ตอนที่6 ตกต่ำ
“ครับ.. ก็ทานข้าวที่บ้านผมไงครับ...ทานกันแค่สองคนเป็นส่วนตัวดี”
“ว้าย!...คุณจะทำอะไร”
อัสนีรวบอุ้มต้นข้าวขณะที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัวใบหน้าหวานๆแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกจนซีดเผือดด้วยไม่รู้ว่ามากับชายหนุ่มสองต่อสองแบบนี้จะเจออะไรบ้าง
“ทางข้างหน้าเป็นบันไดผมกลัวคุณจะเดินสะดุดคิดว่าอุ้มเลยจะดีกว่า”
อัสนีสาวเท้ายาวเดินดุ่มหน้าตาเฉยพาสาวเจ้าที่กำลังดีดดิ้นในอ้อมอกเข้ามาในบ้าน
“ฉันเดินเองได้ค่ะ”
“ผมรับปากกับที่บ้านคุณแล้วว่าผมจะดูแลคุณให้ดีที่สุดยังไงผมก็ไม่ยอมปล่อยจนกว่าจะพาคุณไปถึง.งงง... “
คนเจ้าเล่ห์เอ่ยลากเสียงยาวเพื่อยียวนกวนประสาทคนในอ้อมอกให้มีน้ำโหขึ้นมากกว่าเดิม
“ถึงอะไรคะ”
สีหน้าของต้นข้าวตอนนี้แสดงออกถึงความไม่พอใจอัสนีเอามากแต่อีกฝ่ายยิ่งเห็นหญิงสาวตื่นกลัวเท่าไรท่าจะชอบใจมากเท่านั้น
“โต๊ะอาหารครับ”
เมื่อได้คำตอบว่าตัวเองจะไปอยู่ที่จุดไหนของบ้านอัสนีต้นข้าวก็พอจะโล่งใจได้บ้างคนตัวโตสาวเท้าเดินไม่กี่ก้าวก็พาหญิงสาวมาวางที่เก้าอี้ที่ตรงหน้ามีอาหารวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ
“อาหารบนโต๊ะทั้งหมดนี้เป็นของที่คุณข้าวชอบทั้งนั้นเลยนะครับผมถามจากคุณพ่อคุณมาแล้ว”
กลิ่นอาหารที่ลอยเตะจมูกทำต้นข้าวหายจากอาการตื่นกลัวเพราะชายหนุ่มพเธอมานั่งที่โต๊ะอาหารจริงๆและกลิ่นอาหารที่เธอได้กลิ่นตอนนี้ก็เดาได้ว่าทุกอย่างนั้นเป็นของโปรดของเธอเช่นที่เขาพูดเพราะได้กลิ่นเช่นนี้ที่บ้านตัวเองแทบทุกวัน
“ทำไมถึงอยากจะคบกับฉันล่ะคะ”
“ครับ?”
ยังไม่ทันที่อัสนีจะหย่อนก้นลงนั่งที่เก้าอี้ด้านข้างหญิงสาวเขาก็ต้องตะลึงกับคำถามตรงไปตรงมาของสาวเจ้าที่ไม่คิดที่จะอ้อมค้อมในการถามแม้แต่น้อย
“ทำไมถึงอยากจะคบกับฉันทั้งที่คนอย่างคุณน่าจะมีผู้หญิงดีๆเข้าหามากมายแถมพวกเธอก็น่าจะสมประกอบกว่าฉัน”
“พูดอะไรอย่างนั้นครับคุณข้าว...ผมถูกชะตาตั้งแต่เจอคุณที่งานครั้งก่อนแล้วล่ะครับ...แล้วผมก็อยากจะช่วยให้ตาของคุณข้าวกลับมาเป็นปกติ”
“ถ้าจะมาพูดให้ฉันรักษาไม่มีทางค่ะ”
ต้นข้าวส่ายหัวทั้งเอ่ยด้วยท่าทีที่มุ่งมั่นว่าอย่างไรเธอก็ยืนยันคำเดิมว่าจะไม่รักษาดวงตา
“อย่าพึ่งปิดกั้นความหวังดีของผมเลยครับ...เพราะยิ่งคุณข้าวดื้อดึงมากเท่าไรบริษัทของคุณพ่อคุณก็จะได้รับความช่วยเหลือช้าไปเท่านั้นนะครับ”
อัสนีว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนคิดว่าอย่างไรเขาก็มีลูกล่อลูกชนที่จะปราบพยศคนดื้อๆอย่างต้นข้าวได้เพราะรู้นิสัยของเธอเป็นอย่างดีว่าเป็นคนอย่างไร
“คุณกำลังบังคับฉันเหรอคะ?”
คิ้วเรียวบางเริ่มขมวดแสดงออกถึงความไม่สบอารมณ์ที่เขาเอาข้อต่อรองนี้ขึ้นบังคับเธอ
“ผมแค่จะทำให้คุณมีชีวิตที่ดีขึ้นต่างหาก...อีกไม่กี่วันนัดหมอให้มาประเมิณอาการของคุณแล้วจะดูอีกทีว่าจะผ่าตัดได้เมื่อไร...หวังว่าคุณคงจะไม่ดื้อแล้วยอมรับการรักษาแต่โดยดีนะครับ”
พูดจบประโยคได้คนตัวโตก็ยิ้มกรุ้มกริ่มรู้ได้ว่าอย่างไรต้นข้าวก็ต้องตกปากรบคำที่จะรักษาแน่นอนเพราะเขารู้ว่าบ้านของเธอกว่าจะได้พิพัฒน์ธารามาครอบครองมันแสนลำบากคงไม่ปล่อยให้บ่อเงินบ่อทองล่มจมไปง่ายๆแน่นอน
“ได้... ฉันจะยอมทำตามที่คุณบอกก็ได้ขอแค่คุณรีบช่วยบริษัทของพ่อฉันให้พ้นวิกฤต”
“แน่นอนครับ”
อัสนีจ้องมองสาวเจ้าด้วยสายตาเย้ยหยันปนเจ็บแค้นเล็กน้อยเพราะคำตอบของหญิงสาวไม่ผิดแปลกไปจากที่อัสนีคิดเธอยังคงห่วงความอยู่ดีกินดีแม้จะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
“ทานข้าวนะครับเดี๋ยวผมจะป้อน”
“ไม่ค่ะฉันทานเองได้...แค่ตักอาหารใส่จานให้ฉันก็พอ”
“ไม่ครับผมจะดูแลคุณอย่างที่ผมอยากจะดูแล”
อัสนีรวบอุ้มคนตัวเล็กมานั่งบนตักทั้งรั้งเอวเธอเอาไว้ไม่ให้ดิ้นไปไหนด้วยลำแขนแกร่งข้างเดียวส่วนอีกข้างก็จับช้อนตักอาหารบนโต๊ะมาลงจานของเธอเพื่อที่จะรอป้อน
“คุณอัส”
ต้นข้าวรีบใช้มือเรียวทั้งสองพยายามแกะมือเหนียวๆของอีกฝ่ายเท่าไรก็แกะไม่ออก
“ผมไม่ชอบคนดื้อครับ...คุณเป็นคนยอมมากับผมเอง...ผมให้ทำอะไรคุณก็ต้องยอม...เพราะถ้าขัดขืน...ผมก็จะไม่พอใจพาลจะไม่อยากช่วยอะไรใครก็ได้”
คนตัวโตเอ่ยกระซิบข้างพวงแก้มนวลเบาๆทำหญิงสาวหยุดชะงักการต่อต้านทั้งหมดต้นข้าวได้แต่กำมือตัวเองแน่นนับเลขในใจบอกตัวเองให้อดทนเพราะตอนนี้อนาคตพิพัฒน์ธาราอยู่ในกำมือของอัสนี
“นี่เราตกต่ำถึงกับต้องใช้ลูกเป็นเครื่องมือเพื่อที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดเลยเหรอคะ”
ทางด้านเปรมนภาหลังจากที่ลูกสาวคนเดียวออกไปกับอัสนีได้เธอก็มีแต่ความกังวลใจจนต้องเข้ามาคุยกับเทวัญในห้องทำงาน
“นั่นคืออีกเรื่องที่เป็นผลพลอยได้...แต่ที่จริงแล้วที่ผมอยากให้ยัยข้าวได้คนอย่างอัสนีเข้ามาดูแลชีวิตจะได้ไม่ลำบาก”
“มั่นใจใช่หรือเปล่าคะว่าคุณทำเพื่อลูกจริงๆ”
เปรมนภาผู้หญิงที่ไม่เคยได้ขัดใจความคิดเห็นของสามีแต่วันนี้เห็นทีเธอจะต้องพูดขึ้นมาบ้าง
“คุณอย่ามาหาเรื่องผมตอนนี้เลยคุณเปรม”
เทวัญจ้องหน้าภรรยาตนเขม็งด้วยไม่บ่อยนักที่เปรมนภาจะมีปากมีเสียงไม่พอใจ
“คุณเปรม!”
“อืม..”
สิ้นเสียงดุของคนเป็นสามีเปรมนภาก็โงนเงนเป็นลมเกือบล้มพับไปกับพื้นดีที่เทวัญรับเอาไว้ได้เปรมนภาเธอเครียดมาตั้งแต่เมื่อคืนจนนอนไม่หลับทำให้โรคที่เป็นอยู่มานานกำเริบขึ้นมาหนัก
16.00 น.
โรงพยาบาล
“คุณแม่เป็นโรคหัวใจตั้งแต่เมื่อไรทำไมไม่มีใครบอกข้าวคะ”
ต้นข้าวมาถึงโรงพยาบาลได้ก็โวยวายหนักเพราะเธอกลับบ้านได้ก็รับรู้จากแม่บ้านว่าแม่ของเธอกนั้นป่วยกะทันหันจนเข้าโรงพยาบาล
“แม่เราเค้าไม่ต้องการให้เรารู้...ไม่อยากให้ข้าวกังวล”
บุษยาดึงมือต้นข้าวให้มานั่งที่เก้าอี้เพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนเพราะตอนนี้ผู้คนที่ยืนประปรายและบุคลากรของโรงพยาบาลต่างมองมาที่ต้นข้าวเป็นตาเดียว
“คุณแม่”
มือเรียวยกปาดน้ำตาเม็ดเล็กที่ไหลอาบแก้มลวกๆ
“แล้วทำไมคุณแม่ต้องรอคิวผ่าตัดทำไมไม่พาคุณแม่ไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลเอกชนคะ”
“เงินที่บ้านเรามันไม่เหลือแล้ว”
เทวัญนั่งก้มหน้างุดเขาก็เครียดไม่แพ้ทุกคนในบ้าน
“เงินไม่เหลือก็ยังเหลือบ้านเหลือรถคุณพ่อก็ขายสิคะ”
“มันติดธนาคารไปหมดแล้วจะขายได้ยังไง”
เทวัญกุมขมับหนึบไม่ได้อยากจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแต่เมื่อเห็นลูกสาวเอาแต่อาละวาดเลยจำต้องบอกให้รับรู้
“อ.. อะไรนะคะ”
ต้นข้าวนั่งนิ่งงันปล่อยน้ำตาไหลทะลักหยดแล้วหยดเล่ารู้สึกหูอื้อตาลายไปหมดก่อนหน้าไม่เคยรับรู้เลยว่าบ้านของเธอวิกฤตหนักขนาดนี้
“เฮ้อ..บุษพายัยข้าวกลับบ้านไปก่อนเถอะที่นี่พี่จะดูแลคุณเปรมเอง”
“ค่ะพี่วัญ”
หลังจากต้นข้าวกลับบ้านมาได้เธอก็ไม่ยอมทานอะไรได้แต่เก็บตัวอยู่ในห้องร้องให้จนตาปูดตาบวมซบใบหน้ากับหมอนจนหมอนสีขาวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา
“พี่ตะวันขา...ช่วยให้ข้าวพ้นเรื่องทุกข์ใจเร็วๆด้วยนะคะถ้าตอนนี้พี่ตะวันยังอยู่ข้างๆข้าวคงจะดีกว่านี้เยอะเลย”
สาวเจ้าเอ่ยเสียงอ่อนปนสะอื้นคิดถึงพี่ชายที่แสนดีของเธอจับหัวใจคิดว่าหากครอบครัวของตะวันยังอยู่ชีวิตของเธอคงไม่ตกมาอยู่ในความลำบากเช่นนี้แน่นอน
