ตอนที่ 4: โลกที่พังทลาย
วันจันทร์, 11:45 น.
ห้องทำงานของหัวหน้าแผนก
คำพูดสุดท้ายของคุณวิรัชยังคงก้องอยู่ในหูของตะวัน "ส่งบัตรพนักงานของคุณมา"
มันไม่ใช่เสียงตะคอก ไม่ใช่เสียงเกรี้ยวโกรธ แต่เป็นระดับเสียงที่ราบเรียบและไร้ความรู้สึกใดๆ ซึ่งนั่นกลับทำให้มันบาดลึกลงไปในใจของเธอมากกว่าการด่าทอเป็นร้อยเท่า
มือของเธอสั่นจนควบคุมไม่ได้ เธอปลดสายคล้องบัตรพนักงานออกจากคออย่างเชื่องช้า บัตรพลาสติกสีขาวที่มีรูปถ่ายหน้าตรงของเธอยิ้มอยู่บนนั้นดูเหมือนเป็นของของคนอื่นไปแล้วในวินาทีนี้ เธอยื่นมันไปวางบนโต๊ะทำงานไม้มะฮอกกานีที่ขัดเงา มันกระทบกับผิวโต๊ะ เกิดเสียงดัง "แกร็ก" ที่เบาแสนเบา แต่สำหรับตะวันแล้ว มันดังราวกับเสียงกระจกที่แตกละเอียด
"ผมจะให้ฝ่ายบุคคลติดต่อคุณไปอีกทีเรื่องการสอบสวน" คุณวิรัชพูดต่อ โดยไม่มองหน้าเธอ "ตอนนี้คุณกลับไปเก็บของส่วนตัวที่โต๊ะได้ แล้วให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไปส่งคุณที่ลิฟต์"
ตะวันพยักหน้ารับ เธอไม่มีแรงจะพูดอะไรอีกต่อไปแล้ว เธอโค้งตัวเล็กน้อยตามความเคยชิน แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ประตูไม้บานหนักปิดลงตามหลัง ปิดฉากชีวิตการทำงานที่เธอเคยภาคภูมิใจ
ทางเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองรู้สึกยาวไกลกว่าปกติหลายเท่า ทุกสายตาในออฟฟิศจับจ้องมาที่เธอ บางคนมองด้วยความสงสาร บางคนมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น และบางคน... ก็รีบหันหน้าหนีไปทันทีที่เธอสบตา พี่ก้อยกับนัทยืนอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง สีหน้าของพวกเขายังคงเต็มไปด้วย "ความเป็นห่วง" ที่ตะวันเพิ่งตระหนักว่ามันคือการแสดงทั้งหมด
เธอไปถึงโต๊ะทำงานที่เคยเป็นโลกอีกใบของเธอ บนโต๊ะมีกล่องกระดาษสีน้ำตาลวางรออยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลคงเตรียมไว้ให้
ตะวันเริ่มเก็บของใช้ส่วนตัวลงกล่องอย่างเงียบๆ สมุดบันทึกเล่มโปรด, แก้วกาแฟลายดอกไม้ที่นนท์เคยซื้อให้เป็นของขวัญ, กรอบรูปเล็กๆ ที่มีรูปเธอถ่ายคู่กับมีนาในวันคริสต์มาสที่โบสถ์... ทุกอย่างที่เคยเป็นความสุขและความทรงจำที่ดี ตอนนี้กลับกลายเป็นของมีคมที่ทิ่มแทงหัวใจของเธอ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยร่างใหญ่เดินมายืนรออยู่ข้างๆ เธอเงียบๆ เป็นการส่งสัญญาณว่าเธอต้องรีบ
เมื่อทุกอย่างถูกเก็บลงกล่องจนหมด ตะวันก็ก้าวเดินออกจากแผนกไปเป็นครั้งสุดท้าย เธอไม่ได้หันกลับไปมองใครอีกเลย
ลิฟต์โดยสารเคลื่อนตัวลงอย่างรวดเร็ว ตัวเลข
สีแดงบนหน้าจอดิจิทัลลดลงทีละชั้นๆ เหมือนกับคุณค่าในตัวเองของเธอที่กำลังดิ่งลงเหว เธอจ้องมองภาพสะท้อนของตัวเองบนผนังลิฟต์ที่เป็นโลหะมันวาว ผู้หญิงในนั้นดูแปลกหน้า... ดวงตาของเธอว่างเปล่าและไร้แวว
12:30 น.
บนรถแท็กซี่
ทิวทัศน์ของกรุงเทพมหานครเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วนอกหน้าต่างรถ แต่ตะวันไม่ได้มองเห็นอะไรเลย ในหัวของเธอเต็มไปด้วยคำถาม "ทำไม" ซ้ำไปซ้ำมา ทำไมต้องเป็นเธอ? เธอทำอะไรผิด? ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เธอพยายามเป็นคนดี, ซื่อสัตย์, และทำงานอย่างเต็มที่เสมอมาไม่ใช่หรือ
แล้วทำไม... พระเจ้าถึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเธอ
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาด้วยมือที่ยังสั่นอยู่ คนแรกที่เธอนึกถึงคือมีนา
"ฮัลโหลตะวัน เป็นไงบ้าง" เสียงร่าเริงของมีนาดังมาจากปลายสาย
ทันทีที่ได้ยินเสียงเพื่อนรัก กำแพงที่ตะวันพยายามสร้างขึ้นก็พังทลายลง น้ำตาที่อั้นไว้ทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
"มีนา..." เสียงของเธอขาดห้วง "...ฮึก... เรา... เราโดนไล่ออก"
"อะไรนะ!" เสียงของมีนาเปลี่ยนเป็นตกใจสุดขีด "ตะวัน! เกิดอะไรขึ้น! เธออยู่ไหนตอนนี้"
ตะวันพยายามเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟังอย่างกระท่อนกระแท่น ทุกคำพูดปนเปไปกับเสียงสะอื้น มีนาฟังอย่างเงียบๆ แต่ตะวันรู้สึกได้ถึงความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ในความเงียบนั้น
"มันเป็นไปไม่ได้! พวกนั้นมันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!
" มีนาพูดอย่างหัวเสีย "ตะวัน ไม่ต้องร้องนะ ฟังเรานะ นี่มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลยแม้แต่น้อย เดี๋ยวเลิกงานแล้วเราจะรีบไปหาทันทีเลยนะ รอเราก่อนนะตะวัน ห้ามคิดอะไรสั้นๆ เด็ดขาด!"
"อือ..." ตะวันตอบรับในลำคอ เธอรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยที่อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนคนนี้อยู่เคียงข้าง
หลังจากวางสายจากมีนา เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกดโทรออกหาคนสำคัญอีกคน... นนท์
เขารับสายหลังจากที่มันดังไปหลายครั้ง "ครับตะวัน"
"นนท์... ฮึก..." เธอเริ่มร้องไห้อีกครั้ง "นนท์คะ... ที่ทำงาน... ที่ทำงานเขาไล่ตะวันออกค่ะ"
ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง ซึ่งเป็นความเงียบที่ต่างจากของมีนาโดยสิ้นเชิง มันไม่ใช่ความเงียบของความตกใจ แต่เป็นความเงียบของการประมวลผล
"ว่าไงนะ... เกิดอะไรขึ้น" น้ำเสียงของเขาดูสับสน
ตะวันเล่าเรื่องราวทั้งหมดซ้ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอสังเกตเห็นปฏิกิริยาที่แตกต่างออกไป นนท์ไม่ได้แสดงความโกรธเกรี้ยวแทนเธอ แต่กลับเต็มไปด้วยคำถามที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ต้องหา
"แล้วไฟล์มันหายไปได้ยังไงตะวัน คุณแน่ใจนะว่าเซฟงานดีแล้ว"
"แน่ใจสิคะนนท์ ตะวันตรวจทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว"
"แล้วเรื่องอีเมลฉบับร่างนั่นล่ะ หรือว่าคุณเผลอเขียนตอนที่เครียดๆ แล้วลืมไปหรือเปล่า"
"ไม่ใช่นะคะ! ตะวันไม่ได้เขียน!" เธอเผลอขึ้นเสียงอย่างลืมตัว
"โอเคๆ ใจเย็นๆ ก่อน" นนท์พูด "ผมไม่ได้จะว่าอะไรคุณนะ แต่เรื่องนี้มันดูไม่ดีเลยนะตะวัน มันอาจจะส่งผลเสียกับชื่อเสียงของคุณไปเลยนะ"
คำว่า "ชื่อเสียงของคุณ" ไม่ใช่ "ชื่อเสียงของเรา" ทำให้ตะวันรู้สึกเหมือนมีก้อนน้ำแข็งเล็กๆ ก่อตัวขึ้นในใจ "นนท์... ตอนนี้ตะวันไม่เหลือใครแล้วนะ... เย็นนี้มาหาตะวันหน่อยได้ไหมคะ"
ปลายสายเงียบไปอีกครั้ง "เอ่อ... วันนี้ผมติดประชุมดึกเลย อาจจะเข้าไปไม่ได้ ไว้... ไว้พรุ่งนี้ผมจะโทรหานะครับ แค่นี้นะ"
เขาวางสายไปก่อนที่ตะวันจะได้พูดอะไรต่อ
ตะวันลดโทรศัพท์ลงช้าๆ ความรู้สึกอบอุ่นจากบทสนทนากับมีนาเมื่อครู่หายไปหมดสิ้น ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกเย็นที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ
17:45 น.
คอนโดของตะวัน
ตะวันนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นมาหลายชั่วโมงแล้ว เธอยังอยู่ในชุดทำงานชุดเดิม กล่องกระดาษสีน้ำตาลที่ใส่ของใช้ส่วนตัวของเธอวางอยู่บนพื้นข้างๆ เหมือนเป็นอนุสรณ์แห่งความพ่ายแพ้
แสงแดดยามบ่ายคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ จนในที่สุดความมืดก็เข้ามาแทนที่ แต่เธอไม่ได้ลุกขึ้นไปเปิดไฟ เธอยอมให้ความมืดนั้นโอบล้อมตัวเธออย่างช้าๆ
เธอพยายามจะอธิษฐาน แต่กลับไม่มีคำพูดใดๆ ออกมา ในหัวของเธอว่างเปล่าเกินไป ศรัทธาที่เคยเป็นเหมือนสมอเรือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ตอนนี้กลับดูเหมือนเส้นด้ายที่ใกล้จะขาดเต็มที
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น ทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย
"ตะวัน! เปิดประตูให้เราหน่อย!" เสียงของมีนา
ตะวันลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าไปเปิดประตู มีนาที่ยืนอยู่หน้าห้องมีถุงอาหารเต็มสองมือ เธอรีบเดินเข้ามาในห้องแล้ววางของลงบนโต๊ะ ก่อนจะหันมาคว้าตัวเพื่อนรักเข้าไปกอดแน่น
"ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นนะ" มีนากระซิบ "ร้องไห้ออกมาให้หมดเลย"
และตะวันก็ร้องไห้ออกมาจริงๆ เธอสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของเพื่อนเหมือนเด็กหลงทาง มันคือความรู้สึกปลอดภัยเพียงหนึ่งเดียวที่เธอเหลืออยู่ในตอนนี้
มีนาจัดแจงเปิดไฟในห้อง เอาอาหารออกจากถุงมาวางบนโต๊ะ "นี่ โจ๊กร้อนๆ เราซื้อมาจากร้านโปรดของเธอ กินหน่อยนะ จะได้มีแรง"
ตะวันส่ายหน้าช้าๆ "เรา... กินไม่ลง"
"ไม่ได้ ต้องกิน" มีนาพูดเสียงแข็ง "พวกนั้นมันทำร้ายเธอมามากพอแล้ว อย่าทำร้ายตัวเองเพิ่มอีกเลยนะตะวัน"
มีนานั่งอยู่เป็นเพื่อนตะวันจนเกือบสามทุ่ม เธอพยายามชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อดึงความสนใจของตะวัน แต่ส่วนใหญ่แล้วตะวันก็เอาแต่นั่งเงียบๆ ด้วยสายตาเลื่อนลอย
"นนท์เขาโทรมาบ้างรึยัง" มีนาถามขึ้นเบาๆ
ตะวันส่ายหน้า "ยังเลย..."
...เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น ทั้งสองคนหันไปมองหน้ากัน
"สงสัยจะเป็นนนท์" มีนาพูดอย่างมีความหวัง "เขาคงมาแล้ว"
ตะวันเดินไปที่ประตูด้วยท่าทีลังเล เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเปิดออก นนท์ยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ เขาอยู่ในชุดทำงานเหมือนเพิ่งเลิกงานมา สีหน้าของเขาดูอิดโรยและเป็นกังวล
ทันทีที่เขาเห็นสภาพของตะวัน เขาก็รีบก้าวเข้ามาชิดตัวทันที "ตะวัน! ผมขอโทษที่มาช้า พอดีประชุมมันยืดเยื้อ"
นนท์ดึงร่างที่อ่อนแรงของตะวันเข้าไปกอดแน่น "ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร ผมอยู่นี่แล้วนะคนดี"
ตะวันที่กำลังรู้สึกโดดเดี่ยว เมื่อได้รับอ้อมกอดที่คุ้นเคย กำแพงที่เธอพยายามสร้างไว้ก็พังทลายลงอีกครั้ง เธอซบหน้าร้องไห้กับอกของเขาอย่างเงียบๆ
มีนามองภาพนั้นแล้วก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง อย่างน้อยนนท์ก็ไม่ได้ทิ้งเพื่อนของเธอไปไหน
นนท์ค่อยๆ ประคองตะวันไปนั่งที่โซฟา เขานั่งลงข้างๆ และกุมมือเธอไว้แน่น "เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เล่าให้ผมฟังได้ไหม"
ตะวันเล่าเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งด้วยเสียงที่ขาดห้วง นนท์ฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้ารับเป็นระยะๆ และแสดงสีหน้าโกรธเคืองออกมาอย่างชัดเจนเมื่อได้ยินเรื่องที่พี่ก้อยกับนัททำ
"เลวจริงๆ" นนท์พูดขึ้น "พวกนั้นทำกับคุณแบบนี้ได้ยังไง ไม่ต้องห่วงนะตะวัน เราจะสู้เรื่องนี้ด้วยกัน ผมจะช่วยคุณหาทนายดีๆ"
"ขอบคุณนะคะนนท์" ตะวันพูดเสียงเบา "ตะวันนึกว่า... นึกว่านนท์จะ..."
"ผมไม่มีวันทิ้งคุณหรอก" เขาลูบหัวเธอเบาๆ "โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้"
ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดี แต่มีนาที่นั่งมองอยู่เงียบๆ กลับรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ...
อ้อมกอดของนนท์ดูแข็งทื่อไปเล็กน้อย คำพูดของเขาดูเหมือนบทละครที่ท่องมาอย่างดี และที่สำคัญที่สุด... ตลอดเวลาที่เขาปลอบตะวัน สายตาของเขากลับเหลือบมองไปที่โทรศัพท์มือถือที่วางคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะเป็นระยะๆ
ทันใดนั้น โทรศัพท์เครื่องนั้นก็สั่นขึ้นเบาๆ หน้าจอที่สว่างวาบขึ้นมาแวบหนึ่งแสดงข้อความแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันไลน์ ก่อนจะดับไป
นนท์ชะงักไปนิดหนึ่ง เขารีบเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกงทันที "เอ่อ... สงสัยเรื่องงานน่ะ" เขาแก้ตัว
"ไม่เป็นไรค่ะ" ตะวันตอบอย่างซื่อๆ เธอจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเองจนไม่ทันได้สังเกต
แต่มินาสังเกตเห็น...
นนท์อยู่ต่ออีกไม่นาน เขาก็ขอตัวกลับโดยอ้างว่าพรุ่งนี้มีประชุมเช้า แต่ไม่ลืมที่จะหันมาบอกตะวันด้วยน้ำเสียงที่ "ห่วงใย" ที่สุด
"พักผ่อนเยอะๆ นะครับ พรุ่งนี้ผมจะโทรหา ไม่ต้องคิดมากนะ เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน"
เขาเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ตะวันรู้สึกมีความหวังและอบอุ่นใจขึ้นมาเป็นครั้งแรกของวัน
"เห็นไหมมีนา" ตะวันหันมาพูดกับเพื่อน น้ำตาของเธอแห้งแล้ว เหลือเพียงรอยยิ้มจางๆ "เราบอกแล้วว่านนท์ไม่มีวันทิ้งเราหรอก"
มีนาฝืนยิ้มตอบกลับไป "อือ... นั่นสินะ"
เธอไม่ได้พูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป เธอมองตามหลังนนท์ไปทางประตูที่เพิ่งปิดลง...
ประโยคให้กำลังใจของเขาดูสมบูรณ์แบบ... สมบูรณ์แบบเกินไป
การกระทำของเขาดูเหมือนแฟนหนุ่มในอุดมคติ... แต่แววตาของเขากลับไม่มีความรู้สึกร่วมอยู่เลย
ความสงสัยก้อนเล็กๆ ได้ถือกำเนิดขึ้นในใจของมี
นาแล้ว และมันก็ทำให้เธอรู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล