11 The Miracle of Meeting You
ธาวินจูงมือเรียวบางเดินเคียงข้างไปตามชายหาด ในที่สุดก็มาถึงบาร์เล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมหาด แสงไฟสีส้มนวลจากตะเกียงที่แขวนอยู่ให้บรรยากาศที่อบอุ่นและโรแมนติก เสียงเพลงคลอเบาๆ จากกีตาร์ที่นักดนตรีกำลังบรรเลงสดๆ อยู่ ราวกับเป็นเพลงประกอบค่ำคืนที่สุดแสนพิเศษนี้
ธาวินพาเธอมานั่งที่โต๊ะเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ค่อนข้างห่างจากโต๊ะอื่นๆ ราวกับสร้างอาณาเขตส่วนท่ามกลางแสงจันทร์ ทรายนุ่มละเอียดใต้เท้าให้ความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ราวกับพื้นพรมธรรมชาติที่โอบอุ้มฝ่าเท้า
“คุณพิมพ์จะดื่มอะไรดีครับ?” ธาวินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มพลางมองเมนูเครื่องดื่มสีสันสดใสที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆ พิมพ์มาดามองรายการเครื่องดื่มด้วยความไม่คุ้นเคย ชื่อแปลกตาหลายอย่างทำให้เธอลังเล
“เอ่อ...พิมพ์ไม่ค่อยแน่ใจเลยค่ะ ไม่เคยดื่มพวกนี้เท่าไหร่” เธอตอบด้วยความเกรงใจ ธาวินยิ้มอย่างเอ็นดู
“งั้นเดี๋ยวผมขออนุญาตเลือกให้คุณดีกว่านะครับ” เขากวาดสายตาดูเมนูครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ลองนี่ไหมครับ...ค็อกเทลผลไม้ รสชาติมันจะหวานอมเปรี้ยว คุณดื่มแล้ว...น่าจะสดชื่นดี” เขาชี้ไปยังชื่อเครื่องดื่มชนิดหนึ่ง
“อืม...ก็ได้ค่ะ” พิมพ์มาดาตอบอย่างว่าง่าย
ธาวินจึงสั่งเครื่องดื่มตามที่แนะนำไป เมื่อเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ พิมพ์มาดาลองจิบดูก็รู้สึกชื่นใจ รสชาติหวานอมเปรี้ยวกลมกล่อมทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ธาวินเองก็สั่งเครื่องดื่มอีกชนิดหนึ่งมาดื่มร่วมกับเธอ
ระหว่างที่ทั้งคู่พูดคุยกัน พิมพ์มาดาก็ยกแก้วเครื่องดื่มจิบไปเรื่อยๆ ความตึงเครียดและความเกร็งที่มีในตอนแรกค่อยๆ จางหายไป เธอเริ่มรู้สึกผ่อนคลายและเป็นกันเองกับธาวินมากขึ้น เสียงเพลงกีตาร์คลอเบาๆ ยิ่งสร้างบรรยากาศที่สุดแสนโรแมนติกภายใต้แสงจันทร์นวล
เมื่อพิมพ์มาดาดื่มค็อกเทลไปได้สักพัก แก้มของเธอก็เริ่มแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย ราวกับกลีบกุหลาบแรกแย้ม ดวงตาคู่สวยของเธอดูสดใสและมีประกายระยิบระยับมากขึ้น
ธาวินสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนและเอื้อมมือไปโอบไหล่เธอเบาๆ อย่างทะนุถนอม เขารับรู้ได้ว่าหญิงสาวตรงหน้าคงจะไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์มากนัก ฤทธิ์ของมันจึงแสดงออกบนใบหน้าของเธออย่างชัดเจน
พิมพ์มาดาไม่ได้ขัดขืน เธอซบศีรษะลงบนไหล่กว้างของธาวินอย่างเป็นธรรมชาติ ความอบอุ่นจากร่างกายของเขาทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลาย เธอปล่อยให้ธาวินโอบกอดเธออยู่อย่างนั้น
ธาวินสั่งเครื่องดื่มเย็นๆ ที่มีสีสันสดใสและรสชาติแปลกใหม่มาให้เธอลิ้มลอง เขาบริการหญิงสาวตรงหน้าอย่างเอาอกเอาใจ จากนั้นทั้งคู่ก็ผลัดกันเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาในชีวิต
“ตอนแรกที่ไปถึงน่ะครับ...” ธาวินเริ่มเล่าพลางหัวเราะเบาๆ
“ผมพูดภาษาอังกฤษได้งูๆ ปลาๆ มากๆ ไปสั่งอาหารก็ชี้ๆ เอา บางทีก็ได้มาไม่ตรงกับที่อยากกินเสียด้วยซ้ำ”
พิมพ์มาดายิ้มขำ
“แล้วทำยังไงคะ?”
“ก็ต้องพยายามครับ อาศัยดูคนอื่นสั่ง แล้วก็ค่อยๆ ถามเอาทีละคำสองคำ” เขาเล่าต่อ
“วัฒนธรรมเขาก็ต่างจากบ้านเราเยอะ อย่างเรื่องการทักทาย การแสดงความเคารพ บางทีผมก็ทำอะไรเปิ่นๆ ไปบ้างเหมือนกัน”
“คงเหงามากเลยใช่ไหมคะ?” พิมพ์มาดาถามด้วยความเป็นห่วง ธาวินรีบพยักหน้า
“ครับ...คิดถึงบ้าน คิดถึงอาหารไทยมากๆ ช่วงแรกๆ นี่ร้องไห้คนเดียวก็บ่อย แต่ก็ต้องกัดฟันสู้ เพราะตั้งใจไปแล้วนี่นา” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา
“แต่พอเริ่มปรับตัวได้ มันก็สนุกนะครับ ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ จากหลายชาติหลายภาษา ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง ได้เห็นโลกในมุมมองที่ไม่เคยเห็นมาก่อน”
“ฟังดูน่าสนใจมากเลยค่ะ” พิมพ์มาดาเอ่ยด้วยความชื่นชม
“ใช่ครับ มันเปิดโลกของผมจริงๆ แล้วก็เรื่องเรียนด้วย ตอนแรกก็ตามเพื่อนไม่ทันเลย ต้องขยันกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว อ่านหนังสือจนดึกดื่น ทำงานพิเศษไปด้วยก็แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน” ธาวินเล่าถึงความยากลำบากในการเรียน
“เก่งจังเลยนะคะ” พิมพ์มาดาเอ่ยชมอีกครั้งด้วยความนับถือ
“ก็ฮึดสู้เต็มที่ครับ” ธาวินยิ้มด้วยความภาคภูมิใจเล็กน้อย
“สุดท้ายพอคว้าปริญญาโทมาได้สำเร็จ ตอนรับปริญญานี่น้ำตาไหลเลยครับ ความเหนื่อยมันหายไปหมด”
“ชีวิตตอนเด็กๆ ที่บ้านนอกของพิมพ์...” พิมพ์มาดาเริ่มเล่าด้วยรอยยิ้มที่เจือความอบอุ่น
“มันเรียบง่ายมากเลยค่ะ ตื่นเช้ามาก็ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ทำกับข้าว กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว มันผูกพันกันมากจริงๆ ค่ะ”
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเธอฉายแววคิดถึง
“พอตัดสินใจจะมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ พ่อกับแม่ก็เป็นห่วงมาก ท่านไม่อยากให้มาเลยด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าเราจะลำบาก แต่พิมพ์ตั้งใจแล้วก็เลยดื้อดึงมา”
“แล้วเป็นยังไงบ้างครับ ตอนมาอยู่กรุงเทพฯ แรกๆ” ธาวินถามด้วยความสนใจ พิมพ์มาดาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเล่าให้เขาฟังต่อ
“โอ๊ย! เหมือนเป็นคนละโลกเลยค่ะ จากที่เคยมีรถพ่อแม่ไปส่งไปรับ พอมาอยู่กรุงเทพฯ ต้องตื่นแต่เช้ามืดไปยืนรอรถเมล์ เบียดเสียดกับคนเยอะแยะไปหมด บางทีก็โดนกระเป๋ารถเมล์ดุด้วย” เธอหัวเราะขำตัวเองเล็กน้อย
“ฟังดูเหนื่อยเลยนะครับ” ธาวินแสดงความเห็นใจ
“เหนื่อยค่ะ แต่ก็ต้องอดทน” พิมพ์มาดาตอบอย่างหนักแน่น “พ่อแม่ส่งเงินมาให้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้เยอะแยะอะไร พิมพ์ต้องประหยัดทุกอย่าง กินข้าวแกงข้างทาง ถูกๆ บ้าง อดมื้อกินมื้อบ้างก็มี เสื้อผ้าก็ใส่ซ้ำๆ เพื่อนๆ บางคนเขามีชีวิตหรูหรา แต่เราก็ต้องพยายามไม่เปรียบเทียบ” น้ำเสียงของเธอเจือไปด้วยความมุ่งมั่น
“คุณเก่งมากเลยนะครับที่ผ่านมาได้” ธาวินเอ่ยชมด้วยความจริงใจ
“ก็ต้องสู้ค่ะ” พิมพ์มาดายิ้มบางๆ “คิดถึงพ่อกับแม่ทีไร ก็มีกำลังใจขึ้นมาทุกที อยากจะเรียนให้จบ มีงานดีๆ ทำ แล้วก็กลับไปดูแลท่านให้สบาย”
“แล้วที่บ้านคุณพิมพ์ มีพี่น้องกี่คนครับ?” ธาวินถามด้วยความอยากรู้ หลังจากที่พิมพ์มาดาเล่าเรื่องราวชีวิตวัยเด็กของเธอจบลง
พิมพ์มาดาเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยฉายแววเหงาบางๆ
“พิมพ์เป็นลูกคนเดียวค่ะ...” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลงเล็กน้อย
ธาวินชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาคมของเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
“อ่าว!!...จริงเหรอครับ?” เขาถามด้วยความสงสัย
“ค่ะ...พ่อกับแม่มีพิมพ์แค่คนเดียว” พิมพ์มาดายิ้มบางๆ
“บางทีก็เหงาเหมือนกันค่ะ ไม่มีใครให้ทะเลาะด้วย” เธอหัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อนความรู้สึก
ธาวินจ้องมองเธออย่างพิจารณา ความรู้สึกบางอย่างแล่นปราดเข้ามาในใจเขา
“บังเอิญจังเลยนะครับ...” เขาเอ่ยเสียงเบา ราวกับกำลังพูดกับตัวเอง
พิมพ์มาดามองเขาด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยถาม
“บังเอิญยังไงเหรอคะ?”
ธาวินสบตาเธออย่างลึกซึ้ง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งความประหลาดใจ ความเห็นใจ และความรู้สึกเชื่อมโยงอย่างบอกไม่ถูก
“ผมก็เป็นลูกคนเดียวเหมือนกันครับ...” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายคลึงกับความเหงาที่พิมพ์มาดาเพิ่งเอ่ยถึง
พิมพ์มาดามองธาวินด้วยความประหลาดใจเช่นกัน ความรู้สึกแปลกใหม่ก่อตัวขึ้นในใจเธอ ราวกับพบเจอใครบางคนที่เข้าใจความรู้สึกของเธออย่างแท้จริง
“จริงเหรอคะ?” เธอถามซ้ำด้วยความไม่แน่ใจ
“ครับ...” ธาวินพยักหน้าช้าๆ
“พ่อกับแม่ผม...ท่านมีผมแค่คนเดียว” เขาเล่าถึงความเข้มงวดของบิดา และความอบอุ่นที่ขาดหายไปจากชีวิตเมื่อมารดาเสียไปตั้งแต่เขายังเด็ก น้ำเสียงของเขาแผ่วลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงมารดา
พิมพ์มาดามองธาวินด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างลึกซึ้ง เธอสัมผัสได้ถึงความเหงาที่ซ่อนอยู่ในแววตาของเขา ความรู้สึกเชื่อมโยงอย่างประหลาดทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ทั้งคู่ต่างเป็นลูกคนเดียว เพียงแค่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน แต่กลับมีความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายคลึงกันซ่อนอยู่ในใจ
“เรา...เหมือนกันเลยนะคะ” พิมพ์มาดาเอ่ยเสียงเบา ดวงตาคู่สวยของเธอจับจ้องอยู่ที่ธาวินอย่างอ่อนโยน ราวกับกำลังมองเข้าไปในกระจกที่สะท้อนความรู้สึกของตัวเอง
ธาวินยิ้มบางๆ ให้เธอ รอยยิ้มนั้นไม่ได้สดใสเหมือนเคย แต่กลับเต็มไปด้วยความเข้าใจและความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
“บางที...การที่เราได้มาเจอกัน...มันอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้นะครับ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความหวังเล็กๆ
