บทที่ห้า ลุ่มหลง
ตามประวัติศาสตร์มีเรื่องเล่าถึงสตรีหลายนางที่ขึ้นมามีบทบาททางด้านการปกครองหรือโค่นล้มบัลลังก์ขององค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่
บ้างใช้เสน่ห์เย้ายวนและความงามล่อลวงให้บุรุษตกอยู่ในอาณัติของตน บางโดดเด่นทางสติปัญญา รู้จักใช้เล่ห์กลเพทุบายช่วงชิงอำนาจและบงการชีวิตของผู้อื่นให้ทำตามใจ
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสนมคนโปรด หรือสตรีที่ยืนหนึ่งในวังหลัง ทว่าหาได้มีความยั่งยืนแต่อย่างใด สิ่งที่ได้ครอบครองในวันนี้อาจจะตกเป็นของคนอื่นในวันพรุ่งนี้ อำนาจผลัดเปลี่ยนมือ ความโปรดปรานก็เช่นกัน
กู่ถิงเซียงนั่งถอดถอนหายใจขณะจรดปลายพู่กันลงบนกระดาษ วาดเส้นทับกันไปมาจนรูปลักษณะคล้ายกอหญ้า
“พระสนม เหตุใดไม่สดชื่นเลยเพคะ มีเรื่องอันใดทำให้ไม่สบายพระทัยบอกหม่อมฉันได้นะเพคะ” เหมยซานกล่าวถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ข้าไม่เป็นไร สบายดี”
“อาหารเช้าไม่ถูกปากหรือเมื่อคืนนอนไม่พอหรือเพคะ”
“เหมยซาน” กู่ถิงเซียงมองค้อนสาวใช้จอมจุ้น ยิ่งนานวันยิ่งพบว่านิสัยสอดรู้ของสาวใช้นางนี้มีมากกว่าความเป็นห่วงมากนัก
นางอยากรู้ว่ากู่ถิงเซียงนอนไม่พอจนขอบตาดำคล้ำ หรืออยากรู้ว่าเกิดสิ่งใดทำให้นอนไม่พอกันแน่
แม้หลายคืนมานี้ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนจะไม่คิดทรมานกู่ถิงเซียงเหมือนคืนก่อน ทว่ากลับก่อกวนนางจนไม่เป็นอันหลับอันนอนแทน
การก่อกวนที่...เรียกเสียงครวญครางจนบ่าวในตำหนักสงสัยใคร่รู้ว่าเจ้านายทั้งสองกระทำท่าผิดแปลกพิสดารอะไรกันบ้าง
“ฮ่องเต้เสด็จ!!” เสียงลากยาวแหลมสูงดังขึ้นทันทีที่ร่างสูงก้าวพ้นประตูเข้ามาภายในห้องโถงของตำหนักซูเหวินเถียน
เหล่าข้ารับใช้รีบย่อตัวถวายความเคารพพร้อมหญิงสาวเจ้าของตำหนักที่รีบวางมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ และก้าวออกมาย่อกายเบื้องหน้าพระสวามี
“ไม่นึกว่าฝ่าบาทจะประชุมเสร็จเร็ว หม่อมฉันจึงยังไม่ได้เตรียมของว่างไว้ให้”
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนส่ายหน้าบอกว่าตนยังไม่หิว ก่อนจะก้าวไปยืนที่หน้าโต๊ะไม้สัก กวาดตามองรูปวาดที่ดูแปลกตาของหญิงสาวพลางถามว่ากำลังวาดสิ่งใดอยู่
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันเพียงตวัดปลายพู่กันไปเรื่อย ไม่ได้ตั้งใจอยากจะให้ออกมาเป็นภาพอะไรเพคะ”
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนผงกศีรษะ จากนั้นหยิบพู่กันที่วางไว้ขึ้นมา จุ่มหมึกสักครู่และลงมือแต่งเติมลวดลายลงไปเพิ่ม ด้านล่างเป็นคลื่นน้ำ ตรงกลางภาพเป็นแมลงปอตัวใหญ่สองตัว และด้านบนเป็นรูปก้อนเมฆทับซ้อนเป็นชั้น
กู่ถิงเซียงยืนมองด้วยความสนใจระคนชื่นชมไม่น้อย บุรุษที่ดูภายนอกแข็งกระด้าง ทว่ากลับมีความสามารถรอบด้านเช่นนี้เชียว ภาพที่บรรจงวาดดูแล้วธรรมดาแต่มีความสวยงามไม่เหมือนใคร
“ชอบหรือไม่”
“ฝ่าบาทสามารถเปลี่ยนรูปที่ดูผิดแปลกของหม่อมฉันได้สวยถึงเพียงนี้ หากไม่ชอบก็คงตาบอดเต็มทีแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนยิ้มรับ รู้ว่ากู่ถิงเซียงหาได้พูดออกมาจากใจแต่อยากประจบสอพลอตนเหมือนเคย เจ้าตัวหันไปดึงตัวกู่ถิงเซียงให้เข้ามายืนอยู่ระหว่างตนและโต๊ะไม้ ยัดพู่กันใส่มือของนาง จากนั้นกุมมือเล็กไว้
“ข้าจะสอนเจ้าวาดละอองเกสร”
ละอองเกสร หรือก็คือการแต่งเติมจุดลงไปบนรูปวาด ความจริงไม่ต้องสอน ใครก็สามารถทำได้ ไม่รู้ซีหยางเจี่ยนจะสอนนางทำไม แต่ขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น ลมหายใจอุ่นพลันปะทะเบาๆ ที่ข้างแก้ม
ซวยแล้วไง...
อกแกร่งแนบชิดแผ่นหลังสตรี โน้มใบหน้าเข้าใกล้พวงแก้ม ไล่จมูกขึ้นลงเบาๆ พร้อมกับเป่าลมร้อนรดที่ข้างหูนาง
กู่ถิงเซียงกัดฟันกรอด มือไม้แข็งแกร่งพยายามบังคับเสียงให้ฟังดูหนักแน่น “ฝ่าบาท หม่อมฉันว่ารูปวาดสวยแล้ว...เอ่อ...ไม่ต้อง อือ”
ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกทันทีที่ถูกขบกัด ติ่งหูเล็กแดงเรื่อเฉกเช่นใบหน้าที่เริ่มเห่อร้อน
ทำบ้าอะไรในที่โจ่งแจ้งเนี่ย! มีคนอยู่ตั้งเยอะแยะ ตั้งใจจะทำให้ข้าขายหน้าหรือไงกัน
“ฝะ...ฝ่าบาทเพคะ”
กู่ถิงเซียงพยายามระงับอารมณ์ของตน ทว่าเสียงที่เปล่งออกมากลับแหบพร่าและสั่นคลอนจิตใจของฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนนัก ใบหน้าที่แดงราวจับไข้ชำเลืองมาทางคนเบื้องหลังด้วยท่าทางวิงวอนขอร้อง
“พวกเจ้านำภาพนี้ออกไปใส่กรอบทองคำ และกลับมาแขวนที่ตำหนักซูเหวินเถียนในอีกสองชั่วยามให้หลัง”
เหล่าข้าทาสโค้งศีรษะรับคำสั่ง เหมยซานคลานเข้ามารับภาพจากพระหัตถ์ฮ่องเต้ จากนั้นหมุนตัวถอยหลังพลางสะบัดมือไล่ให้ทุกคนในที่นั้นออกไปพร้อมตน
“ว่าแต่แค่เอารูปใส่กรอบ จำต้องใช้คนเยอะถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“นั่นสิ แล้วเหตุใดต้องกลับมาอีกในสองชั่วยามให้หลังด้วย ไม่ต้องให้พวกเราคอยอยู่ดูแลหรือ”
เหมยซานกลอกตามองสาวใช้เซ่อซ่าทั้งสองก่อนทำเสียงดุใส่ “พวกเจ้าช่างโง่นัก! พวกเราอยู่แล้วจะช่วยอะไรได้มากกว่ารินน้ำชาหรือไง บางอย่างก็ต้องให้ทั้งสองพระองค์ช่วยกันเองสิ”
เหมยซานกล่าวพลางยืดอกอวดภูมิว่าตนนั้นเป็นสาวใช้สุดฉลาด ผู้ซึ่งรู้ใจเจ้านายเป็นที่สุด ทว่ากับกู่ถิงเซียง นางอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว!
สาวใช้ปากมาก เห็นนางไม่ว่าอะไรเข้าหน่อยก็พูดไปเรื่อย มันน่าจับเฆี่ยนให้หลังขาดนัก!
เสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมเสียงตึกของบางอย่างถูกกระแทกลงบนโต๊ะ ซึ่งบางอย่างที่ว่าก็คือตัวของกู่ถิงเซียงเอง สตรีถูกจับให้นั่งบนโต๊ะ กระโปรงถูกถลกขึ้นเหนือหัวเข่าพร้อมขาเรียวที่ถูกแยกออก
“เจ้าทำหน้าสีหน้าเช่นนั้น ตั้งใจจะทรมานข้าหรือไง”
“อะ...อะไรกันเพคะ ฝ่าบาทต่างหากที่...อ่า...”
ช่องทางบุปผาถูกสัมผัสอย่างแผ่วเบา ลูบและสอดนิ้วเข้าไปอย่างทะนุถนอม ขยับเป็นจังหวะเนิบช้าเพื่อเรียกให้น้ำหวานถูกขับออกมา
กู่ถิงเซียงกัดริมฝีปากล่างของตนแน่น รู้สึกทรมานและสัดเสียวยิ่ง นางเงยหน้าขึ้นสูง สูดลมหายใจ สะโพกเริ่มส่ายไปมาโดยมิรู้ตัว
ภาพตรงหน้าราวกับหลุดออกมาจากตำราภาพวสันต์ที่ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนเคยได้เรียนรู้เมื่อเยาว์วัย เสียงครางกระเส่าทำบุรุษยกยิ้มพลางเลียริมฝีปากของตน ก่อนซุกหน้าลงที่ตรงกลางเพื่อดูดดื่มน้ำหวานที่หลั่งออกมาไม่หยุด
“อื้อ อื้อ ฝะ...ฝ่าบาท อื้อ อะ...อย่าเพคะ”
รสชาติแปลกลิ้น ทว่าหอมอร่อยจนไม่อยากผละออก คล้ายแมลงตัวผู้ที่หลงมัวเมาในน้ำหวานของบุปผางามจึงมิอาจเลิกดอมดม
เนื้ออ่อนนุ่มถูกดูดกลืนราวคนหิวกระหาย ลิ้นร้อนแทรกและตวัดไปมาอย่างบ้าคลั่ง สร้างความกระสันไปทั่วร่างบาง สองมืออยากจะขยุ้มผมของบุรุษที่ผงกหัวขึ้นลงนัก ทว่ากู่ถิงเซียงไม่มีความกล้าพอจะทำเช่นนั้น
หญิงสาวได้แต่ร่ำร้องปานจะขาดใจ สองยอดปทุมถันถูกบีบเคล้นจนปลายยอดเริ่มแข็งสู้มือของบุรุษ
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนลุกขึ้นยืดตัวตรง ค่อยถอดกางเกงตัวนอกออก ก่อนดึงตัวกู่ถิงเซียงให้เข้ามาใกล้ ยกขาเรียวทั้งสองให้รัดแนบเอวของตน ให้บางสิ่งใต้ร่มผ้าได้สัมผัสกัน จากนั้นเสียดสีไปมาตามอารมณ์ปรารถนา
กู่ถิงเซียงปรือตาขึ้นมอง กล่าวได้เพียง “ฝ่าบาท” ก็พลันถูกประกบจูบเสียก่อน ด้านล่างรุ่มร้อนจนแทบจะระเบิด ริมฝีปากยังถูกบดขยี้จนความเสียวเข้าแทรกซึมไปทุกอณูของร่างกาย
แค่เพียงเสียดสีก็ให้ความรู้สึกถึงเพียงนี้เชียว นึกไม่ออกเลยว่าหากถูกเจ้าสิ่งนั้นรุกล้ำเข้ามาจริงๆ ร่างกายของตัวเองจะเป็นเช่นไร
กู่ถิงเซียงลอบมองบุรุษที่เคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด ลมหายใจร้อนระอุถูกพ่นออกมาพร้อมเม็ดเหงื่อประปรายบนไรผม ใบหน้าที่ปกติเคร่งขรึมอยู่แล้วดูดุดันขึ้นมา หรืออีกนัยก็คือแสดงออกถึงความทรมาน
ทรมานที่ไม่รับการปลดปล่อย
และก็เหมือนกับทุกคืนที่ผ่านมา ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนมักเกิดอารมณ์อยู่บ่อยครั้ง ยิ่งเขาเก็บกักก็ยิ่งสร้างความทรมานและปวดหนึบที่อวัยวะของตน ฉะนั้นหลังจากเล้าโลมนางเสร็จสม เขาก็จะจัดการตัวเองต่อจนเสร็จเช่นกัน
แม้จะไม่สามารถตั้งผงาดได้ แต่ยังสามารถรีดเจ้าของเหลวขาวขุ่นออกมาได้อยู่
ต้องรีด คล้ายกับการรีดนมวัว
กู่ถิงเซียงในตอนแรกแอบชำเลืองมองทุกการกระทำของฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนด้วยความอยากรู้มาหลายคืน จึงจดจำทุกรายละเอียดได้ทุกขั้นตอน ไม่แน่นี่อาจจะเป็นวิธีการบำบัดอย่างหนึ่งที่หมอหลวงแนะนำมากระมัง อย่างน้อยขอให้ได้ปลดปล่อยสักหน่อยก็ยังดี
และเพื่อตอบแทนที่เขาช่วยปรนเปรอนางจนเสร็จสม ไม่กลั่นแกล้งนางเหมือนอย่างคืนแรกๆ จึงมีบางครั้งที่กู่ถิงเซียงจะเป็นฝ่ายช่วยเขาตอบแทนบ้าง สร้างความพึงพอใจและตื่นเต้นแก่ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนเป็นอย่างมาก
สองมือเล็กยกขึ้นโอบรอบคอของบุรุษ กระชับตัวให้แนบแน่น อกนุ่มนิ่มบดเบียดกับแผงอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม บังคับจังหวะให้สะโพกของตนสอดรับกับจังหวะของชายหนุ่ม
เสียงหอบหายใจประสานกันกึกก้อง ต่างฝ่ายต่างพยายามจะพาคู่ของตนไปให้ถึงเป้าหมาย ประคับประคองและเร้าอารมณ์กันอย่างต่อเนื่อง
กระทั่งร่างเล็กเริ่มสั่นระริกและตัวเกร็งกระตุก ฝ่ายฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนจึงเร่งจังหวะและตามหญิงสาวไปติดๆ
“ถิงเซียง... ถิงเซียง...”
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนรั้งตัวกู่ถิงเซียงเข้ามากอดไว้ ซบหน้าลงกับคองามระหงพลางพร่ำเพ้อเรียกชื่อนางไม่หยุด
“หม่อมฉันอยู่นี้เพคะ”
กู่ถิงเซียงยกมือขึ้นกอดตอบ รู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก คล้ายมีบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นจากภายใน ไออุ่นจากเนื้อตัวของเขาทำนางรู้สึกร้อนวูบ เสียงกระซิบแหบพร่าชวนให้เคลิบเคลิ้มจนเผลอปล่อยตัวปล่อยใจแก่เขา
“ถิงเซียง...”
“เพคะ”
“อีกครั้งได้หรือไม่”
ความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อครู่พลันหายในทันใด
อีตาบ้านี้! จะให้ทำเรื่องน่าอายแบบนั้นตอนกลางวันแสกๆ เป็นครั้งที่สองอีกหรือ!? จะมากเกินไปแล้ว!!!
กู่ถิงเซียงสบถด่าอยู่ในใจ ทว่าไม่สามารถปฏิเสธคำขอร้องจากฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนผู้เอาแต่ใจได้
สตรีถูกอุ้มขึ้นแนบอกอย่างเร่งรีบ ร่างสูงเดินจ้ำไปที่ห้องนอน วางร่างที่ยังเหนื่อยอ่อนลงบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนจัดการถอดเสื้อผ้าที่เหลืออยู่ออกจนหมด แล้วจึงเริ่มปลุกเร้าอารมณ์ของนางต่ออีกครั้ง
