ตอนที่ 4 คุณหนูมัดไหม
รัก(ไม่)แรกพบ
ตอนที่ ๔
คุณหนูมัดไหม
รุ่งเช้าวันถัดมา แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านม่านไม้ไผ่เข้ามาในห้อง มัชฌิมาลุกขึ้นแต่งตัวด้วยความมั่นใจเต็มร้อย ก่อนออกจากห้องเธอส่องกระจกเป็นครั้งสุดท้าย ชุดเดรสลายดอกยาวพลิ้วปลิวลงมาถึงข้อเท้า รองเท้าส้นสูงราวกับจะไปงานเปิดตัวสินค้า ผมยาวถูกรวบครึ่งศีรษะประดับกิ๊บวิบวับ แถมยังหยิบแว่นกันแดดทรงเก๋ขึ้นมาใส่เรียบร้อย
เสียงรองเท้ากระทบไม้ “ก๊อก ๆ ๆ” ดังไปทั่วบันได ทำเอาต้นลานที่กำลังยืนรออยู่ข้างรถกระบะถึงกับยกมือกุมขมับตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า
“เอ้า…จะไปเดินพรมแดงเมืองคานส์หรือจะไปสวนผัก?” เขาทำเสียงเอือม แต่ดวงตาแอบมีแววขำ
“ก็มันคือสไตล์! ฉันไม่ใช่พวกจะใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดา ๆ หรอกนะ แบบนั้นเชยสะบัด ฉันเป็นคนสวย ไปที่ไหนฉันก็ต้องสวยตลอดเวลารู้ไว้ด้วย !!!” มัชฌิมายักคิ้วใส่
“สไตล์แบบนี้แถวนี้เขาเรียกคนบ้านะ…แล้วคนสวยต่อให้เขาจะใส่เสื้อผ้าเก่าๆขาดๆ ไม่แต่งหน้าทาปากแดงเหมือนปอบกินเลือดแบบที่เธอทำอยู่ก็สวย ส่วนแบบเธอบ้านฉันเรียกคนบ้าพยายามสวย” ต้นลานกลอกตา ก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่รับปากพ่อว่าจะพาหญิงสาวเข้าไปในไร่ด้วย ดูจากท่าแล้วเขาคงได้ภาระเพิ่มแน่ๆวันนี้
“ฉันเตือนก่อนเลยนะว่าสวนพ่อฉันไม่ปูพรมแดงให้เดิน ระวังส้นสูงจมดินล่ะอย่ามาร้องโวยวายทีหลัง นอกจากจะไม่ช่วยแล้ว ฉันจะซ้ำเธอด้วย” น้ำเสียงเอือมระอาของเขา ทำเอามัชฌิมาเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ
“หึ! อย่าดูถูกกันไปหน่อยเลยน่า คนอย่างมัชฌิมาเอาอยู่!” เธอเชิดหน้าเดินสะบัดออกไปรอเขาหน้าบ้านทันที ใช่ว่าเธออยากไปไร่ไปสวน แต่เมื่อคืนคุณลุงหัสดินทร์บอกว่าอยู่แต่ในบ้านคงเบื่อแย่ ให้ออกไปลองหาอะไรทำดู อีกอย่างจะได้มีเรื่องกลับไปเล่าให้พ่อฟังด้วย ว่าเธอมาอยู่ที่นี่เธออยู่ได้ และอยู่ได้อย่างดีด้วย
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากนั่งรถกระบะไปถึงสวนจริง ๆ เสียง “กึก! กึก!” ก็ดังขึ้นทุกสองก้าว รองเท้าส้นสูงของเธอจมลงไปในดินที่ชื้นเพราะน้ำค้างเช้า จนต้นลานต้องเดินตามลากแขนเธอแทบทุกจังหวะของการก้าวเลยด้วยซ้ำ
“นี่! ฉันบอกแล้วใช่ไหม ส้นสูงไม่ใช่รองเท้าที่ควรใส่เข้าสวน!” เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นยาว
มัชฌิมาหน้าแดงหูแดง พยายามสะบัดแขนออก
“ก็ฉันไม่รู้ว่ามันจะเละขนาดนี้นี่! ในละครน่ะเดินสวนทีไรโรแมนติกทุกทีเลย!”
ต้นลานถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่า ๆ ๆ เธอนี่มัน…โลกละครไปหมดสินะ ขอบอกเลยนะว่าชีวิตจริง ไม่ได้มีผู้ชายถือร่มมายืนรอเธอเดินอยู่บนคันนาเหมือนพระเอกหรอก”
“แล้วถ้าเกิดฉันหกล้มจริง ๆ นายจะปล่อยให้ฉันจมน้ำคลองหรือไง!”
“ไม่หรอก น้ำคลองตามสวนไม่ได้ลึกขนาดนั้น อีกอย่างเธอก็ไม่ใช่เด็กสามขวบที่ตกลงไปในน้ำแล้วจะปล่อยให้ตัวเองจมเสียหน่อย” ต้นลานยิ้มมุมปาก ก้มลงถอดรองเท้าส้นสูงคู่นั้นออกจากเท้าเธออย่างหน้าตาเฉย
"แต่คือนายจะไม่ช่วยฉันใช่ไหม?"
"ไม่ล่ะ ฉันคงยืนดูเฉยๆ เธอช่วยตัวเองได้ ทำไมฉันต้องช่วยด้วยล่ะ"
"ใจดำจริงๆ คนอะไร"
"แล้วเธอล่ะคุณหนูมัดไหม เธอเป็นคนแบบไหน บอกก็แล้ว พูดด้วยดีๆก็แล้ว เตือนก็แล้ว แต่ไม่ฟัง พอเกิดเรื่อง เกิดปัญหาขึ้นมาเธอเอาแต่โทษคนนั้นคนนี้ใจร้าย ใจดำ"
"นายนี่ย้อนฉันทุกคำ ทุกประโยคจริงๆนะ ยอมให้ฉันบ้างมันจะตายหรือยังไง" มัชฌิมากรอกตาไปมาอย่างเหลืออด เขาย้อนเธอทุกประโยค ถึงแม้บางทีเธอเหมือนจะชนะเขาแต่ความรู้สึกเธอกลับไม่ใช่เลย
“ฉันคิดอะไรออกล่ะ" จู่ๆต้นลานก็ทำท่านึกบางอย่างออกที่ทำให้มัชฌิมารู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ
"อะไร คิดอะไร แล้วมองฉันแบบนั้นทำไม" มัชฌิมาถอยกรูดด้วยความหวาดระแวง จะไม่ให้ระแวงได้ยังไง ดูสายตา ดูท่าทางของเขาสิ มันน่าไว้ใจที่ไหน
"ฉันจะไม่ต้องช่วยเธอทั้งวันแล้วเอาเวลาไปทำงานได้สักที เพราะหลังจากนี้ฉันจะอุ้มไปโยนไว้บนรถเลย จะได้ไม่ต้องลำบากลากขึ้นจากขี้โคลนเธอทั้งวัน ก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นขี้โคลนก็ยังจะเดินลงไปให้ส้นรองเท้าจมอยู่ได้” ต้นลานก้าวเข้าหามัชฌิมาโดยที่สายตาคมของเขายังจับจ้องเธอไม่วางตา จะบอกว่าเขาเหมือนราชสีห์ล่าเหยื่อคงไม่ใช่ เขาเหมือนแมวจอมตะกละที่กำลังจ้องจะกินหนูแฮมสเตอร์แบบเธอมาก็กว่า
“นี่นาย! จะทำอะไรเนี่ย!”มัชฌิมาตาโต หน้าแดงขึ้นมาทันที
“ก็จะช่วยให้เธอ ‘เอาอยู่’ ไง แม่สาวดาวมหาลัย” เขาแกล้งเน้นเสียง พร้อมกับยื่นรองเท้ายางสีเขียวเก่า ๆ ให้แทน
“ใส่นี่ไปก่อน ถ้าไม่อยากกลับบ้านทั้งที่เท้าเปื้อนโคลน”
มัชฌิมามองรองเท้ายางเก่า ๆ คู่นั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนถอนหายใจโล่งอก แสดงว่าที่เขาบอกจะจับเธอโยนไว้บนรถคงแค่แกล้งขู่เธอเท่านั้น
“ให้ตายสิ…ฉันต้องใส่ของแบบนี้จริง ๆ เหรอ”
“จริงสิ” ต้นลานยักคิ้วกวน แต่แววตาแอบมีประกายเอ็นดู
“ไม่งั้นวันนี้ทั้งสวนคงต้องได้ยินเสียงกรี๊ดของเธอตลอดวันแน่ ๆ”
มัชฌิมาเม้มปากแน่น แต่สุดท้ายก็ยอมสวมรองเท้าลงไปอย่างเสียไม่ได้ ขณะเดินต่อไปพร้อมเขา เธออดหันไปค้อนแรง ๆ ไม่ได้ แต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูก “ดูแล” อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
ต้นลานเหลือบมองคนนิสัยคุณหนูที่ตอนนี้ต้องเดินในสวนด้วยรองเท้ายางที่ใหญ่กว่าขนาดเท้าไปหนึ่งเบอร์ ก็แอบอมยิ้มเบา ๆ …ใช่สิ จากนี้เขาคงปวดหัวกับเธอไปอีกนานแน่ ๆ
แดดสายเริ่มแรงขึ้น ลมพัดกลิ่นดินผสมหญ้าเปียกคละคลุ้งไปทั่วสวน มัชฌิมายกชายกระโปรงขึ้นเดินอย่างทุลักทุเล ถึงรองเท้ายางจะช่วยได้แต่เธอก็ยังบ่นไม่หยุด
“โอ๊ยยยยยย ร้อนก็ร้อน ดินก็เละ แล้วนี่เราจะเดินไปถึงไหนกันเนี่ย!”
ต้นลานที่เดินนำอยู่หันมายักคิ้ว
“บ่นตั้งแต่ก้าวแรกยันตอนนี้ เธอจะลองนับมั้ยว่าพูดคำว่า ‘ร้อน’ กี่รอบแล้ว”
“ก็นี่มันร้อนจริง ๆ นี่นา!” มัชฌิมาหน้าบึ้ง มือก็พัดหน้าไปมา
ต้นลานหัวเราะในลำคอ ก่อนจะหันไปทำเป็นจริงจัง
“เอางี้ เธอช่วยลุงรดน้ำผักหน่อยไหมล่ะ ถือว่าเปิดฤกษ์งานในไร่ของดาวมหาลัย”
มัชฌิมาชะงักไปนิด แต่ก็พยักหน้าหยิ่ง ๆ
“ได้สิ คิดว่าฉันทำไม่ได้หรือไง”เธอเดินไปจับสายยางที่พาดอยู่กับรั้วไม้ ต้นลานแอบหรี่ตาดูท่าทางขยันขันแข็งของเธอ ก่อนจะย่องเข้าไปบิดก๊อกแรงขึ้นโดยที่เธอไม่รู้ตัว
พรืดดดดดด!
น้ำพุ่งออกมาแรงจนมัชฌิมากรี๊ดลั่น รีบหันสายยางไปมั่วซั่วจนเปียกเองทั้งตัว
“ก๊ากกกกกก! ฮ่า ๆ ๆๆ โอ๊ยยยยยยย!” ต้นลานหัวเราะจนตัวงอ ยกมือกุมท้อง น้ำตาแทบไหล
“นี่นาย!! แกล้งฉันใช่มั้ย!!” มัชฌิมาตะโกนเสียงแหลม ผมยาวเปียกแนบแก้ม ใบหน้าสวยที่แต่งมาอย่างดีตอนเช้าเลอะไปด้วยละอองน้ำ
“ฉันเปล่านะ…ก็แค่ก๊อกมันแรงไปเอง” เขาแกล้งทำเสียงใสซื่อ แต่สายตากรุ้มกริ่มเกินปกติ
“อ๊ายยยยยย!” เธอกรีดร้อง ก่อนจะหันสายยางใส่เขาบ้าง น้ำกระเซ็นใส่เสื้อเชิ้ตทำงานของต้นลานจนเปียกชุ่ม
“เฮ้ย! หยุด ๆๆๆ! เดี๋ยวก็เปียกทั้งสวนหรอก!”
“ก็ดี! จะได้รู้ว่าฉันไม่ใช่คนเดียวที่เปียก!”
เสียงหัวเราะดังสนั่นแข่งกับเสียงน้ำที่สาดไปรอบ ๆ เด็กคนงานที่เดินผ่านยังถึงกับหัวเราะตาม บรรยากาศที่ควรจะเป็นงานหนักในสวนกลับกลายเป็นสนามเด็กเล่นย่อม ๆ ไปเสียแล้ว
ท้ายที่สุดต้นลานรีบวิ่งเข้ามาคว้าแขนเธอแล้วดึงสายยางออกจากมือ มัชฌิมาหอบหายใจ หน้าแดงเพราะทั้งเหนื่อยทั้งอาย
“พอแล้ว ๆ เดี๋ยวคนอื่นเขาจะหาว่าเราเล่นน้ำสงกรานต์กลางไร่” เขาพูดยิ้ม ๆ ขณะผมเปียกชุ่มแนบหน้าผาก
มัชฌิมามำได้เพียงค้อนวงใหญ่ แต่พอเห็นเขายิ้มกว้างแบบนั้น ใจก็เต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
"ไม่ได้นะมัดไหม หมอนี่นิสัยไม่ได้ดีเหมือนหน้าตาสักนิด"
