ตอนที่ 2 ลูกชายเจ้าของไร่
รัก(ไม่)แรกพบ
ตอนที่ ๒
ลูกชายเจ้าของไร่
เสียงลมพัดหนาวยะเยือกพัดผ่านยอดไม้สูงตลอดทางที่ทั้งสองเดินเข้าสู่ไร่ มัชฌิมาเดินไปบ่นไปจนแทบจะเป็นบทสวดมนต์ แต่ชายหนุ่มกลับทำหูทวนลมกับคำบ่นของเธอราวกับเสียงลมพัดผ่านเสียอย่างนั้น
"นี่นายฟังฉันพูดบ้างไหมเนี่ย ทำไมคุณลุงกัสดินไม่ทำทางเข้าไร่ที่รถยนต์สามารถเข้ามาได้นะ ทำไมต้องมีแต่ทางเดินเท้าก็ไม่รู้" มัชฌิมายังไคงไม่เลิกบ่น
"ก็มีนะ ทางที่รถยนต์เข้ามาได้ จริงๆเรียกว่ารถบรรทุกเข้ามาได้เลยก็ยังได้"
"มี?" มัชฌิมาถามเสียงหลง เมื่อกี้หมอนี่บอกว่ามีทางที่รถยนต์สามารถเข้ามาได้ ไม่สิ บอกว่ารถบรรทุกเข้ามาได้เลยด้วยซ้ำ แต่ทำไม...
"แต่แค่ไม่ใช่ทางที่เราเดินเข้ามาเท่านั้นเอง ทางที่เราเดินเข้ามันเป็นทางเข้าหลังไร่ คุณท่านยังไม่ได้มีโครงการจะทำถนนไปถึงตรงนี้น เพราะว่าคุณท่านยังไม่แผนที่จะไปปลูกอะไรแถวนั้น ท่านคงอยากรักษาพื้นที่ตรงนั้นให้เป็นผืนป่าที่สมบูรณ์เหมือนเดิมนั่นแหละ" เขาอธิบายเหมือนเรื่องที่เธอต้องรู้ ไม่สิ เธอไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้
"ไม่ๆๆ ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องการอนุรักษ์ผืนป่าบ้าบออะไรของคุณลุงหัสดินทร์ แต่ที่ฉันอยากรู้คือในเมื่อมันมีทางทีาไม่ต้องเดินไกลขนาดนี้ นายพาฉันมาเดินทำไม?" ตอนนี้มัชฌิมาอยากร้องไห้ ความรู้สึกเหมือนเธอไม่มีขาทั้งสองข้างแล้วด้วยซ้ำ มันปวดจนไม่รู้สึกอะไรแล้ว แม้จะไม่ต้องลากกระเป๋าใบโตด้วยตัวเอง แต่มีนก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องมาเดินเท้าในระยะทางที่ไกลขนาดนี้
"ผมอยากเดินเล่น" คนตอบก็ตอบหน้าตาย ใช่เขามันสมควรตาย ที่พ่อจะส่งเธอให้มาอยู่กับคุณลุงหัสดินทร์เพราะจะดัดนิสัยเอาแต่ใจของเธอลงบ้าง แต่เพราะเธอเองก็คุ้นเคยกับคุณลุงหัสดินทร์เป็นอย่างดี ทำไมจะไม่รู้ว่าเขารักและเอ็นดูเธอแค่ไหน นอกจากนิสัยเธอจะไม่ดีขึ้นอาจจะแย่มากกว่าเดิมก็ได้
"เดินเล่น!?"
"เอาน่าคุณ อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว หรือคุณอยากจะเดินย้อนกลับไปตรงที่เราลงจากรถแล้วเรียกรถให้มาส่งในไร่อีกทีผมก็ไม่ติดนะ"
"ไม่ติด ไม่ติดเลยสักนิด แต่ฉันขอตัวเดี๋ยวนะ" มัชฌิมากัดฟันตอบเขาอย่างพยายามข่มอารมณ์ก่อนหันหลังเดินออกมาสามก้าวและกรี๊ดอย่างเต็มเสียง
กรี๊ดดดดดดดด!!!
"โอ้ยคุณ!!! เดี๋ยวคนก็คิดว่าคุณโดนผมฆ่าข่มขืนเอาหรอก จะกรี๊ดทำไม"
"ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันแค่กรี๊ด ไม่กระโดดถีบหน้านายเหมือนที่นายถีบกระเป๋าฉันน่ะ!!"
"ยังผูกใจเจ็บอยู่อีกเหรอ ก็บอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ให้คนงานไปเก็บให้ไง ยังไงก็ได้คืนหรอกน่า ครีมในนั้นไม่ทาคืนเดียวน่าคุณคงไม่เป็นศพเดินได้หรอก"
"นั่นปากเหรอที่พูดออกมาอ่ะ"
"ผมก็ไม่เคยเห็นใครใช้รูจมูกพูดสักคนนะ"
"ไอ้...!!!"
"ไปเถอะคุณ จะถึงแล้วเนี่ย" คนตัวโตไม่เพียงแค่พูดแต่ยังเดินนำหน้า ทิ้งให้มัชฌิมากระทืบเท้าอยู่ตรงนี้น ก่อนที่เธอจะรีบจ้ำเท้าเดินตาม ถึงจะโมโหมากแค่ไหนแต่ตอนนี้เธอก็อยากถึงบ้านพักเต็มทีแล้ว
“เนี่ยนะบ้านพัก? ที่นายพาฉันเดินมาตามทางไกลขนาดนี้เพื่อมาพักบ้านหลังนี้เนี่ยนะ ไม่สิจะเรียกว่าทางเดินยังไม่กล้าเรียกเลย มันคือทางปีนเขาชัด ๆ รองเท้าส้นสูงฉันจะพังหมดแล้วเนี่ย!”
คนตัวโตที่เดินนำหน้าหันมามองเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเหมือนเคย
“โทษตัวเองสิ ใครใช้ให้แต่งตัวแบบนี้มาในไร่
“นี่นาย! พูดดี ๆ ไม่เป็นหรือไง คนอย่างฉันไม่เคยต้องลำบากแบบนี้มาก่อนนะ!”
“อ๋อ…ก็คงจริงมั้ง ถึงได้โวยวายเหมือนเด็กสามขวบหลงป่าแบบนี้”
“ไอ้!!!” มัชฌิมาแทบจะปารองเท้าส้นสูงใส่แผ่นหลังกว้าง ๆ นั่น แต่พอคิดอีกที รองเท้าคู่นี้ราคาเกือบครึ่งเดือนของเธอที่ใช้ช้อปปิ้ง เธอเลยกัดฟันกลืนคำด่าเข้าไปแทน
ในที่สุดบ้านพักไม้กลางไร่ก็ปรากฏตรงหน้า ไม่ใช่วิลล่าหรู ไม่ใช่เรือนไม้ล้านนาแบบที่เธอจินตนาการ แต่เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวเรียบง่าย มีเพิงหลังคาสังกะสีต่อออกมาเล็กน้อย มัชฌิมาถึงกับกรีดร้องเสียงสูง
“กรี๊ดดดด!!! ที่นี่มันบ้านคนหรือคอกวัวกันแน่!!!”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบา ๆ
“อย่างเธอคงไม่เคยนอนที่แบบนี้สินะ”
“แน่นอนสิ! ฉันนอนแต่โรงแรมห้าดาว รีสอร์ทหรู รู้จักมั้ย โรงแรมที่มีสปา ฟิตเนส อ่างจากุชชี่ แต่นี่ สภาพนี้มันคอกวัวมากกว่าบ้านคนอีกนะ”
“หยุดพูดเถอะ ผมปวดหัว เสียงแปดหลอดแบบนี้ตอนเกิดกินนกหวีดแทนนมหรือเปล่าฮะ ”
“นี่นาย!!!”ร่างบางชี้นิ้วมือสั่น แต่สมองยังกลัานคำด่าออกมาไม่ได้
ยังไม่ทันที่มัชฌิมาจะด่าอะไรต่อ เสียงทุ้มอบอุ่นก็ดังขึ้นจากในบ้าน
“อ้าว หนูมัดไหมมาถึงแล้วเหรอ หลานสาวของลุงสวยจริง ๆ เลย”มัชฌิมาหันไปยิ้มหวานทันที ในเมื่อเ่าไม่ได้เธอก็จะฟ้องคุณลุงหัสดินทร์แทนเลยล่ะกัน บทละครสั้นที่ยัยชลาลัยลูกติดแม่เลี้ยงของเธอชอบดูแล้วก็ชอบเอามาทำกับเธอขอยืมมาใช้หน่อยล่ะกัน
“คุณลุงหัสดินทร์ขา สวัสดีค่ะ มัดไหมคิดถึงคุณลุงจังเลยค่ะ”เธอรีบวิ่งเข้าไปกอดแขนชายวัยกลางคนอย่างสนิทสนม ก่อนจะแอบปรายตาใส่ไอ้หมอนั่นที่ยืนกอดอกอยู่ข้าง ๆ เหมือนจะบอกว่า เห็นไหม ฉันเป็นแขกคนสำคัญของเจ้าของไร่นะยะ!
“หนูเดินทางเหนื่อยล่ะสิ แล้วนี่ต้นลานไม่แกล้งหนูเอาใช่ไหม” ชายวัยกลางคนหัวเราะอย่างเอ็นดู
“หืม? …ต้นลาน?” มัชฌิมาหันขวับทันที คนที่เธอเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ไอ้คนงานบ้า ไร้สมอง ไร้น้ำใจ กำลังยืนยักคิ้วกวนประสาทให้เธออยู่
“ใช่จ้ะ ต้นลาน ลูกชายลุงเอง”
“……………………” ลูกชาย ลูกชายของคุณลุงหัสดินทร์ชื่อต้นลาน ดธอพอรู้มาบ้างแต่เธอไม่คิดว่าจะเป็นเขาโลกทั้งใบของมัชฌิมาเหมือนหยุดหมุนไปชั่วขณะ
“นาย…เป็นลูกชายของคุณลุงหัสดินทร์???”
“ใช่ครับคุณหนู” ต้นลานตอบพร้อมยิ้มมุมปาก
“ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้! แล้วที่นายบอกว่าเป็นคนงานล่ะ?”
“ผมไปพูดตอนไหน? เธอต่างหากที่เข้าใจไปเอง”
“แต่นายก็!!!” มัชฌิมาแทบอยากจะมุดดินหนี เพราะนึกย้อนไปถึงสิ่งที่ตัวเองบ่น ด่า ประกาศว่าจะฟ้องคุณลุง… แถมยังขู่ไล่เขาออกจากงานอีก!
“แหม…ก็คุณหนูมัดไหมเล่นใหญ่ขนาดนั้นถึงขั้นจะให้พ่อไล่ผมออกเนี่ย ผมก็แค่ตามน้ำเท่านั้นเอง”
มัชฌิมาหน้าแดงก่ำ หูแทบจะควันออก ไม่นะ! นี่ฉันด่าไปเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ!!!
ลุงหัสดินทร์ไม่รู้เรื่อง ยังคงยิ้มอารมณ์ดี
“เอาล่ะ ๆ วันนี้เหนื่อยกันมามากแล้ว เข้าไปพักเถอะ เดี๋ยวค่ำ ๆ จะมีอาหารพื้นบ้านให้ชิม รับรองอร่อยแน่นอน”
"บ้านหลังเนี่ยเหรอคะคุณลุง" สีหน้าเหยเกของมัชฌิมาทำเอาหัสดินทร์หัวเราะอย่างนึกเอ็นดู เขาไม่ได้นึกรังเกียจที่หญิงสาวจะทำตัวไม่ติดดินอย่างผู้หญิงแถวนี้ เพราะหญิงสาวเติบโตในเมือง อีกทั้งแม่และพ่อของหญิงสาวเองก็คงประคบประหงมหญิงสาวมาดั่งไข่ในหิน
"ตาต้นลานคงแกล้งอำหนูมัดไหมเล่น บ้านที่ลุงหมายถึงคือหลังนั้นต่างหาก" หัสดินทร์ชี้ไปทางบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งออกไปไม่ไกลนัก มัชฌิมาเห็นดังนั้นก็โล่งใจไม่น้อย บ้านไม้ทรงไทยที่ไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนในหนังสยองขวัญ แต่กลับดูร่มรื่นน่าอยู่กว่าที่คิด
หลังจากเข้ามาในบ้าน มัชฌิมาก็ยังพยายามเก็บอาการเขินไว้ แต่พอเห็นต้นลานนั่งเอนหลังสบาย ๆ จิบชาร้อน มองเธอด้วยสายตาล้อเลียนก็ทนไม่ไหว
“นี่!!! ทำไมไม่บอกฉันแต่แรกว่าคุณเป็นลูกลุงหัสดินทร์!”
“เธอก็ไม่เคยถามนี่”
“ใครจะไปคิดว่าลูกเจ้าของไร่จะทำตัวเป็นคนงานลากฉุดให้คนอื่นลากกระเป๋าเองแบบนี้!”
“ก็เพราะอยากรู้ไง ว่าดาวมหาลัยที่ใคร ๆ ว่าทั้งสวยทั้งเก่ง จะอยู่รอดในป่าเขาได้แค่ไหน”
“ไอ้…!!!” มัชฌิมากำหมัดแน่น แต่ก็ได้แค่ฟึดฟัดเสียงดัง ก่อนจะหันหน้าหนีไปอย่างหงุดหงิด
ต้นลานหัวเราะเบา ๆ …เขาชอบเวลายัยคนนี้โวยวายชะมัด
คนแบบนี้ก็มีด้วยจริง ๆ แหละ
