ตอนที่3 เด็กดื้อ
“แต่คนขับรถเรากลับไปแล้วนะข้าวเข้าไปข้างในกันเถอะ..”
บุษยารู้สึกเกรงใจอัสนีจึงรีบดันแผ่นหลังบางของหลานสาวให้พยายามเดินเข้าไปในงาน
“ไม่ค่ะ...”
คนตัวเล็กสะบัดมือออกจากคนเป็นแม่ทั้งยังหมุนตัวหนีน้าสาวยืนบุ้ยปากตีสีหน้าไม่พอใจจนอัสนีที่มองหญิงสาวไม่วางตาตั้งแต่แรกเริ่มฝืนคลี่ยิ้มออกมา
“ถ้าคุณข้าวอยากจะกลับผมขอไปส่งเองนะครับ”
เขาไม่อยากให้สถานการณ์ตอนนี้อึดอัดเกินไปจึงอาสาที่จะไปส่งต้นข้าวเอง
“ไม่ข้าวจะนั่งแท็กซี่กลับกับน้าบุษไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าค่ะ”
คำพูดคำจาและทีท่าของหญิงสาวที่ดูไม่เกรงใจใครทำเอาทั้งพ่อและแม่ของเธอรวมถึงบุษยาเริ่มหน้าชาไปตามๆกันแต่อัสนียังคงมองเธออย่างไม่ถือสาเพราะรู้ว่าคนที่ดื้อจนไม่ยอมรักษาดวงตาตัวเองได้ก็จะทำตัวดื้อได้กับทุกเรื่อง
“อืม..ตามใจคุณข้าวครับเดี๋ยวผมจะให้เด็กเรียกแท็กซี่ให้นะครับ”
“ดีค่ะ..ขอบคุณนะคะ...น้าบุษคะพาข้าวกลับค่ะ”
ว่าจบก็ยกมือให้คนเป็นน้าจับ บุษยาเองจึงรีบดึงตัวหลานสาวออกไปจากสถานการณ์ตรงนี้ทันที
“ขอโทษที่ยัยข้าวเสียมารยาทแบบนั้นด้วยนะครับ”
เทวัญรีบขอโทษอัสนีแก้หน้าทันทีงานนี้กลับไปเขามีเรื่องได้คุยกับต้นข้าวยาวแน่
“ผมเข้าใจเธอครับคงจะไม่อยากจะอยู่เพราะอึดอัดไม่เห็นอะไร”
อัสนีไม่ได้มีทีท่าไม่พอใจต้นข้าวให้เทวัญและเปรมนภาเห็นแม้แต่น้อยเพราะเขาไม่ได้ถือสาต้นข้าวเลยสักนิด
“ขอบคุณคุณอัสที่ไม่ถือสานะครับก็เพราะบังคับกันยากแบบนี้ถึงได้บังคับให้รักษาดวงตาไม่ได้เสียที”
เทวัญว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ
“หวังว่าโอกาสหน้าผมคงมีโอกาสได้เจอเธออีกนะครับ...ผมพอจะมีหมอที่หว่านล้อมคนไข้เก่งๆแนะนำเชื่อว่าคุณข้าวต้องยอมผ่าตัดแน่ครับถ้าได้คุยกับหมอคนนี้”
“จริงเหรอครับอย่างนั้นต้องนัดทานข้าวกันส่วนตัวแล้วล่ะ”
“คุณอาโทรหาผมได้ตลอดผมยินดีที่จะช่วยเหลือคุณข้าวให้หายครับ”
“ขอบคุณนะครับ”
เมื่อคุยกันเรียบร้อยแล้วทั้งสามก็เข้าไปนั่งประจำที่ในงานเทวัญดูจะหน้าระรื่นเป็นพิเศษเพราะดูออกว่าอัสนีนั้นมีความสนใจในตัวของลูกสาวเขาไม่น้อยไม่อย่างนั้นคงถือสากิริยาไม่น่ารักของต้นข้าวไปแล้วแถมยังเสนอหาหมอเก่งๆมารักษาลูกสาวของเขาอีก
หากต้นข้าวได้คบหากับอัสนีได้จริงคนเป็นพ่ออย่างเขาก็คงจะปลื้มใจเอามากเพราะไหนจะได้คนมีฐานะชาติตระกูลมาดูแลลูกสาวแถมยังจะได้ความมั่นคงทางธุรกิจด้วย
“ทำไมต้องทำกิริยาแบบนั้นข้าว..น้าบอกแล้วไงว่าให้ทนไม่กี่ชั่วโมงก็ได้กลับบ้านแล้วดูซิเดี๋ยวพ่อเรากลับมาก็เอ็ดเราบ้านแทบแตกอีก...”
เพี๊ยะ
“ชอบเหลือเกินนะที่จะให้พ่อเราดุเนี่ย”
บุษยาพาหลานสาวกลับมาบ้านได้ก็บ่นอุกทั้งยกมือเรียวตีหน้าแขนต้นข้าวเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยวที่หลานคนเดียวของเธอนี้ดื้อได้ดื้อดีเหลือเกิน
“หึ่ม..ก็ข้าวรู้นี่คะว่าคุณพ่อต้องการให้ข้าวไปที่งานนั้นเพื่อจะให้ผู้ชายดูตัว..ข้าวเป็นแบบนี้ข้าวก็มีศักดิ์ศรีนะคะ”
ริมฝีปากบางบุ้ยจนคว่ำจนทั้งคิ้วเรียวก็ขมวดไม่สบอารมณ์
“ถึงเค้าจะมาดูตัวเรา..แต่เราไม่เล่นด้วยก็ไม่ได้เสียศักดิ์ศรีอะไรนี่ข้าว”
“ไม่คุยกับน้าบุษแล้วค่ะ..ข้าวจะนอนแล้ว”
ร่างบางเดินมาถึงห้องนอนได้ก็ทิ้งตัวลงเตียงสีชมพูนุ่มหลับตาด้วยความเหนื่อยหน่ายหัวใจ
“ยัยเด็กดื้อเอ้ย..แล้วจะไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเหรอข้าว”
“ไม่ค่ะ”
สาวเจ้าว่าพร้อมดึงผ้านวมผืนหนามาคลุมโปง
บุษยาเท้าเอวส่ายหัวก่อนจะปิดไฟแล้วเดินออกจากห้องของหลานสาวไปตั้งแต่ที่เธอเห็นหลานตั้งแต่เด็กคนเดียวที่หลานเธอจะเชื่อฟังก็เห็นจะมีแต่ตะวันลูกชายของเอกอนันต์เจ้านายเก่าของเทวัญเท่านั้น
01.00 น.
หลังจากกลับมาจากงานการกุศลอัสนียังคงนั่งดื่มอยู่ริมสระน้ำหน้าบ้านหลังใหญ่ของเขามือหนาถือขวดไวน์ราคาแพงเอาไว้ไม่วาง
ในหัวนึกถึงแต่ใบหน้าของต้นข้าวหญิงสาวร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มในชุดสีชมพูแววตาของเขาตอนนี้เฉยชาเย็นยะเยือกจนใครเห็นก็อาจจะรู้สึกหนาวขึ้นมาได้
“คนอย่างคุณมันต้องเจอคนอย่างผม”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นทั้งยกยิ้มมุมปากตอนนี้เขามีความสนุกอะไรบางอย่างที่อยากจะเล่นแย่แล้ว
อัสนี สิรินธาราการณ์ ชายหนุ่มวัย 34ย่าง35 เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามทายาทหมื่นล้านสื่อทุกสื่อและคนในแวดวงธุรกิจต่างก็พึ่งจะได้รู้จักหน้าค่าตาของอัสนีเมื่อปีก่อนว่าเป็นลูกชายคนโตของบุญพิชิตแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะต่างก็รู้กันว่าอัสนีนั้นใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เข้าวัยมัธยม
เขาเป็นหนุ่มรูปหล่อร่างกายกำยำสูง189ผิวขาวสะอาดสะอ้านใบหน้าคมคายตัดผมรองทรงสูงคิ้วเข้มจมูกโด่งเป็นสันดวงตาคมสองชั้นนัยน์ตาดุดันดั่งเจ้าป่าริมฝีปากหนาอมชมพูระเรื่อ เขาเป็นคนที่ค่อนข้างสุขุม ดูดีสง่าสมกับเป็นรองประธานบริษัท srk แถมช่วงนี้ยังเนื้อหอมเพราะสื่อหลายสำนักก็ชอบทำข่าวของเขาผู้หญิงมากหน้าหลายตาไม่ว่าจะเป็นเซเลปดาราก็หวังที่จะสานสัมพันธ์กับเขาทั้งนั้นแต่ไม่ยักจะเห็นว่าอัสนีนั้นจะสนใจใครเป็นพิเศษ
