บทที่หก นางเอกตัวจริง
กู่ถิงเซียงไม่นึกเลยว่าการปรนนิบัติดูแลสามีจะเหนื่อยและลำบากเพียงนี้ ทำเอาปวดเนื้อเมื่อยตัวไปหมด นี่ขนาดแค่ภายนอกยังทำนางเหนื่อยถึงเพียงนี้ ไม่อยากนึกถึงคืนแรกที่ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชาเลยเชียว
สลบเหมือดหรืออาจตายคาเตียงเลยกระมัง
กู่ถิงเซียงเงยหน้ามองบุรุษที่นอนอยู่ข้างกาย ยกมือขึ้นแตะเบาๆ ที่หัวคิ้ว ปลายจมูก และไล่ลงมาที่ริมฝีปาก
ในหัวคิดคำนึงว่าซีหยางเจี่ยนผู้นี้ใช่คนเดียวกับตัวละครที่นางเกลียดจริงๆ หรือ
ตลอดหลายวันที่ได้ใช้ชีวิตและเรียนรู้นิสัยใจคอของผู้ชายคนนี้ กลับยิ่งบังเกิดความรู้สึกประหลาด ถึงจะหื่นกามและบ้าอำนาจ แต่สำหรับกู่ถิงเซียง การปฏิบัติทุกอย่างล้วนอ่อนโยนนุ่มนวลยิ่งนัก
เทียบกับภพที่จากมา หญิงสาวเติบโตมากับป้าที่ไม่ได้ใส่ใจดูแลเท่าที่ควร ต้องดิ้นรนทำงาน กระเสือกกระสนสอบเข้ามหาวิทยาลัยจนสำเร็จ หวังจะได้ออกไปเผชิญโลกกว้าง ได้เติบโตและทำในสิ่งที่อยากทำ แต่ก็นั่นแหละ...บางครั้งการใช้ชีวิตอยู่คนเดียว มันก็ทำให้รู้สึกว้าเหว่มิใช่น้อย
“ถิงเซียง” เสียงทุ้มเจือความเกียจคร้านเอ่ยเรียก
กู่ถิงเซียงรีบชักมือตัวเองกลับ ก่อนหลุบตาลงต่ำ เอ่ยเสียงหวาน “หม่อมฉันทำฝ่าบาทตื่น ขออภัยเพคะ”
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนยกยิ้ม ดึงตัวกู่ถิงเซียงเข้ามาในอ้อมกอดจุมพิตลงบนศีรษะเล็ก ลูบไล้เนื้อตัวขาวเนียนซึ่งปราศจากอาภรณ์ใดปิดบัง
“ถิงเซียง อยู่กับเจ้ามีความสุขยิ่งนัก”
กู่ถิงเซียงหน้าแดงโดยพลัน ก้มหน้าซุกลงกับแผงอกของฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนด้วยความเขินอาย ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะของบุรุษดังขึ้นเบาๆ
“พรุ่งนี้หลังจากประชุมเช้า ข้าก็ไม่มีธุระอื่นใด เจ้า...อยากให้ข้าพาไปไหนหรือไม่”
กู่ถิงเซียงนิ่งงันไปชั่วครู่ เงยหน้ามองฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนด้วยความตื่นตะลึง “ทรงตรัสว่าจะพาหม่อมฉันไปข้างนอกหรือเพคะ”
“อืม ถ้าเจ้าอยากไปละก็นะ”
“อยากเพคะ! หม่อมฉันอยากไป” แววตากู่ถิงเซียงเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น หญิงสาวยันตัวลุกขึ้นนั่ง ฉีกยิ้มกว้างพลางเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
“ที่ไหนเพคะ เราจะไปที่ไหน”
“เจ้าอยากไปไหนละ เดินเล่นที่ตลาด หรือชมวิวแถวน้ำตก เจ้าอยากไปไหน ข้าพาไปได้ทั้งนั้น”
กู่ถิงเซียงตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้ออกไปนอกวัง เพราะตั้งแต่ข้ามภพมาอยู่ที่นี่ หญิงสาวยังไม่เคยออกไปเห็นโลกภายนอกเลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่นางจะได้ออกไปสัมผัสกับสิ่งแปลกใหม่นอกกำแพงสูงที่คนในไม่อาจออก คนนอกไม่อาจเข้า
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนเห็นรอยยิ้มสดใสและท่าทีดีใจของกู่ถิงเซียงก็รู้สึกอิ่มเอมใจนัก ใบหน้างดงามดูไร้เดียงสา ปราศจากการเสแสร้งแกล้งทำ พบเจอได้ยากนักในวังหลวง
แต่แล้วกู่ถิงเซียงกลับทำท่าชะงัก สีหน้าดูลังเลคล้ายกำลังกังวลใจบางอย่าง เมื่อเห็นนางนิ่งไป ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนจึงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“ฝ่าบาท...หม่อมฉันมีบางอย่างอยากจะถาม ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะ...”
“ถามมาเถิด ข้าตอบเจ้าได้ทุกเรื่อง”
กู่ถิงเซียงลังเลอยู่สักพัก แต่แล้วก็ทำใจกล้าถามเรื่องค้างคาใจออกไป “แม้ฝ่าบาทจะทรงมีใจให้หม่อมฉัน แต่ว่าเรื่องที่หม่อมฉันทำฝ่าบาทบาดเจ็บ มิทรงโกรธแล้วหรือเพคะ”
“โกรธ” มือใหญ่ลูบเบาๆ ที่เส้นผมเงางามประดุจแพรไหม “แต่รักมากกว่า”
หัวใจดวงน้อยพลันเต้นแรงขึ้นหลายจังหวะ ครั้นเห็นสายตาที่มองมาแฝงไปด้วยความจริงใจอย่างที่ได้บอกจริงๆ ก็ทำนางได้แต่นั่งก้มหน้า แก้มทั้งสองแดงเรื่อราวผลไม้สุกก็ไม่ปาน
ให้ตายสิ! ให้ตาย ซีหยางเจี่ยน เจ้าน่ะเป็นตัวร้ายของเรื่องน่ะรู้ไหม อย่าแสดงว่าตนเป็นพระเอกแบบนี้สิ!
กู่ถิงเซียงชำเลืองมอง เมื่อเห็นรอยยิ้มบางค่อยปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยน นางก็เม้มริมฝีปากของตนก่อนเอนกายลงนอนทาบทับร่างใหญ่ไว้ วางมือบนแผงอกแกร่ง รับรู้ถึงกล้ามเนื้อที่ยกขึ้นยกลงเพราะลมหายใจที่เร็วกระชั้น
ความดีใจพวยพุ่งประดุจคลื่นลมแรงกลางพายุฝน มือใหญ่รีบยกขึ้นกุมมือเล็กไว้ อีกมือยกโอบรอบไหล่บอบบางของนางราวกับต้องการจะปกป้องคุ้มภัยหญิงคนรักจากทุกเภศภัยที่จะเข้ามาย่างกาย
ดูเหมือนนางเริ่มเปิดใจรับข้าบ้างแล้วสินะ
ทั้งคู่อิงแอบแนบชิด แลกเปลี่ยนไออุ่นด้วยความรู้สึกเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์หาจนยากจะทอดถอน กระทั่งในที่สุดก็เคลิ้มหลับไปพร้อมกัน
รุ่งเช้ามาเยือนพร้อมเสียงหยอกล้อของคู่รัก กู่ถิงเซียงดูแลความเรียบร้อยให้ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนเหมือนเคย พร้อมยืนส่งเขาอยู่หน้าประตูตำหนัก
“อีกหนึ่งชั่วยามเจอกัน”
กู่ถิงเซียงพยักหน้ารับ หลังคล้อยหลังผู้เป็นสวามี หญิงสาวก็รีบหมุนตัวกลับเข้าไปข้างในทันที นางบอกเหมยซานให้ตระเตรียมอาภรณ์ที่ดูสวยงามแต่กระฉับกระเฉงเพื่อใช้สำหรับการออกไปขี่ม้า
ก่อนจะนั่งลงจัดการกับอาหารตรงหน้า แม้ทุกเช้าฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนจะรีบร้อนออกไปประชุมหารือกับเหล่าขุนนาง ทำให้ไม่สะดวกร่วมรับประทานอาหารกับกู่ถิงเซียง ทว่าบุรุษนั่นใส่ใจและคอยย้ำกับห้องเครื่องให้จัดเตรียมของบำรุงกายทุกอย่างมาปรนเปรอนางไม่ขาด ถึงขั้นที่ให้นางกำนัลคอยจดรายการอาหารที่นางโปรดและไม่โปรดเอาไว้ด้วย
“พระสนม หม่อมฉันว่าชุดนี้เป็นอย่างไรเพคะ”
กู่ถิงเซียงพิจารณาชุดกระโปรงยาวลายหงส์ขาวที่เหมยซานถือออกมาให้ดู นางถอนหายใจพร้อมส่ายหน้า “ข้าจะไปขี่ม้า หาใช่ร่วมงานพิธีการ ไม่ต้องหรูหราเพียงนี้ก็ได้”
เหมยซานเอียงคอเหมือนใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเดินเข้าไปหยิบชุดที่ดูเรียบๆ ออกมา
ชุดกระโปรงสีน้ำเงินดูเข้ารูปไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป ชายกระโปรงปักลวดลายดอกเบญจมาศดูสดใส ปกและแขนเสื้อเป็นสีทองเพิ่มความหรูหราขึ้นหลายระดับ
“ชุดนี้ละ!”
กู่ถิงเซียงตะโกนอย่างถูกอกถูกใจ และรีบสั่งบรรดาสาวใช้ให้ช่วยตนแต่งตัว รวบผมเป็นมวยสูงประดับด้วยปิ่นดูเรียบร้อย เครื่องประทินโฉมปรับแต่งเพิ่มความสวยงามจนเป็นที่น่าจับจ้องยิ่งขึ้น
ทว่าหลังจากเฝ้ารออยู่นาน กระทั่งเลยเวลาที่นัดไว้ ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนก็ยังไม่มา กู่ถิงเซียงเริ่มเป็นกังวลพลางนึกสงสัยว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นหรือไม่
เจ้าตัวไม่อาจทำใจให้อยู่เฉยได้จึงลุกขึ้นออกจากตำหนักเพื่อไปหาฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนด้วยตัวเอง ทว่าเดินออกมาได้สักพัก ก็มองเห็นหวงเจียวจูกับกลุ่มสนมคนอื่นกำลังจับกลุ่มคุยเรื่องราวบางอย่าง
“ข้าพนันสิบตำลึงทอง ไม่ว่าอย่างไรของใหม่ย่อมดีกว่าของเก่าอยู่แล้ว”
“ข้าด้วยๆ คืนนี้คงได้เห็นสตรีบางคนนอนหลั่งน้ำตาเป็นแน่”
“ข้าเห็นเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าองค์หญิงต่างแคว้นงดงามยิ่ง ถิงเซียงเทียบไม่ติดหรอก”
เสียงหัวเราะคิกคักทำกู่ถิงเซียงโกรธจนลมออกหู พวกนางช่างเสแสร้งตลบตะแลงนัก! อยู่ต่อหน้าชมเชยอยากเข้าหา พอลับหลังกลับนินทากันเช่นนี้เชียว
“พวกเจ้าพอเถอะ ข้าไม่เห็นว่าเรื่องจะควรนำพูด...” หวงเจียวจูหันมาเห็นกู่ถิงเซียงเข้าพอดี นางอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนเดินเข้ามาทักทาย
“ถิงเซียง เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร”
เมื่อเห็นใบหน้ากู่ถิงเซียงแดงก่ำ หวงเจียวจูจึงเดาได้ไม่ยากว่าเพื่อนของตนจะต้องเข้ามาได้ยินทุกอย่างหมดแล้วเป็นแน่ “ถิงเซียง เจ้าอย่าได้สนใจเลยนะ อย่างไรเจ้าก็เป็นคนโปรด เทียบกับพวกเราในที่นี่ มีวาสนากว่ามาก”
กู่ถิงเซียงสาดประกายอำมหิตใส่เหล่าสตรีที่ยืนก้มหน้างุด ก่อนหมุนตัวเดินออกมา
หวงเจียวจูรีบวิ่งตาม พร้อมเหล่านางกำนัลที่คอยเดินตามกู่ถิงเซียงไม่ห่าง
“ถิงเซียงอย่าเพิ่งหงุดหงิดไป พวกนางแค่คึกคะนองปากเพราะอิจฉาเจ้า หาได้มีความจริงแต่อย่างใด”
หวงเจียวจูพยายามเกลี้ยกล่อม ทว่าจู่ๆ กู่ถิงเซียงกลับหยุดเดินกะทันหัน ทำบรรดาผู้ติดตามเกือบยั้งฝีเท้าไม่ทัน
“ถิงเซียง เจ้าเป็นอะ...” หวงเจียวจูที่มองตามสายตาของกู่ถิงเซียงถึงกับหน้าถอดสี
อิสตรีผู้งดงามเกินใครในใต้หล้า ดวงหน้าหวานราวบุปผาวสันต์ฤดู เรือนผมดำขลับปล่อยสยายยาวถึงเอวคอดกิ่ว ผิวพรรณขาวเนียนดุจหยกชิ้นงาม ดวงตากลมโตของนางจ้องเขม็งไปยังบุรุษที่กำลังยืนกล่าวบางอย่างอยู่เบื้องหน้าด้วยอาการไม่พอใจนัก
สมแล้วที่เป็นนางเอกของเรื่อง โฉมสะคราญที่สร้างความลุ่มหลงให้เหล่าบุรุษจนเกิดเป็นสงครามนองเลือดครั้งใหญ่
“หลี่เหวินอี้...สินะ”
กู่ถิงเซียงพึมพำ ครั้นเหลือบมองไปทางฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยน ใจของนางก็เริ่มสั่นไหวแปลกๆ ทั้งๆ ที่ตอนดูซีรีส์เรื่องนี้ กู่ถิงเซียงเกลียดแสนเกลียดตัวละครชื่อ ซีหยางเจี่ยน แต่ว่าทำไมตอนนี้กลับรู้สึกจุกแน่นอยู่ในอกปานจะขาดใจเช่นนี้ได้
“ข้าจะกลับแล้ว”
เหมยซานที่ตอนแรกได้แต่ยืนนิ่งก็สะดุ้งตัวทันที พลางก้าวเข้ามาพยุงนายหญิงของตน ซึ่งคราแรกยังเดินฉับๆ จนนางแทบจะวิ่งตาม ทว่าตอนนี้กลับดูไร้เรี่ยวแรงถึงขนาดต้องหามกลับเลยทีเดียว
หวงเจียวจูเหลียวมองไปทางหลี่เหวินอี้และฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนแวบหนึ่ง เห็นทั้งสองพูดคุยด้วยท่วงท่าจะเป็นมิตรก็ไม่เชิงเป็นศัตรูก็ไม่ใช่ ก่อนจะเบือนหน้ากลับมา และเดินตามกู่ถิงเซียงกลับไปที่ตำหนักซูเหวินเถียน
ตลอดทั้งวันที่กู่ถิงเซียงเอาแต่นั่งเงียบไม่ดื่มหรือกินอะไร ทำบรรดาบ่าวไพร่รู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก กลัวว่าหากเจ้านายของพวกตนเกิดล้มป่วยขึ้นมา ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนจะต้องทรงพิโรธและสั่งลงโทษทาสรับใช้ทั้งตำหนักเป็นแน่
ส่วนหวงเจียวจูก็รู้สึกเป็นห่วงกู่ถิงเซียงเช่นกัน ก่อนจะเข้าวังทั้งสองนั้นรู้จักกันมาก่อน เป็นสหายที่คุ้นหน้าคุ้นตาแต่ไม่ได้สนิทสนมกันเท่าไหร่ กระทั่งได้เข้ามาในวัง จึงได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นและเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกันเรื่อยมา
แม้หวงเจียวจูจะมีความคิดเจียมตนอยู่ก่อนแล้ว ว่าไม่อาจเทียบเคียงกู่ถิงเซียงที่ทั้งสง่างามและเกิดในตระกูลสูงส่งได้ อีกทั้งเมื่อฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนเรียกกู่ถิงเซียงเข้าถวายตัว ความห่างเหินระหว่างพวกนางจึงต้องมีมากขึ้นเป็นธรรมดา
หวงเจียวจูแอบเป็นกังวลว่ากู่ถิงเซียงจะมองนางเป็นสตรีชั้นล่าง ไม่ควรค่าจะลดตัวลงมายุ่งเกี่ยวด้วย
ทว่าทุกสิ่งที่หวงเจียวจูคิดกลับผิดถนัด กู่ถิงเซียงยังคงคุยกับนางเป็นปกติ หนำซ้ำยังดูใจดีมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ทำให้เพื่อนอย่างนางรู้สึกผิดที่หลงมองกู่ถิงเซียงในแง่ร้าย
หวงเจียวจูคลี่ยิ้มบาง เอื้อมมือไปกุมมือกู่ถิงเซียงไว้เป็นเชิงให้กำลังใจ ไม่อยากให้หญิงสาวคิดมาก
กู่ถิงเซียงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มตอบกลับมา
การมีเพื่อนที่คอยเข้าใจและอยู่เคียงข้าง...มันดีแบบนี้นี่เองสินะ
