกรธโมโหขนาดนี้”
หลินหลังสายตาดี สายตามองไปเห็นปิ่นปักผมบนหัวฉีซินจื่อ แล้วก็แทบกลั้นหายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “คุณหนู ปิ่นปักผมนั่น”
สายตาหยุนหรั่นเฟิงมองไปบนหัวฉีซินจื่อ แล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ปิ่นปักผมของข้า ทำไมถึงอยู่กับเจ้า?”
สายตาฉีซินจื่อฉายแววได้ใจ พร้อมพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “เสด็จพี่พระชายาเลอะเลือนหรือเปล่า ปิ่นปักผมอันนี้ศิษย์พี่เป็นคนให้ข้า ทำไมถึงกลายเป็นของท่าน?” นางพูดพร้อมกับยกมือลูบปิ่นปักผมอย่างโอ้อวด เกินคำบรรยาย
แววตาหยุนหรั่นเฟิงแน่นิ่ง ค่อยๆเดินมาตรงหน้าฉีซินจื่อ แล้วก็หัวเราะขึ้นมา
ใบหน้าของนางงดงามสดสวย เมื่อยิ้มหัวเราะ นางก็ยิ่งดูสวยงดงามยิ่งขึ้น แทบจะสะกดสายตาทุกคน
สายตาฉีซินจื่อฉายแววอิจฉา
ผู้หญิงคนนี้ แย่งตำแหน่งพระชายาที่ควรจะเป็นของนางไป ทำลายงานแต่งงานของนาง บีบบังคับศิษย์พี่จนถึงตอนนี้นางยังไม่เคย.....นางกลายเป็นตัวตลกในสายตาผู้คน แต่หยุนหรั่นเฟิงไม่เพียงได้สินสอดกลับคืนไป ยังแพรวพราวขนาดนี้
วันนี้ นางจะมองดูนางร้องไห้
นางหัวเราะเย้ย กำลังจะพูด กลับถูกหยุนหรั่นเฟิงพูดแทรกขึ้นมาว่า “ไม่รู้มาก่อนว่า พระชายารองมีชาติกำเนิดต่ำต้อย ยังมีนิสัยขี้ขโมย การหยิบไปโดยไม่ถามถือเป็นการขโมย เจ้าสวมสิ่งของของข้ามาเดินอวดตรงหน้าข้า เพราะกลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าเจ้าขี้ขโมยหรือ?”
ฉีซินจื่อได้ยินแบบนี้แล้ว สายตาฉายแววสังหารขึ้นมา มือกำหมัดแน่น ใบหน้าที่เงยขึ้นมากลับยิ้มแย้ม พร้อมพูดขึ้นว่า “เสด็จพี่พระชายา พูดอะไรอย่างนั้น เจ้าทำของหล่นหายเอง เกี่ยวข้องอะไรกับข้า?”
หยุนหรั่นเฟิงไม่อยากโต้เถียงกับฉีซินจื่อ น้ำเสียงเรียบเฉยจนฟังไม่รู้ถึงอารมณ์ความรู้สึก พูดขึ้นมาตรงๆว่า “ตอนที่ข้ายังสามารถอดทนได้ เอาปิ่นปักผมมาคืนให้ข้า”
“อ๋า? นี่เสด็จพี่พระชายาใช้อำนาจข่มเหงคน?” ฉีซินจื่อหัวเราะเย้ย พร้อมพูดขึ้นว่า “ที่นี่เป็นจวนองค์ชาย ไม่ใช่จวนแม่ทัพใหญ่ สิ่งของบางอย่างที่เสด็จพี่พระชายาอยากแย่งชิง ตอนนี้ไม่มีคนในครอบครัวคอยปกป้อง คิดว่าใครๆก็จะยอมท่านหรือ?”
หยุนหรั่นเฟิงเลิกคิ้ว เคลื่อนไหวเข้ามาใกล้ฉีซินจื่ออย่างกะทันหัน ใช้เสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน พูดขึ้นอย่างยั่วยุว่า “เพียงแค่มีเซียวจิ่นหมิงให้ท้ายก็อวดดีได้ถึงเพียงนี้หรือ ข้าทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้ แต่ข้าสามารถทำให้เจ้าบริสุทธิ์ผุดผ่องไปตลอด เจ้าเชื่อไหม?”
เรื่องในคืนวันแต่งงาน ถือเป็นความเจ็บปวดภายในใจฉีซินจื่อมาตลอด นางคิดไม่ถึงว่าหยุนหรั่นเฟิงจะกล้าพูดแทงใจดำของนาง นางรักษาภาพพจน์ไม่ได้อีกต่อไป สายตาเย็นชา ยกมือขึ้นมา ฟาดตบไปหาหยุนหรั่นเฟิงอย่างรุนแรง
ฉีซินจื่อกับเซียวจิ่นหมิงเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ถึงวรยุทธเทียบเท่าเซียวจิ่นหมิงไม่ได้ แต่รับมือคุณหนูอย่างหยุนหรั่นเฟิงนั้น สามารถทำได้ง่ายๆ
หยุนหรั่นเฟิงไม่ทันตั้งตัว ต่อให้รู้ตัวจะหลีกเลี่ยง แต่ก็ยังหลบไม่ทัน จากนั้นก็ถูกผลักให้เซไป ล้มลงพื้นอย่างแรง
เจ็บมาก
หยุนหรั่นเฟิงกอดไหล่กัดฟันแน่น เห็นทีนางต้องทำอะไรบ้างแล้วแหละ ต่อให้ไม่ได้เป็นถึงยอดฝีมือ อย่างน้อยก็ต้องสามารถปกป้องตนเองได้
นางแอบคิดในใจ ไม่ได้สังเกตเห็นว่าฝ่ามือนี้ ทำให้เสื้อผ้าของนางค่อนข้างยุ่งเหยิง เผยให้เห็นผิวขาวบนหน้าอกกว้าง ร่องรอยบนหน้าอกที่ยังไม่จางหายนั้น ปรากฏภายใต้ชุดกระโปรงสีดำ ทำให้แลดูค่อนข้างแสบตา ฉีซินจื่อมองดูอยู่อย่างตาแดง คิดจะฟาดลงไปอีกหนึ่งทีอย่างไม่แม้แต่จะคิด
ฆ่านาง ฆ่าคนที่แย่งศิษย์พี่กับตน
หยุนหรั่นเฟิงเจ็บปวดจนหมดแรงไปทั้งร่างกาย ยกมือขึ้นมายังทำไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลบ
สีหน้าของนางเยือกเย็น กำลังคิดจะเอามือมาจากในช่องว่าง
กลับเห็นร่างเล็กร่างหนึ่งวิ่งมาขวางตรงหน้านางอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายสั่นเทาไปหมด กลับพูดขึ้นอย่างเสียงดังว่า “คุณหนูข้าเป็นพระชายา เจ้า เจ้ากล้าทำร้ายนาง ข้า แม่ทัพเราไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
ฉีซินจื่อหยุดชะงักทันที
นางลืมไปแล้วว่า นังสารเลวคนนี้ยังมีจวนแม่ทัพใหญ่กับไทเฮาเหนียงเหนียงอยู่เบื้องหลัง หากตายอยู่ที่นี่จริงๆ นางยอมรับการลงโทษไม่ไหว
แต่ความแค้นนี้ นางจะทนกลืนลงไปได้อย่างไร
ฉีซินจื่อดึงปิ่นมรกตลงมาจากหัวอย่างกะทันหัน โยนลงบนพื้น ใช้เท้าเหยียบย่ำ ปิ่นปักผมงดงามกลายเป็นผงทันที นางเงยหน้าขึ้น มองดูหยุนหรั่นเฟิงอย่างเย็นชา ใช้เสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคนพูดขึ้นว่า “หากเจ้ารู้ตัว ก็รีบไสหัวไป ไม่อย่างนั้น ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะกลายเป็นเหมือนอย่างปิ่นอันนี้”
หยุนหรั่นเฟิงเคลื่อนไหวเล็กน้อย กระทบบาดแผลอย่างไม่ได้ตั้งใจ เจ็บปวดจนนางไอขึ้นมา แล้วหัวเราะเย้ย พูดขึ้นว่า “ใครตาย ยังไม่รู้เลย”
ฉีซินจื่อกวาดสายตามองดูหยุนหรั่นเฟิงอย่างเหยียดหยาม แล้วเดินจากไปอย่างไม่หันหน้ากลับมา
หลินหลังทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว รีบประคองหยุนหรั่นเฟิงลุกขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นด้วยสายตาแดงว่า “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไหม? ข้าไปตามหมอมาให้ท่านดีไหม”
หยุนหรั่นเฟิงอาศัยหลินหลังลุกขึ้นมา ขยับปลายนิ้วเล็กน้อย สีฟ้าในมือนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย มองดูปิ่นมรกตบนพื้นที่ละเอียดเป็นผง รอบกายเยือกเย็น พร้อมพูดขึ้นด้วยสายตาเฉียบคมว่า “วางใจ คนที่เป็นอะไร ไม่ใช่ข้าแน่นอน”
……
ค่ำคืนมืดมิด เสียงกีบม้าที่รวดเร็วมาหยุดอยู่ที่จวนองค์ชาย เซียวจิ่นหมิงเงยหน้าขึ้น ก็มองเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของฉีซินจื่อยืนอยู่หน้าประตู
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมพูดขึ้นว่า “ยังไม่หายดี ทำไมถึงมายืนตากลม”
ฉีซินจื่อพูดขึ้นอย่างยิ้มหวานว่า “ศิษย์พี่ ไม่เป็นไร เมื่อก่อนตอนอยู่สำนักทุกครั้งที่เจ้าฝึกวรยุทธกลับมา ข้าก็รอเจ้าอยู่หน้าประตู”
เซียวจิ่นหมิงหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้ายังมีงานเอกสารต้องจัดการ เจ้ากลับไปพักก่อน”
ฉีซินจื่อกะพริบตา เดินไปดึงแขนเสื้อของเขาไว้ พร้อมพูดขึ้นว่า “ศิษย์พี่ วันนี้ห้องเครื่องทำปี้ยวี้เกา เป็นของที่พ่อชอบมากเลย....แปบเดียว ท่านจากไปครึ่งปีแล้ว ข้าแทบจำเขาไม่ได้แล้ว เจ้าทานข้าวเป็นเพื่อนข้าได้ไหม?”
“ก็ดี” เซียวจิ่นหมิงโยนสายบังเหียนม้าให้กับพ่อบ้านหลิว
พ่อบ้านหลิวอ้าปากกำลังจะพูด มองดูเงาหลังทั้งสองคน แล้วก็กลืนสิ่งที่เตรียมจะพูดรายงานกลืนกลับไป
เซียวจิ่นหมิงทานอาหารเป็นเพื่อนฉีซินจื่อเสร็จ ก็จะกลับห้องหนังสือไปดูรายงานการทหาร สายตาฉีซินจื่อสั่นไหว เดินไปโอบกอดด้านหลังเซียวจิ่นหมิง พร้อมพูดขึ้นว่า “ศิษย์พี่ยุ่งอยู่ทั้งวัน ตอนกลางคืนไม่ต้องดูแล้ว....”
นางซบหัวอยู่ด้านหลังเขา พร้อมยิ้มหัวเราะพูดขึ้นว่า “รายงานการทหารน่าดูกว่าข้าหรือ”
เซียวจิ่นหมิงมองดูใบหน้ายิ้มแย้มของฉีซินจื่อ หัวใจเต้นแรง อดไม่ได้ที่จะคิดถึงใบหน้าที่สดใสและยิ่งมีสีสันอีกใบหน้าหนึ่ง
“ศิษย์พี่.....” สีหน้าฉีซินจื่อเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน นางปล่อยเซียวจิ่นหมิง เริ่มเกาตามร่างกายขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจว่า “ศิษย์พี่ ร่างกายข้าคันเหลือเกิน....”
