ภัยแล้งที่ชุ่มฉ่ำหัวใจ
แสงแดดยามบ่ายแก่ๆ สาดส่องลงมายังทุ่งนาที่แห้งแล้ง รอยแตกร้าวของพื้นดินแผ่กระจายเป็นเส้นทางยาว เหมือนบาดแผลลึกที่ไม่มีวันหาย ภาพของต้นข้าวที่เคยเขียวขจี บัดนี้กลายเป็นเพียงซากต้นข้าวแห้งกรอบ บางต้นล้มตาย บางต้นถูกลมพัดจนหักโค่น ใบไม้ที่เคยสดใสกลับแห้งกรอบจนกลายเป็นสีน้ำตาล เหมือนถูกปล่อยทิ้งไว้ท่ามกลางความโหดร้ายของธรรมชาติที่ไม่ปรานี
ท้องฟ้าที่เคยสดใสตอนนี้กลับดูแห้งแล้งราวกับร้อนรนไปด้วยความร้อนจากแสงแดดที่สาดลงมาอย่างไม่ปรานี ความร้อนแผดเผาจนแทบไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยากจะอยู่ในพื้นที่นี้อีกต่อไป แต่ท่ามกลางความแห้งแล้ง
ชาวบ้านหลายคนยังคงเดินมาชุมนุมกันที่ทุ่งนา ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ยากและความสิ้นหวัง แววตาที่เคยเต็มไปด้วยความหวังและรอยยิ้มจากการเก็บเกี่ยวข้าวในฤดูกาลที่ผ่านมา บัดนี้กลับหม่นหมอง หวังเพียงแค่ฝนเพียงหนึ่งหยดที่จะช่วยชีวิตพวกเขาและพืชผลที่กำลังจะตายลงไปในแต่ละวัน
ชาวบ้านนั่งเรียงรายกันกลางทุ่งนา ประนมมือสวดมนต์ขอฝน บางคนร้องไห้ บางคนสวดมนต์ด้วยเสียงที่สั่นเครือ เสียงสวดมนต์ดังคลอกับเสียงลมที่พัดเบาๆ ผ่านดินแห้ง แต่มันไม่ได้เป็นลมเย็นที่ให้ความชุ่มฉ่ำ มันเป็นลมที่เต็มไปด้วยความร้อนระอุ ความหวังของชาวบ้านลดลงในแต่ละวัน แต่พวกเขาก็ยังคงยึดมั่นในการสวดมนต์เผื่อว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
เสี่ยวจูยืนมองภาพนั้นอยู่ไกลๆ ด้วยหัวใจที่หดหู่ นางรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบคั้น นางไม่อาจทนเห็นชาวบ้านที่นางรักและเคารพต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ นางรู้ดีว่าพวกเขาเป็นคนดีที่ทำงานหนัก แต่กลับต้องเจอภัยแล้งที่ไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้นลงได้
นางมองเห็นความเหนื่อยล้าของผู้คน เด็กๆ ที่ร้องหาน้ำ คนชราที่บ่นถึงอดีตอันอุดมสมบูรณ์ นางรู้สึกเหมือนว่า หากนางไม่ทำอะไรสักอย่าง ชีวิตของคนในหมู่บ้านคงไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
ด้วยความมุ่งมั่น เสี่ยวจูหันหลังและออกเดินทางไปตามหาความช่วยเหลือ ขณะที่นางเดินผ่านบ้านเรือนที่ทรุดโทรม เสียงเด็กเล็กๆ ที่ร้องไห้เรียกหาน้ำ และเสียงคนชราที่บ่นถึงอดีตที่เคยอุดมสมบูรณ์ยังคงดังอยู่ตลอดทาง
เสี่ยวจูเดินมาถึงหน้าเรือนของเหวินจิ้ง นางไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมถึงต้องมาที่นี่ แต่ในหัวใจลึกๆ ของนางมีบางสิ่งบางอย่างบอกให้นางมาหาเขา บางสิ่งบางอย่างที่นางไม่สามารถอธิบายได้
เสี่ยวจูยืนอยู่หน้าประตูเรือน มือบางของนางค่อย ๆ ยกขึ้นและเคาะประตูเบาๆ นางลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ความรู้สึกของนางก็ยังคงยืนยันว่าที่นี่คือที่ที่นางต้องมา
ไม่นานนัก ประตูเรือนเปิดออก เผยให้เห็นเหวินจิ้งที่ยืนอยู่ข้างใน ใบหน้าของเขาแสดงถึงความสงสัยเล็กน้อยเมื่อเห็นเสี่ยวจูปรากฏตัวตรงหน้าประตู
“แม่นางเสี่ยวจู?” เหวินจิ้งเอ่ยขึ้น เขาไม่คาดคิดว่าจะเห็นนางมาที่นี่
เสี่ยวจูมองเหวินจิ้งด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความทุกข์และความหวัง “ท่านหมอเหวินจิ้ง ช่วยพวกเราด้วยเถิดเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนถึงความสิ้นหวังและความต้องการความช่วยเหลืออย่างที่สุด
เหวินจิ้งชะงักไปเล็กน้อย เขามองเสี่ยวจูด้วยสายตาสงสัย แต่ลึกๆ เขารู้ว่านางไม่ได้มาที่นี่โดยไร้เหตุผล เห็นได้ชัดว่านางต้องการความช่วยเหลือ และบางอย่างบอกเขาว่าปัญหาที่นางเผชิญอยู่นั้นใหญ่โตเกินกว่าที่นางจะแบกรับได้เพียงลำพัง
“เชิญเข้ามาข้างในก่อนเถิด” เหวินจิ้งผายมือเชิญเสี่ยวจูเข้าไปในเรือน
ทันทีที่เสี่ยวจูเข้ามาในเรือน นางเริ่มเล่าถึงปัญหาภัยแล้งที่ชาวบ้านต้องเผชิญ เหวินจิ้งฟังอย่างตั้งใจ ดวงตาของเขาแสดงถึงความเข้าใจและเห็นใจ ขณะที่นางเล่าถึงความลำบากของผู้คนในหมู่บ้าน เหวินจิ้งรู้สึกถึงความมุ่งมั่นและความหวังที่เปล่งประกายอยู่ในดวงตาของเสี่ยวจู นางเป็นคนที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน
แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าไม่ควรฝืนใช้พลังของเขาเพื่อเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ แต่เมื่อได้เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังของเสี่ยวจู เขาไม่อาจปฏิเสธคำขอของนางได้ เหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผูกพันเขาไว้กับหญิงสาวคนนี้
“ไปกันเถิด แม่นางเสี่ยวจู ข้าจะช่วยเจ้าตามที่ข้าสามารถทำได้” เหวินจิ้งตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เสี่ยวจูยิ้มด้วยความโล่งใจ “แค่นี้ก็ขอบคุณท่านมากแล้วเจ้าค่ะ ท่านหมอ”
จากนั้น ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปยังทุ่งนาแห้งแล้ง ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าสาดแสงสุดท้ายลงบนพื้นดินที่แตกระแหง ความร้อนจากดินแผดเผาเท้าของพวกเขาขณะเดินไปยังจุดที่ชาวบ้านมารวมตัวกัน เสียงสวดมนต์ยังคงดังก้องอยู่เบื้องหลัง ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ
“เทพเบื้องบน องค์ไหนก็ได้ หรือท่านฮวาเย่เซียน เทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ โปรดฟังคำขอของพวกเรา ขอให้ฝนตกลงมาช่วยเหลือพวกเราเถิด” เสี่ยวจูร่วมสวดมนต์ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง
เหวินจิ้งมองเห็นความทุ่มเทของนาง เขารู้ดีว่าคำสวดมนต์ของนางไม่ได้เป็นเพียงแค่การขอพร แต่มันคือการแสดงถึงความรักที่นางมีต่อผู้คนในหมู่บ้าน นั่นทำให้เขารู้สึกถึงหน้าที่ที่ต้องช่วยเหลือ
ชายหนุ่มจึงเดินไปยังมุมหนึ่งของทุ่งนา ที่ลับตาจากสายตาของชาวบ้าน เขาหลับตาลงและเริ่มร่ายมนตร์ เสียงลมเริ่มเปลี่ยนเป็นลมเย็น เมฆฝนเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าที่เคยสว่างจ้ากลับมืดครึ้มลงในทันที ชาวบ้านหยุดสวดมนต์และเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวจูสังเกตเห็นประกายแสงสีทองเรืองรองที่แผ่ออกมาจากตัวของเหวินจิ้ง นางเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“นี่ข้าตาฝาดไปหรอกหรือ?” นางพึมพำกับตัวเอง รู้สึกไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น
ฝนเริ่มตกลงมาอย่างชุ่มฉ่ำ ชาวบ้านต่างส่งเสียงแสดงความยินดี หลายคนร้องไห้ด้วยความดีใจ บางคนคุกเข่าลงขอบคุณท้องฟ้าและเทพเจ้าที่พวกเขาสวดขอพร
เสี่ยวจูหันไปทางเหวินจิ้ง นางยิ้มและพูดด้วยความดีใจ “ท่านหมอเหวินจิ้ง! ฝนตกแล้วเจ้าค่ะ!”
เหวินจิ้งยิ้มเบา ๆ “ข้าเห็นแล้ว แม่นางเสี่ยวจู”
สายฝนที่โปรยปรายทำให้เสื้อผ้าของทั้งคู่เปียกชุ่ม เสี่ยวจูเริ่มสั่นเล็กน้อยจากความเย็น เหวินจิ้งสังเกตเห็นท่าทีของนาง เขาถอดเสื้อคลุมของเขาออกแล้วนำมาคลุมตัวให้กับเสี่ยวจู
“คลุมเสื้อของข้าไว้ จะได้ไม่หนาว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เสี่ยวจูมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวของเหวินจิ้ง ใจของนางรู้สึกอบอุ่นแม้ว่าฝนจะยังคงตกอยู่ นางรู้สึกถึงความห่วงใยที่เหวินจิ้งมีต่อนาง
“ขอบคุณท่านมาก ท่านหมอ” นางพูดด้วยเสียงนุ่มนวลและยิ้มตอบกลับ ความรู้สึกอบอุ่นในใจนั้นทำให้นางรู้ว่าชายผู้นี้ไม่ใช่เพียงแค่หมอธรรมดา เขาคือคนที่มีพลังบางอย่างที่เชื่อมโยงกับนางในทางที่ลึกซึ้ง
