ความฝันหรือภาพอดีต
ในยามราตรี แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างของห้องนอนใหญ่ มอบแสงเรืองรองที่นุ่มนวล เงาของเหวินจิ้งทอดยาวไปบนผนังขณะที่เขานอนอยู่บนเตียง ท่ามกลางความเงียบสงัด ลมหายใจของเขาค่อยๆ แผ่วเบา แต่หัวใจกลับกระวนกระวายอย่างรุนแรง ความฝันอันเจ็บปวดในอดีตคืบคลานเข้ามาในความรู้สึกของเขาอีกครั้ง
ในความฝันนั้น เหวินจิ้งกลับไปยังสวรรค์ ที่ซึ่งเขาเคยเป็นเทพเซียนฮวาเย่ผู้สูงส่ง เสียงของเหมยฮวา สหายสนิทของเขา ก้องกังวานจากที่ไกลออกไป
“ฮวาเย่!” เหมยฮวาร้องเรียกเขา ขณะที่ฮวาเย่เซียนกำลังเดินผ่านสวนดอกไม้บนสวรรค์อันงดงาม
“ข้าหามันพบแล้ว ว่ากันว่ามีดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ดอกหนึ่งที่อาจรักษาอาการป่วยของมู่หลานได้” เหมยฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าของนางฉายแววความมั่นใจและความหวัง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮวาเย่เซียนรีบออกเดินทางทันที เขาไม่รอช้าเพื่อไปยังต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ตามที่เหมยฮวาบอกเล่า สถานที่นั้นถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบและเย็นสบาย
เมื่อมาถึง ฮวาเย่เซียนได้พบกับดอกไม้สีเงินหนึ่งดอกเปล่งประกายท่ามกลางแสงจันทร์ เป็นดอกไม้ที่งดงามและเปล่งพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างเด่นชัด
เขายื่นมือออกไปสัมผัสดอกไม้สีเงินอย่างเบามือ ความเย็นเฉียบที่ส่งผ่านปลายนิ้วของเขาเป็นสัญญาณเตือนถึงความล้ำค่าของดอกไม้นี้ แต่ฮวาเย่เซียนไม่สนใจสิ่งใดนอกจากความหวังที่ว่า ดอกไม้นี้จะช่วยให้มู่หลาน คนรักของเขาหายดีจากอาการป่วยที่รุมเร้า เขาค่อยๆ เก็บดอกไม้ลงในมืออย่างระมัดระวัง สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความรักที่ลึกซึ้ง
เมื่อฮวาเย่กลับมาถึงเรือนของมู่หลาน นางนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของนางซีดขาวราวกับหิมะ ลมหายใจของนางแผ่วเบาราวกับกำลังจะหยุดลงในไม่ช้า ฮวาเย่เซียนทรุดตัวนั่งลงข้างๆ นาง เขามองใบหน้าที่ไร้สีสันนั้นด้วยความกังวลใจอย่างหนัก มือที่จับดอกไม้อยู่สั่นไหวเบาๆ แต่ความหวังของเขายังคงยึดเหนี่ยวอยู่กับดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือ
“เจ้าจะต้องหายดี มู่หลาน” ฮวาเย่เซียนกระซิบเบาๆ ข้างหูนาง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวังและความรักที่เขามีต่อนางมาตลอด
เซียนหนุ่มค่อยๆ นำดอกไม้สีเงินป้อนเข้าปากของมู่หลาน ด้วยความหวังว่ามันจะช่วยฟื้นคืนชีวิตให้กับนางอีกครั้ง
แต่ทันใดนั้น ร่างของมู่หลานกลับกระตุกอย่างรุนแรง ลมหายใจของนางขาดหายไป ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเบิกกว้างด้วยความเจ็บปวดและความตกใจ ก่อนที่มันจะค่อยๆ ปิดลง ร่างของนางแน่นิ่งและเย็นเฉียบในพริบตาเดียว
“เกิดอะไรขึ้น! ไม่สิ...ทำไมเจ้าถึงเป็นแบบนี้ ตื่นสิ มู่หลาน!!” ฮวาเย่เซียนร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เขาโอบกอดร่างของมู่หลานไว้แนบอก หวังเพียงแค่นางจะฟื้นคืนมา แต่ทุกอย่างกลับเงียบงัน
เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของมู่หลานที่เคยทำให้โลกของเขาสดใส ยังคงก้องอยู่ในหัวของเขา แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดอย่างที่สุด น้ำตาที่เขาพยายามกลั้นไว้ไม่อาจกักเก็บได้อีกต่อไป น้ำตาแห่งความสูญเสียและความเจ็บปวดไหลรินลงมาอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้
ไม่นานนัก ทหารสวรรค์ก็พุ่งตรงเข้ามาในเรือน พวกเขามีคำสั่งจากเง็กเซียนฮ่องเต้ให้จับกุมฮวาเย่เซียน ทหารเข้ามารวบแขนของเซียนหนุ่มด้วยความรุนแรง “ฮวาเย่เซียน เง็กเซียนฮ่องเต้มีคำสั่งให้ควบคุมตัวท่าน ข้อหาลักขโมยดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์!” เสียงทหารดังลั่น ขณะที่พวกเขาลากฮวาเย่เซียนออกไปจากเรือน
เซียนหนุ่มถูกลากออกไปโดยไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เขาได้แต่จ้องมองร่างไร้วิญญาณของมู่หลานที่อยู่บนเตียง น้ำตาแห่งความเสียใจยังคงไหลรินไม่หยุด หัวใจของเขาเจ็บปวดจนแทบแตกสลาย
เหมยฮวาที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความพอใจ แต่ในดวงตาของนางแฝงไปด้วยความเศร้าเล็กน้อย “ข้าขอโทษนะ ฮวาเย่ ข้าไม่สามารถทนเห็นเจ้าอยู่กับมู่หลานได้” นางพึมพำเบา ๆ ราวกับจะปลอบตัวเอง
เหวินจิ้งสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ หัวใจเต้นแรงอย่างไม่เป็นจังหวะ ความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดจากความฝันนั้นยังคงสั่นคลอนในหัวใจ เขามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงจันทร์ส่องสว่างอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีเข้ม แต่ในใจของเขากลับรู้สึกมืดมน
“มู่หลาน...” เหวินจิ้งพึมพำเบาๆ ชื่อที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความเจ็บปวด
หลายปีผ่านไป ความทรงจำของมู่หลานยังคงอยู่ในหัวใจของเขา และแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ความหวังที่นางจะกลับมาอยู่เคียงข้างเขาสักวันหนึ่งก็ไม่เคยหายไป
ขณะเดียวกัน ในห้องนอนอีกห้องหนึ่ง เสี่ยวจูนอนหลับอยู่บนเตียงนุ่ม แต่ภายในจิตใจของนางกลับรู้สึกถึงความไม่สงบ ในความฝัน นางเห็นตัวเองเดินอยู่ในสวนที่งดงามราวกับภาพวาด สวนเต็มไปด้วยดอกมู่หลานที่บานสะพรั่งทั่วทุกทิศ ดอกไม้สีสดใสเหล่านั้นปลิวไสวไปตามลม แสงแดดส่องประกายผ่านกลีบดอกไม้ราวกับภาพฝันที่งดงามเกินกว่าจะเป็นจริง
ระหว่างที่เสี่ยวจูกำลังเดินสำรวจสวนอยู่ นางได้ยินเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งเรียกชื่อของนางอย่างแผ่วเบา
“มู่หลาน...” เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับลมที่พัดผ่าน ช่างเป็นเสียงที่คุ้นเคยยิ่งนัก แต่ทำไมชื่อนั้นถึงฟังดูใกล้ชิดกับตัวนางมากขนาดนี้?
เสี่ยวจูสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสับสน นางนั่งขึ้นมาบนเตียง หัวใจเต้นแรงด้วยความกังวล นางพึมพำกับตัวเองเบาๆ “ทำไมข้าถึงยังฝันเช่นนี้อีก...”
นางมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงจันทร์ที่ส่องสว่างยิ่งทำให้นางรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวในใจ ความรู้สึกที่เหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างพยายามเชื่อมโยงกับนาง ความคิดถึงและความเศร้าที่ลึกลงในใจนั้น ทำให้นางรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่สำคัญที่นางยังคงหลงลืมไป ความฝันนั้นทำให้นางรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง และมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางฝันเช่นนี้
เสี่ยวจูนั่งนิ่ง มองแสงจันทร์ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย
