ตอนที่7 ข้อต่อรอง
จันทบุรี
ณ สวนสิรินธาราการณ์ สวนผลไม้ของบุญพิชิตที่มีอาณาเขตมากมายหลายร้อยไร่เป็นที่ดินที่สวยที่สุดของจังหวัดก็ว่าได้เพราะเนื้อที่ติดกับธรรมชาติแถมดินน้ำยังดีตลอด
หน้าสวนอาณาเขตประมาณสองไร่เป็นเนื้อที่ของบ้านของบุญพิชิตบ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้สักสไตล์โมเดิร์นหลังใหญ่สองชั้นตั้งอยู่เนินเขาเล็กๆที่มองเห็นวิวทิวทัศน์ได้รายล้อมทั่วทิศ
แม้นบุญพิชิตจะมีกิจการหลายแห่งและบริษัทใหญ่อยู่ที่กรุงเทพแต่เขาก็เลือกที่จะพักอยู่ที่นี่เพราะรักในสวนแห่งนี้มากส่วนบริษัทตอนนี้ก็มอบหมายให้อัสนีนั้นดูแลแทนส่วนตนก็จะหนักไปทางดูแลเรื่องเหมืองเพชรที่ภูเก็ตและเหมืองพลอยที่จันทบุรี
“หืม.. จะอยู่ที่ท้ายไร่สองอาทิตย์”
บุญพิชิตที่กำลังตรวจเอกสารรายรับรายจ่ายเขาก็ต้องขมวดคิ้วจ้องก้องเกียรติตาเขม็งเพราะพึ่งจะเคยได้ยินครั้งแรกว่าลูกชายตนนั้นอยากจะพักงานเป็นสองอาทิตย์ทั้งที่บริษัทก็ไม่ได้มีเรื่องน่าปวดหัวอะไร
“ครับคุณอัสบอกว่าอยากจะพักผ่อนที่นั่นสักสองอาทิตย์...แล้วก็ไม่ให้ใครไปรบกวนที่นั่นด้วยครับ”
ก้องเกียรติพยักหน้าเขารายงานตามคำที่อัสนีโทรมาแจ้งให้ทราบทุกคำและเขาก็ไม่รู้สาเหตุด้วยว่าทำไมอัสนีถึงได้อยากจะพักกะทันหัน
“อืม..ถ้าเค้าอยากทำอย่างนั้นก็ทำตามที่เค้าขอ..ให้คนไปทำความสะอาดที่นั่นให้เรียบร้อยก่อนที่อัสนีจะมาล่ะ”
“ครับคุณบุญ”
หลังจากก้องเกียรติออกไปได้บุญพิชิตก็นั่งสงสัยอยู่ในใจพอสมควรว่าทำไมอัสนีถึงอยากจะกลับมาพักที่ท้ายไร่และไม่ต้องการให้ใครไปรบกวนครั้นจะโทรไปถามตอนนี้ก็กลัวว่าจะกดดันลูกชายจนเกินไปเขาจึงคิดว่ารอให้พ้นช่วงเวลานี้ไปก่อนเสียดีกว่าด้วยหากว่าอัสนีเครียดอยู่แล้วถูกเขาจี้ถามคงไม่สบายใจที่จะตอบ
วันต่อมา
วันนี้อัสนีเข้ามาที่พิพัฒน์ธาราตั้งแต่ช่วงเช้าเพื่อมาเซ็นสัญญาการซื้อหุ้นใหญ่ของบริษัทการเซ็นสัญญาผ่านไปอย่างรวดเร็วและคนที่จะมารับหน้าที่ควบคุมดูแลและนั่งแท่นบริหารแทนอัสนีก็คือเจตพิพัฒน์ซึ่งเทวัญเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
“ผมได้ข่าวเรื่องคุณอาเปรมตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ”
หลังจากคุยเรื่องงานจบอัสนีก็หันมาคุยกับเทวัญเรื่องของเปรมนภาเพราะเขารู้ตั้งแต่ไปส่งต้นข้าวที่บ้านเมื่อวานเว่าแม่ของหญิงสาวเข้าโรงพยาบาลกะทันหันและที่ไม่ได้เข้าไปเยี่ยมตั้งแต่เมื่อวานเพราะต้องรีบกลับมาเช็กความเรียบร้อยของสัญญาการถือหุ้น
“ก็ยังต้องรอผ่าตัดตอนนี้อาการยังทรงๆไม่ได้ดีขึ้นแล้วก็ไม่ได้แย่ลง”
เทวัญหน้าเจื่อนลงเมื่ออัสนีพูดถึงภรรยาของตน
“ผมไม่อยากให้คุณอาเปรมต้องรอผ่าตัด... เรื่องนี้เดี๋ยวผมจะจัดการเองครับค่าใช้จ่ายทุกอย่างผมออกให้หมด”
“ขอบคุณมากคุณอัสขอบคุณจริงๆ”
เทวัญยิ้มอย่างโล่งใจได้อีกครั้งพรางคิดว่าตั้งแต่เขารู้จักกับอัสนีมาปัญหาต่างๆก็ถูกคลี่คลายไปในทันที
“คุณอาเปรมได้รับการรักษาเร็วเท่าไรทุกคนก็จะหายเครียดเร็วเท่านั้นโดยเฉพาะคุณข้าวผมไม่อยากให้เธอเครียดก่อนจะได้รับการรักษาดวงตา”
“ยัยข้าวยอมรับการรักษาแล้วเหรอครับ”
เทวัญว่าด้วยสีหน้าฉงนเพราะไม่รู้เรื่องที่ลูกตนจะยอมรักษามาก่อน
“ครับ.. เมื่อครั้งที่แล้วที่เราไปทานข้าวด้วยกันเธอยอมให้ผมหาหมอมารักษาให้”
“เห็นทีจะมีคุณอัสนี่แหละครับที่ทำให้ยัยข้าวว่านอนสอนง่าย”
“คุณอาหมดห่วงเรื่องอาเปรมกับคุณข้าวได้เลยครับผมจัดการเรื่องการรักษาให้เอง..พรุ่งนี้ผมจะมารับคุณข้าวไปเที่ยวสักพักใหญ่ๆคุณอาจะว่าอะไรหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ..พึ่งรู้จักกันได้ไม่เท่าไรไปเที่ยวด้วยกันนานๆมันจะดูไม่ค่อยดีนะครับ”
เทวัญเริ่มหน้าเจื่อนลงอีกครั้งแม้นเขาจะพอใจให้อัสนีคบหากับต้นข้าวแต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะยอมให้ต้นข้าวไปนอนค้างอ้างแรมกับผู้ชายสองต่อสองทั้งที่พึ่งจะรู้จักกันเพราะเขาก็มีลูกสาวเพียงคนเดียว
“กลับมาผมจะพาผู้ใหญ่มาสู่ขอคุณข้าวครับ..”
อัสนีเอ่ยคำสัญญาด้วยสีหน้าและสายตาที่จริงใจเขาเชื่อว่าอย่างไรเทวัญก็จะไม่ปฏิเสธข้อเสนอดีๆเช่นนี้แน่
“มั่นใจใช่หรือเปล่าครับว่าอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับยัยข้าวจริงๆ”
เทวัญอยากจะถามเพื่อความมั่นใจเพราะไม่รู้ว่าอัสนีจะเพียงแค่กำลังเห่อกับของใหม่อย่างลูกสาวเขาอยู่หรือเปล่า
“คนอย่างผมทำอะไรคิดไตร่ตรองมาดีแล้วเสมอครับ”
“ถ้าคุณอัสรับปากแบบนี้ผมก็สบายใจเรื่องการสู่ขอผมอยากให้คุณอัสเป็นคนบอกยัยข้าวด้วยตัวเองนะครับ”
“เรื่องนั้นผมตั้งใจจะบอกเธออยู่แล้วครับ”
หลังจากจบบทสนทนาได้อัสนีก็กลับบ้านด้วยท่าทีอารมณ์ดีใช่อย่างที่เขาพูดเขาทำอะไรทุกอย่างล้วนเกิดจากการไตร่ตรองมาดีแล้วและการที่จะได้แต่งงานกับต้นข้าวก็เป็นเรื่องที่เขาคิดเอาไว้มานานแล้วเหมือนกันก่อนที่จะเข้ามาทำความรู้จักกับครอบครัวของเทวัญในฐานะของอัสนีผู้บริหารSRKอีก
21.00 น.
“น้าเก็บเสื้อผ้าให้เราเสร็จแล้วนะข้าวน้าวางของในกระเป๋าแบบเดิมอย่างที่เคยจัดให้ทุกครั้งจำได้ใช่หรือเปล่า”
บุษยาเตรียมเก็บกระเป๋าให้หลานสาวกว่าจะเสร็จก็ปาไปสามทุ่มเพราะต้องเก็บของให้พอกับการไปใช้ชีวิตอยู่ที่อื่นสองอาทิตย์
“ค่ะข้าวจำได้”
ร่างบางในชุดนอนสีขาวปล่อยผมตรงสยายพยักหน้าเบาๆ
“คุณอัสนีนี่ยังไงรู้จักกันได้ไม่เท่าไรเอะอะจะพาเราออกข้างนอกอย่างเดียว”
บุษยาบนอุกแม้นจะรู้ว่าอัสนีช่วยเหลือครอบครัวหลายอย่างแต่ก็ต้องแลกกับการมายุ่งเกี่ยวกับหลานสาวเธออยู่ดีหนำซ้ำดูท่าอัสนียังไม่ค่อยจะให้เกียรติต้นข้าวเท่าไรเพราะเจอกันไม่กี่ครั้งก็มาขอพาต้นข้าวไปนอนค้างอ้างแรมที่อื่นเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์
“ข้าวรับมือกับเค้าได้ค่ะน้าบุษไม่ต้องห่วง”
“ดูแลตัวเองดีๆนะข้าว”
“ค่ะ”
ต้นข้าวพยายามทำตัวให้ปกติไม่มีความตื่นกลัวเรื่องอะไรแต่ลึกๆแล้วเธอก็หวั่นใจกับการที่จะต้องไปกับผู้ชายที่ไม่คุ้นเคยสองต่อสองนานเป็นสองอาทิตย์เหมือนกัน
เช้าของวันต่อมาอัสนีขับรถมารับต้นข้าวที่บ้านตั้งแต่เช้าตรู่เขายังไม่ได้บอกให้ทุกคนทราบว่าจะพาหญิงสาวไปที่ไหนเพียงแค่บอกว่าจะพาไปพักผ่อน
“ขอบคุณนะคะที่คุณช่วยเหลือคุณแม่ของฉัน”
สาวเจ้าที่วันนี้แต่งตัวด้วยเดรสสีฟ้าใส่เสื้อคลุมสีขาวปล่อยผมยาวสลวยโดยรวมน่ารักดุจดั่งตุ๊กตาเธอนั่งเงียบมานานก่อนจะตัดสินใจทำลายความเงียบโดยการขอบคุณคนที่กำลังขับรถเพราะเขายื่นมือเข้ามาช่วยจ่ายค่ารักษาให้แม่ของเธอ
“อยู่ที่ว่าคุณจะทำตัวดีกับผมแค่ไหน”
คนตัวโตหันมาเอ่ยเสียงห้วนกับหญิงสาวครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองหนทางด้านหน้า
“หมายความว่ายังไงคะ”
ใบหน้าหวานที่เรียบเฉยคราแรกตอนนี้เริ่มบึ้งตึงกับคำพูดคำจาที่ดูจะมีข้อต่อรองกับเธออีกครั้ง
“ก็หมายความว่าถ้าคุณดื้อกับผมแม้แต่นิดเดียวการรักษาแม่คุณก็จะล่าช้าออกไปอีก”
“คุณมีข้อต่อรองกับฉันเสมอเลยนะคะ”
ต้นข้าวสบถเสียงแข็งก่อนจะนั่งเงียบไปตลอดทางรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่เลือกจะเอ่ยขอบคุณเขาเมื่อครู่อยากจะรู้นักว่าพ่อของเขาจะรู้หรือเปล่าว่าอัสนีมีความร้ายกาจในตัวมากขนาดไหน อัสนีเห็นสาวเจ้าหน้าบูดหน้าบึ้งได้เขาก็ยิ้มออกอีกตามเคยก่อนจะปล่อยให้บรรยากาศในรถมีแต่ความเงียบต่อไป
