ตอนที่4 ดุ
เช้าวันใหม่ของบ้านเอกอิสรีย์ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนักเพราะเทวัญเรียกต้นข้าวมาอบรมณ์มารยาทแต่เช้าเปรมนภาและบุษยาต่างก็เอาแต่หลบไปอยู่ที่อื่นเมื่อสองพ่อลูกได้พูดคุยกัน เพราะไม่อยากจะอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเท่าไรด้วยรู้ว่าไม่ว่าเทวัญจะพูดอะไรมาต้นข้าวก็จะเถียงทุกคำจนทำให้การพูดคุยเถียงกันไปมาจบสิ้นได้ยาก
“ทำอะไรไม่เคยคิดจะไว้หน้าพ่อบ้าง...มีแกเป็นลูกเหมือนมีภูเขาลูกใหญ่มาตั้งไว้บนหัว”
“ถ้าคุณพ่อไม่คิดจะพาข้าวไปให้ใครดูตัวก็ไม่ต้องมานั่งบ่นข้าวแบบนี้หรอกค่ะ”
ต้นข้าววาดมือเรียวกอดอกตีสีหน้าเรียบเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาวนั่นยิ่งทำให้เทวัญโมโหหนักเข้าไปอีก
“ยัยข้าว”
“จะบ่นอีกนานหรือเปล่าคะข้าวจะได้หาอะไรมานั่งทานไปพรางๆ”
“เคยฟังอะไรพ่อบ้างไหมฮะ”
เทวัญตวาดลั่นมือไม้สั่นก่อนจะเดินดุ่มออกไปสงบสติอารมณ์ข้างนอกต้นข้าวเองก็นั่งบุ้ยปากน้ำตาคลอที่ถูกดุเสียงดังขนาดนี้แต่ก็ยังทำทีทรนงเพราะเรื่องเมื่อคืนพ่อของเธอเป็นคนผิดที่เลือกจะบังคับให้เธอไปที่งานเอง
“ยัยข้าวนะยัยข้าวให้มันถูกดุอย่างนี้เรื่อยไปสิน่า”
เปรมนภานั่งทำหน้าห่อเหี่ยวใจกับคนเป็นน้องสาวที่สวนหย่อมข้างบ้านยิ่งได้ยินเสียงสองพ่อลูกเถียงกันดังเท่าไรเธอก็ยิ่งไม่สบายใจมากเท่านั้น
“บุษก็ไม่รู้จะบอกหลานยังไงแล้วค่ะพี่เปรม..ว่าแต่เมื่อคืนพี่วัญตั้งใจให้ยัยข้าวไปเจอผู้ชายคนนั้นใช่หรือเปล่าคะ”
บุษยาไม่เกรงใจที่จะเอ่ยถามเรื่องเมื่อคืนอย่างตรงไปตรงมา
“..เห็นคุณพี่บอกว่าคุณอัสอยากจะเจอยัยข้าวเพราะคุณพี่ไปคุยเรื่องยัยข้าวกับคุณอัสหลายครั้งแล้ว”
“ไปเจอเฉยๆหรืออยากจะกระชับความสัมพันธ์ด้วยคะ”
“อันที่จริงเธอก็น่าจะดูออกนะบุษ..”
“เลยจะจับคู่ให้ยัยข้าวได้คบกับพ่อหนุ่มเศรษฐีหมื่นล้านนั่น”
บุษยาว่าจบก็ส่ายหัวเธอไม่ได้ว่าความคิดของเทวัญเป็นความคิดที่ผิดแต่ผิดที่ใช้วิธีนี้กับต้นข้าวเพราะเธอเชื่อได้เลยว่าคนหัวแข็งอย่างหลานสาวเธอไม่มีทางทำความรู้จักกับคนที่พ่อของตัวเองตั้งใจที่จะเลือกให้แน่นอน
“นี่เป็นข้อมูลสถานภาพการเงินของพิพัฒน์ธาราครับคุณอัส”
เจตพิพัฒน์เลขาหัวกะทิคนสนิทของอัสนียื่นซองเอกสารที่ค่อนข้างหนาตรงหน้าโต๊ะทำงานของเจ้านายหลังจากได้หลักฐานเด็ดมาจากคนที่ให้ไปแฝงตัวในพิพัฒน์ธารา
รองประธานหนุ่มเลื่อนถอยเก้าอี้จากโต๊ะทำงานเล็กน้อยวาดขายาวไขว่ห้างก่อนจะหยิบเอกสารในซองขึ้นมาเปิดดูอย่างสบายอารมณ์
“ติดลบขนาดนี้เชียวเหรอ”
ริมฝีปากหนายกยิ้มมุมปากทั้งมองเอกสารในมือด้วยสายตาแห่งความพึงพอใจยิ่งธุรกิจของเทวัญติดลบมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นผลดีต่อเขามากเท่านั้น
“อย่าให้คุณพ่อรู้เรื่องเด็ดขาดว่าผมกำลังทำอะไร”
เมื่อมองข้อมูลในมือจนพอใจแล้วอีสนีก็หันมากำชับกับเจตพิพัฒน์อีกครั้งว่าต้องรอบคอบเพราะหากพ่อของเขารู้ว่าเขากำลังทำอะไรนอกเหนือจากงานของบริษัทตัวเองจะถูกจับตามองเป็นพิเศษและเรื่องที่เขาต้องการสะสางจะไม่เป็นไปตามที่วาดเอาไว้
“ครับคุณอัส”
เจตพิพัฒน์พยักหน้ารับเขารอบคอบที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อช่วยเหลืออัสนีเพราะรู้ว่าหากบุญทวีรู้เรื่องที่อัสนีกำลังจะทำคงห้ามปรามและไม่ยอมให้สิ่งที่อัสนีหวังได้เสร็จสมดั่งใจแน่เพราะบุญทวีเป็นคนที่มีคุณธรรมในตัวสูง
“การเงินของบริษัทเราย่ำแย่มากถ้าปัญหายังไม่มีทางแก้เป็นแบบนี้เราจบแน่ครับ”
ธวัชชัยเลขาและที่ปรึกษาส่วนตัวของเทวัญเขาต้องรีบกระตุ้นให้เจ้านายทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะทำให้บริษัทไม่ล่มจม
“เฮ่อ..”
เทวัญนั่งกุมขมับหนึบแม้นจะรู้จักนักธุรกิจที่มีเงินเหลือเฟือแต่เขาก็กลัวว่าจะถูกเอาเปรียบเมื่อไปขอความช่วยเหลือในตอนที่จนตรอกเช่นนี้
ช่วงเย็นในย่านชุมชนเก่าริมคลองในย่านชานเมืองกรุงเทพตอนนี้มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาค่อนข้างแออัดเพราะเป็นช่วงเวลาเลิกงานและช่วงเวลาที่เหล่าผู้คนต่างก็เดินมาจับจ่ายซื้อของตลาดริมน้ำเพื่อไปเป็นอาหารมื้อเย็นบ้างก็นั่งตามร้านอาหารตามสั่งทานจนเสร็จแล้วกลับไปพักผ่อนเลยก็มี
ภาพเหล่านี้เข้ามาในสายตาของอัสนีที่กำลังเดินกินลมชมวิวอยู่ที่สะพานข้ามคลองสายเล็กในชุมชนเขามาที่นี่เป็นประจำเมื่อมีโอกาสเพราะต้องการมามอบโอกาสให้กับเด็กๆในชุมชนที่นี่และเขาก็เป็นที่รู้จักของเหล่าผู้คนที่นี่ดีเพราะมาบริจาคเงินและอุปกรณ์การเรียนให้โรงเรียนแถวนี้บ่อยๆสิ่งที่เขาทำทั้งหมดก็เพื่อยกกุศลผลบุญที่ได้ทำให้กับคนสำคัญในชีวิตของเขาที่จากไปแล้ว
ชายหนุ่มอยู่ที่ชุมชนแห่งนี้พักใหญ่ก่อนจะอุดหนุนผลหมากรากไม้ในชุมชนชุดใหญ่ติดไม้ติดมือกลับไปด้วยและผลไม้ที่เขาซื้อกลับก็ไม่ได้จะเอาไปทานเองแต่ซื้อไปเพื่อที่จะเอาไปฝากเทวัญต่างหากเพราะวันนี้มีธุระสำคัญที่จะต้องเข้าไปคุยกับเทวัญที่บ้าน
อัสนีขับรถสีดำคันหรูเข้ามาจอดที่หน้าบ้านหลังใหญ่ของเทวัญได้คนที่เข้ามาต้อนรับอัสนีคนแรกก็คือเทวัญตามด้วยแม่บ้านเข้ามาช่วยถือกระเช้าผลไม้ไปเก็บหลังจากนั้นเทวัญก็ให้อัสนีเข้าไปคุยในห้องรับแขกเป็นการส่วนตัวเพราะเทวัญรู้ว่าวันนี้อัสนีต้องการจะมาคุยธุระเรื่องธุรกิจ
“ขอโทษด้วยนะครับที่มารบกวนคุณอากะทันหัน”
“ไม่เป็นไรเลยที่นี่ยินดีต้อนรับคุณอัสเสมอ”
เทวัญพยายามสลัดความเครียดกับปัญหาที่บริษัทออกไปทั้งหมดเขาปั้นหน้ายิ้มระรื่นตลอดเวลาที่พูดคุยกับอัสนี
“คือ..ผมไม่อ้อมค้อมนะครับผมได้ข่าวมาว่าบริษัทของคุณอากำลังวิกฤต..ถ้าคุณอายอมให้ผมถือหุ้นใหญ่ในบริษัทผมคิดว่าพิพัฒน์ธาราน่าจะไปต่อได้นะครับ”
“คือ..เรื่องนี้”
เทวัญมองหน้าอัสนีด้วยความลำบากใจเขารู้ว่าเรื่องวิกฤตของบริษัทเขาตอนนี้จะปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิดกับคนในแวดวงธุรกิจและเขาก็ได้รับการติดต่อจากคนที่ทุนหนามาขอถือหุ้นใหญ่บ้างแต่เขาก็ยังไม่ตกปากรับคำเพราะกลัวว่าตัวเองนั้นจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงใหญ่ที่สุดในการตัดสินใจเรื่องการบริหารในบริษัท
“ผมไม่ได้หวังอะไรในบริษัทเลยครับ...ที่ทำแบบนี้ก็เพราะหวังที่จะได้ดูแลคุณต้นข้าวมากกว่า”
อัสนีมองออกว่าตอนนี้เทวัญกำลังกลัวอะไรเขาจึงรีบเอ่ยให้อีกฝ่ายสบายใจว่าที่เขาทำเช่นนี้จุดประสงค์หลักคือเรื่องอะไร
