ตอนที่5 ข่าวร้าย
“อ่อ...ตรงไปตรงมาดีนะครับ”
เทวัญเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาได้นับว่าการที่พาลูกสาวของตัวเองไปออกงานครั้งที่แล้วก็มีผลดีอยู่มากเหมือนกัน
“ผมอ้อมค้อมไม่ค่อยเป็นเท่าไรครับคุณอา...ผมถูกชะตากับเธอตั้งแต่วันนั้นแล้วครับ...ถ้าคุณอาเปิดโอกาสให้ผมได้เข้ามาดูแลเธอผมจะทำให้เธอยอมรักษาให้ได้ครับแล้วเรื่องปัญหาของบริษัทผมจะจัดการเคลียปัญหาให้จบเรียบร้อยทุกอย่างเลยครับ”
“เอ่อ...อาก็ไม่คิดจะหวงจะห้ามปิดโอกาสให้คุณอัสเข้าหาลูกสาวอานะครับยังไงเรื่องนี้เดี๋ยวอาจะคุยกับยัยข้าวให้แล้วจะรีบบอกข่าว...ส่วนเรื่องการถือหุ้นอาดีใจนะครับที่ได้คุณอัสยื่นมือเข้ามาช่วย”
“ผมยินดีช่วยครับขอบคุณนะครับที่ให้โอกาสผม”
“เย็นนี้อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนนะครับจะได้อยู่คุยกับยัยข้าวด้วย”
“ผมก็อยากจะอยู่นะครับแต่วันนี้ผมต้องกลับไปที่จันทบุรีที่เหมืองมีปัญหานิดหน่อยครับ”
“อ่อ..อย่างนั้นก็ไว้โอกาสหน้านะครับ”
“แน่นอนครับ”
หลังจากอัสนีกลับไปได้เทวัญก็เหมือนยกภูเขาออกไปจากอกเพราะไหนจะได้คนที่มีทุนหนามาช่วยเหลือบริษัทแถมคนๆนี้ก็ยังเสนอตัวอยากจะเป็นคนในครอบครัวของเขาอีกหากวันหน้าอัสนีลงเอยกับต้นข้าวได้เขาก็ไม่มีอะไรต้องห่วง
“ทำไมต้องบังคับข้าวด้วยคะ...ข้าวจำไม่ยอมสานสัมพันธ์กับคุณอัสอะไรนั่นแน่นอน”
ต้นข้าวโวยวายหนักเมื่อรับรู้ว่าอัสนีนั้นทาบทามกับคนเป็นพ่อว่าอยากจะสานสัมพันธ์กับเธอและพ่อเธอก็ไม่พ้นบังคับให้เธอนั้นคบหากับอัสนี
“บุษว่าเรื่องรักๆใคร่ๆมันไม่ควรจะบังคับกันนะคะ”
บุษยาที่ยืนหน้าเสียข้างกับเปรมนภาเธอรู้สึกเห็นใจต้นข้าวที่ต้องมาถูกบังคับเรื่องหัวใจหากเป็นเรื่องอื่นเธอจะไม่แทรกแซงแต่เรื่องนี้เห็นจะปล่อยไม่ได้
“ทุกคนรับรู้เอาไว้ด้วยว่าพิพัฒน์ธารากำลังจะล้มละลาย...”
เทวัญยืนหลับตาครู่หนึ่งปล่อยให้ทุกอย่างอยู่ในความเงียบก่อนจะเอ่ยเสียงแข็งออกมาด้วยท่าทีแห่งความเหนื่อยใจเขาพยายามปิดเรื่องนี้กับที่บ้านมาตลอดเพราะไม่อยากให้ทุกคนนั้นเครียดแต่เมื่อทุกอย่างมันกำลังจะพังลงเขาจึงต้องบอกให้ทุกคนได้รับรู้และจะได้เข้าใจว่าเขาทำไมถึงต้องมาบังคับต้นข้าวให้สานสัมพันธ์กับอัสนี
“อ..อะไรนะคะ”
ต้นข้าวอ้าปากค้างหลังสิ้นประโยคของคนเป็นพ่อ
“อัสนีเสนอช่วยถือหุ้นใหญ่พยุงบริษัทให้แลกกับการที่ได้คบหากับต้นข้าวถ้าอยากจะให้บริษัทล่มจมก็เชิญ”
เปรมนภาและบุษยามองหน้ากันด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักก่อนที่บุษยาจะมองไปยังหลานสาวที่นั่งนิ่งสีหน้าบ่งบอกถึงอาการใจเสียจนเห็นได้ชัด
“ก็ได้ค่ะ..ข้าวยอมก็ได้”
ต้นข้าวเอ่ยเสียงสั่นเครือเธอจำยอมทำตามคำสั่งของคนเป็นพ่อแต่โดยดีเพื่อรักษาพิพัฒน์ธาราเอาไว้
“ขอบใจที่ยังเห็นแก่ความอยู่รอดของครอบครัว”
เทวัญเอ่ยว่าจบก็เดินกลับเข้าไปยังห้องทำงานมีเพียงเปรมนภากับบุษยาที่เข้ามาสวมกอดต้นข้าวที่ยอมเสียสละตัวเองเพื่อครอบครัว
“ขอบคุณนะลูกที่ทำเพื่อทุกคน”
เปรมนภาจูบกระหม่อมลูกสาวด้วยความขอบคุณ
“ข้าวทำเพื่อพี่ตะวันค่ะ..พิพัฒน์ธาราคือที่ที่พี่ตะวันรักที่สุดข้าวจะไม่ยอมให้มันพังลงเด็ดขาด”
สาวเจ้าว่าเสียงสั่นเครือขณะที่น้ำตาเม็ดใสกำลังไหลหยดลงมาอาบแก้มที่เธอยอมตกลง่ายๆเพราะไม่ได้สนใจความกินดีอยู่ดีแต่เพียงต้องการปกป้องสิ่งที่คนที่เธอรักเอาไว้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
สิ้นเสียงของต้นข้าวสองพี่น้องอย่างเปรมนภาและบุษยาต่างมองตากันด้วยแววตาแห่งความหดหู่ก่อนจะเปรยสายตามองยังต้นข้าวที่นั่งปาดน้ำตาลวกๆ
วันเวลาพ้นผ่านไปเป็นอาทิตย์กว่าอัสนีจะหาเวลาว่างมารับต้นข้าวไปทานข้าวกันในเดทแรกทุกคนในบ้านต่างมีสีหน้าที่เป็นกังวลจนอัสนีดูออกยกเว้นเทวัญยิ้มหน้าระรื่นไม่ยอมหุบตั้งแต่ที่อัสนีมาจนถึงเวลาที่เขากำลังจะพาลูกสาวตัวเองออกไปข้างนอก
“ผมจะดูแลคุณข้าวเป็นอย่างดีทุกคนไม่ต้องห่วงนะครับ”
เมื่อร่างบางในชุดเดรสแขนยาวกระโปรงสั้นเหนือเข่าสีขาวขึ้นรถคันหรูได้อัสนีก็หันมาพูดให้ความมั่นใจกับทุกคนที่ยืนส่งต้นข้าวอยู่หน้าบ้านให้หายห่วงก่อนจะเดินไปขึ้นรถฝั่งคนขับพาอหญิงสาวออกไปข้างนอกสองต่อสอง
ในระหว่างทางที่อัสนีขับรถพากหญิงสาวไปยังที่หมายในรถไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นแม้แต่น้อยเพราะตัวต้นข้าวเองไม่ได้เต็มใจที่จะมากับอัสนีในครั้งนี้แต่ด้วยความจำเป็นทางสถานะทางบ้านทำให้เธอต้องกล้ำกลืนฝืนทนที่จะทำเพื่อครอบครัว
ทางด้านอัสนีเองเขาก็ไม่ได้คิดที่จะสนทนาอะไรกับหญิงสาวได้แต่นั่งขับรถไปอมยิ้มอ่อนไปอย่างคนที่มีลับลมคมในไม่นานนักรถคันหรูก็ขับเข้ามาในหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อของความเป็นส่วนตัวที่สุดในย่านใจกลางเมืองที่รายล้อมไปด้วยคนมีเงินอยู่กันเพราะบ้านแต่ละหลังราคาไม่ต่ำกว่า100ล้าน
อัสนีคอนโทรลประตูรั้วบ้านด้วยมือถือไม่นานักประตูรั้วสีเทาสูงก็เปิดออกเผยให้เห็นบ้าน2ชั้นหลังใหญ่แบบโมเดิร์นสีเทาขาวก็โดดเด่นตระหง่านอยู่ตรงหน้าในเนื้อที่กว่าสองไร่
บ้านของอัสนีมีสระว่ายน้ำอยู่ที่หน้าบ้านติดกับโรงจอดรถรอบรั้วบ้านมีสวนหย่อมรายล้อมค่อนข้างดูร่มรื่นสบายตากับเจ้าของบ้านและคนที่เข้ามาเป็นแขกพอสมควรเห็นจะเป็นต้นข้าวที่เป็นแขกคนแรกที่ไม่ได้สัมผัสภาพตรงหน้านี้อัสนีคิดในใจว่าคงไม่นานเขาจะทำให้ต้นข้าวมองเห็นทุกอย่างที่เขาอยากจะให้เห็นไห้ได้
“ถึงแล้วครับ”
อัสนีจอดรถได้เขาก็รับเดินลงจากรถอ้อมมาเปิดประตูปลดเข็มขัดนิรภัยให้กับต้นข้าว
“คุณจะพาฉันมาที่ไหนคะ”
ร่างบางลงจากรถได้เธอก็พยายามเงี่ยหูฟังหาเสียงของผู้คนที่จอแจตามที่เคยได้ยินในสถานที่ที่เป็นร้านอาหารแต่กลับพบเพียงความเงียบกับเสียงของลมจึงคิดว่าที่ที่ชายหนุ่มพาเธอมาไม่ใช่ร้านอาหารแน่นอนแม้นหากร้านอาหารที่เป็นส่วนตัวก็น่าจะมีเสียงของพนักงานมาต้อนรับบ้าง
“บ้านของผม”
“ไหนคุณพ่อบอกว่าคุณจะพาฉันไปทานข้าว”
ต้นข้าวเริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยที่จะไว้ใจอัสนีเท่าไรเพราะเขาไม่ได้ทำตามที่บอกกล่าวกับพ่อของเธอเอาไว้
