บทที่สี่ เรื่องราวผิดเพี้ยน
หลี่เหวินอี้ นางเอกของเรื่อง ตำนานรักบุปผาสีเลือด เป็นองค์หญิงต่างแคว้นที่ถูกส่งมาเจริญสัมพันธ์ทางไมตรี แต่เดิมนางมีคนรักคือรองแม่ทัพหนุ่มที่เติบโตมาด้วยกัน หม่าลู่เสียน หรือก็คือพระเอกของเรื่องนั่นเอง
ความรักของทั้งสองเป็นดั่งรักต้องห้ามที่ไม่มีวันบรรจบกันได้ สตรีสูงศักดิ์เกินเอื้อมถึง ถูกถวายตัวเป็นพระสนมของฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนผู้โหดร้าย ความงามของนางราวเทพธิดาลงมาเดินดิน เปราะบางราวเครื่องแก้วที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ
แน่นอนว่าฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนตกหลุมรักนางในทันที เขาพยายามใช้ทุกวิถีเพื่อพิชิตใจนาง ทว่าหลี่เหวินอี้รักมั่นดั่งหินผา ไม่อาจเปลี่ยนใจจากหม่าลู่เสียน
กระทั่งหม่าลู่เสียนลักลอบเข้าวังมาพบนาง ทั้งสองมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งจนหลี่เหวินอี้ตั้งครรภ์ ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนผู้ไม่เคยล่วงเกินนางจึงเดือดดาลเป็นอย่างมาก บังคับนางดื่มยาขับเลือดจนแท้งบุตร จากนั้นสั่งทหารตามไล่ล่าหม่าลู่เสียน เหตุการณ์ในวังยามนั้นแทบลุกเป็นไฟ ไม่ต้องพูดถึงเหล่านางร้ายในคราบเมียๆ ที่พยายามชิงดีชิงเด่นอย่างไม่ยอมกัน
ซึ่งตัวละครอย่างกู่ถิงเซียงก็เป็นหนึ่งในนั้น และเป็นนางที่เปิดทางให้หม่าลู่เสียนเข้าหาหลี่เหวินอี้ จนนำมาซึ่งเหตุการณ์นองเลือดทั้งหมด
“ไปบอกฝ่าบาทว่าข้าขอเข้าพบ”
กู่ถิงเซียงหายใจลึกพลางหันไปรับถาดไม้ที่มีถ้วยยาวางไว้จากเหมยซาน เมื่อขันทีหนุ่มเดินออกมาพร้อมผายมือเชิญนางเข้าไป หญิงสาวก็เอ่ยสั่งสาวใช้ให้รออยู่ด้านนอก
ขาทั้งสองสั่นเล็กน้อยขณะเดินเข้ามาในตำหนักทรงงานของฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยน ความใหญ่โตหรูหราที่เคยเห็นผ่านทางหน้าจอเทียบไม่ได้เลยกับของจริงที่ได้เห็นกับตา
กู่ถิงเซียงตื่นตาตื่นใจอยู่สักครู่ ก่อนเลี้ยวเข้าไปยังห้องที่อยู่ฝั่งซ้ายสุด เห็นบุรุษท่าทีเคร่งขรึมนั่งอยู่บนโต๊ะไม้สักตัวใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารก่อนเผยรอยยิ้ม
กู่ถิงเซียงยิ้มตอบพลางก้าวช้าๆ พร้อมวางถาดไม้ลงที่โต๊ะข้างหน้าต่างแต่ยังไม่ทันที่จะได้หยิบถ้วยยา ร่างสูงกลับเดินเข้ามาโอบกอดนางจากทางด้านหลังจนหญิงสาวสะดุ้งตกใจ
“คิดถึงข้าหรือ”
ใบหน้างามแดงเรื่อจนถึงใบหู “มะ...หม่อมฉันนำยามาให้เพคะ หมอหลวงบอกว่าเป็นยาบำรุงชั้นดี”
“หืม บำรุงอะไรหรือ”
กู่ถิงเซียงรู้ว่าฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนจงใจหยอกล้อนาง เพราะเขาไม่เพียงแค่กอดแต่ยังล้วงมือเข้าไปสาบเสื้อของนาง นวดคลึงที่ปลายยอดและบีบเบาๆ จนนางตัวเกร็งสะท้าน
“ฝะ...ฝ่าบาททรงงานเหนื่อยแย่เลยใช่ไหมเพคะ” กู่ถิงเซียงรีบผละตัวเองออกก่อนรีบเฉไฉชวนคุยเรื่องอื่น
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนยิ้มมุมปาก ชำเลืองมองถ้วยยาใบเล็กที่สตรียกมาให้ “อืม ข้าเหนื่อยมาก เช่นนั้น...คงไม่มีแรงยกถ้วยชาขึ้นดื่ม”
กู่ถิงเซียงกะพริบตาปริบ โกหกหน้าตาย!
“ชักช้า ยาอาจหายร้อน ผลที่ได้ก็อาจไม่ได้ช่วย...”
กู่ถิงเซียงเม้มริมฝีปากก่อนยกถ้วยชาขึ้นมาช้าๆ เปิดฝาที่ปิดด้านบนออกและเป่าให้หายร้อน จากนั้นยกขึ้นจ่อไปที่ริมฝีปากของคนตรงหน้า
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนค่อยๆ ดื่มยาลงคออย่างว่าง่าย ทว่าสายตาที่เป็นประกายกลับเอาแต่จับจ้องที่กู่ถิงเซียง
ครั้นดื่มยาหมดแล้วจึงรั้งตัวนางเข้ามากอด ก้มลงหอมแก้มนุ่มนิ่มและริมฝีปากบางอย่างรักใคร่ และเป็นครั้งแรกที่หญิงสาวไม่ได้ผลักตัวของฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนออก เพียงยกมือขึ้นวางบนแผงอกของเขาเท่านั้น
หัวใจของบุรุษเต้นรัวเร็วด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจ สองมือประคองใบหน้าของหญิงสาวให้เงยขึ้นอีกเล็กน้อย พร้อมมอบความร้อนแรงให้นางอย่างดุเดือด
มือน้อยเริ่มเปลี่ยนเป็นกำเสื้อของอีกฝ่ายจนยับยู่ยี่ ส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก อีกส่วนคือความวูบวาบที่ทำตัวนางแทบหลอมละลาย
ก่อนกู่ถิงเซียงจะมาที่นี่ นางได้เตรียมใจไว้ก่อนแล้วว่าตนจะต้องโดนล่วงเกินอย่างไรบ้าง แต่ด้วยความอยากรู้เรื่องราวที่เปลี่ยนไปจึงฝืนพาตัวเองซึ่งไม่ต่างอะไรเลยจากลูกแกะมามอบให้หมาป่าเช่นเขา
ริมฝีปากอวบอิ่มถูกขบกัดอย่างอ่อนโยน สัมผัสร้อนพันเกี่ยวกันไปมาอย่างช้าๆ นุ่มนวลและหวานหอมจนไม่อยากผละออกจากกัน
กู่ถิงเซียงหายใจหอบทันทีที่ได้เป็นอิสระ หัวใจเต้นเร็วดังเช่นลมหายใจของนาง นางปรือตามองฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนก่อนความรู้สึกแปลกประหลาดพลันทำความคิดยิ่งสับสน
เนื่องจากเรื่องราวที่กู่ถิงเซียงได้รับชมมานั่น เน้นหนักไปทางความสัมพันธ์ของคู่พระนาง ฉะนั้นตัวละครที่ดูคล้ายจะเป็นตัวร้ายอย่างฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยน จึงไม่ค่อยได้รับการถ่ายทอดให้ได้รู้มากนัก
กู่ถิงเซียงอยากรู้นิสัยและการใช้ชีวิตของฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนให้มากกว่านี้
กู่ถิงเซียงถูกมือใหญ่ดึงมานั่งที่เก้าอี้ ก่อนฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนจะเดินกลับไปนั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่ซึ่งกำลังนั่งตรวจงานอยู่เมื่อครู่
“นั่งรอข้าก่อน จะได้กลับตำหนักด้วยกัน”
กู่ถิงเซียงเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งข้าง เหลือบมองบุรุษสักครู่ก่อนกลั้นใจถามเสียงเบา “ตำหนักซูเหวินเถียนที่ฝ่าบาทประทานให้ ทำไมถึง...ประทานให้หม่อมฉันเล่าเพคะ”
“ทำไม เจ้าไม่ชอบหรือ”
“ชอบเพคะ เพียงแต่ตำหนักนั้นเป็นที่ประทับเก่าของฮองไทเฮา พระองค์ควรจะเก็บเอาไว้ให้สตรีอื่นที่เหมาะสม”
“ก็เจ้าไงเล่าที่เหมาะสม” ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนรีบตัดบท ก่อนบอกให้กู่ถิงเซียงนั่งเงียบๆ เพราะตนจะรีบอ่านฎีกา
กู่ถิงเซียงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างไม่หายข้องใจ หรือว่าเรื่องราวจะผิดเพี้ยนไปตั้งแต่คืนที่นางเผลอทำร้ายฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนหรือไม่
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนผู้ไม่สามารถประกอบกิจเช่นนั้นได้ แล้ว...เรื่องราวจะดำเนินไปต่อได้อย่างไร หรือหากหลี่เหวินอี้ นางเอกของเรื่องปรากฏตัว ความรู้สึกตรงนั้นอาจจะตื่นตัวเช่นนั้นหรือไม่
อยากที่บอกว่าซีรีส์เรื่องนี้ค่อนข้างไปทางอีโรติก ร้อนแรง แสบทรวง บทร่วมรักต่างๆ ล้วนมาจากบุรุษในเรื่อง ซึ่งฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนนับว่ามีบทบาทมากที่สุด ด้วยเพราะมีสตรีในครอบครองมากมาย แม้ไม่ได้มีบทรักกับนางเอก แต่ก็นับว่าคุ้มค่าตัวแล้วกระมัง
กู่ถิงเซียงเมียงมองบุรุษที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเคร่งครัด สีหน้านั้นเรียบเฉย แววตาสงบนิ่งดูน่ายำเกรง ทว่าริมฝีปากหนากลับขยับไปมาราวกับกำลังพึมพำบางอย่าง
หล่อชะมัด
ความรู้สึกร้อนวูบเมื่อครู่ยังคงทำใจนางเต้นได้ไม่เป็นปกติ แต่แล้วความคิดหนึ่งเกิดผุดขึ้นมา หากกู่ถิงเซียงทำตัวให้เป็นที่โปรดปรานมากกว่าชิงชัง นางอาจไม่ต้องจบชีวิตลงอย่างตอนจบที่ได้ดูมา
จริงสิ! ข้านี่โง่นัก แค่ทำตัวให้ดีก็รอดตายแล้วไม่ใช่หรือไง
คนตรงข้ามเหลือบตาขึ้นมอง เห็นกู่ถิงเซียงยิ้มกว้างราวกำลังดีใจกับบางอย่างก็ทำฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนนึกแปลกใจ จึงเงยหน้าขึ้นพร้อมเอ่ยถาม
“มีเรื่องอะไรน่าดีใจอย่างนั้นหรือ”
กู่ถิงเซียงอึกอักก่อนคลี่ยิ้มหวานจนตาหยี “ดีใจที่ได้อยู่กับฝ่าบาทเพคะ”
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนนิ่งอึ้ง สีหน้าที่เรียบเฉยฉายแววความประหลาดใจ
“ถิงเซียง...เจ้าว่าดีใจที่ได้อยู่กับข้า”
“เพคะ หม่อมฉันดีใจและมีความสุขอย่างมากที่ได้อยู่กับฝ่าบาท”
หัวใจแทบหลอมละลายทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ความรู้เต็มตื้นที่หญิงสาวตอบรับไมตรีทำบุรุษยิ้มกว้างด้วยความอิ่มเอมใจ เขาไม่คาดคิดว่านางจะแสดงออกว่ามีใจให้เร็วถึงเพียงนี้
หลายคนต่างบอกว่ากู่ถิงเซียงเป็นสตรีถือตนและหยิ่งผยองเกินสตรีใดในใต้หล้า แม้จะเป็นฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนก็มิอาจกำราบความเย่อหยิ่งของนางได้
แต่ในเมื่อถูกตาต้องใจมีหรือจะสามารถปล่อยผ่านเลย ราชโองการถูกส่งไปยังจวนตระกูลกู่ รับสั่งให้พากู่ถิงเซียงเข้าถวายตัวโดยทันที หญิงสาวในตอนแรกปฏิเสธหัวชนฝาซ้ำยังกล่าวตัดเยื่อใยว่าไม่มีวันปันใจรักชายมากตัณหาอย่างเขาได้
ครอบครองได้เพียงกาย เว้นหัวใจของนาง
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนรู้และทำใจกับเรื่องนี้ไว้บ้างแล้ว ขอเพียงกู่ถิงเซียงยอมเป็นของเขา และอยู่อย่างสงบเสงี่ยมก็เพียงพอที่เขาจะดูแลให้นางสุขสบายไปทั้งชาติ
หาไม่สักวันนางอาจใจอ่อนและรับรักเขาขึ้นมาในสักวัน
แต่นึกไม่ถึงว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วเพียงนี้
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนวางฎีกาในมือ หรี่ตาลงพลางกวักมือเรียกกู่ถิงเซียงให้เดินมาหา จากนั้นดึงตัวนางนั่งลงที่ตัก โอบเอวบางไว้แน่นพลางเอ่ยเสียงแหบพร่า
“เจ้าไม่ได้โกหกเพื่อเอาใจข้า”
กู่ถิงเซียงรีบส่ายหน้า “ไม่เพคะ หม่อมฉันไม่มีเจตนาประจบฝ่าบาท”
เอ่อ...ก็ประจบนั่นแหละ
“หม่อมฉันสร้างแต่เรื่องหมองพระทัยให้ฝ่าบาท เป็นตัวก่อปัญหา ทำให้พระองค์ขุ่นเคืองอยู่บ่อยครั้ง แต่กลับยังได้รับความเมตตาเช่นนี้ หม่อมฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีนัก หากวันข้างหน้าหม่อมฉันก่อเรื่องอีก ฝ่าบาทจะยัง...อภัยหม่อมฉันใช่ไหมเพคะ”
ใช่แล้ว ในเมื่อตอนนี้นางยังเป็นที่โปรดอยู่ก็จำต้องทำคะแนนให้มากๆ ขออภัยโทษซะตั้งแต่ตอนนี้เสียเลยดีกว่า เผื่อพลั้งเผลอทำสิ่งใดที่ผิดพลาดจะได้รับการยกเว้นได้บ้าง
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย “ฉลาดเอาตัวรอดนักนะ ข้ารู้ว่าเจ้าพูดประจบข้า แต่ก็เอาเถอะ แม้จะเป็นการสอพลอ แต่ก็ทำข้าดีใจนัก”
นิ้วร้อนสัมผัสไปที่ริมฝีปากที่ยังบวมเจ่อของกู่ถิงเซียงอย่างแผ่วเบา “ทุกคำที่เจ้าพูดล้วนมีผลต่อใจข้าทั้งนั้น สักวันเถิดนะถิงเซียง ข้าจะทำให้เจ้าพูดในสิ่งที่ตรงกับใจเจ้าให้จนได้”
ถิงเซียง...ข้าจะทำให้เจ้ารักข้าจนทอดถอนตัวไม่ขึ้นเชียวล่ะ!
