บท
ตั้งค่า

แค้นที่ 2 หลักฐานมัดตัว

เป็นเวลาค่อนบ่ายกว่าเจนิสจะรู้สึกตัว แน่นอนแรกลืมตาตื่น เมื่อเห็นว่าตัวเองมาอยู่ในห้องติดลูกกรงแทนที่จะเป็นห้องพักคับแคบของตัวเองความตกใจพลันพุ่งเข้าใส่หญิงสาวทันที ดวงหน้าสวยเหลือบมองไปยังนอกลูกกรงแลเห็นมาร์ตินนั่งทำหน้าเครียดอยู่ไม่ไกลก็รีบถลาเข้าไปถามถึงสาเหตุอย่างไม่คิดรอ

 "มาร์ติน มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ทำไมฉันถึงมาอยู่ในนี้"

เพื่อนชายเงียบลงใบหน้าลูกครึ่งยังคงฉายแววเคร่งเครียดจนเจนิสยิ่งสับสน ครั้นกำลังจะปากเอ่ยถามอีกครั้ง บุรุษในชุดสีกากีสองคนก็เดินตรงเข้ามาหาเธอในห้องลูกกรง พร้อมเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเข้มกึ่งไปทางดุดัน

 "ขอเชิญไปให้ปากคำด้วยครับ" 

 "ให้ปากคำ? หมายความว่าไงคะ นี่มันเรื่องอะไรมาร์ติน มันเกิดอะไรขึ้น!" 

 "คุณตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆ่าคนตาย"

คำบอกกล่าวที่ไม่ได้มาจากเพื่อนชายทำเอาใบหน้าขาวซีดเผือดลงกว่าเดิม ริมฝีปากสั่นเทาเปล่งเสียงที่แทบไม่ได้ยินออกไป

 "ฆ่าคนตาย? ไม่จริง! ฉันจะไปฆ่าใครได้! ไม่จริงนะมาร์ติน! นายเชื่อเราใช่ไหม! เราไม่ได้ทำนะ!"

คนถูกเรียกไม่ได้เอ่ยอะไรออกมานอกจากส่งรอยยิ้มจางๆ ผ่านคราบน้ำตาไปให้ มือสั่นเทิ้มไม่ต่างกันเอื้อมผ่านลูกกรงไปลูบเรือนผมของคนที่สั่นเทิ้มราวจะปลอบใจอีกฝ่าย

 "ใจเย็นนะเจน ใจเย็นก่อน ตำรวจเขาแต่ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ก่อน ตอนนี้เราว่าเธอตั้งสติก่อนนะแล้วไปบอกตำรวจว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น"

สาวน้อยไม่ได้ตอบอะไรออกมา เพราะแม้จะอยากประท้วงแต่ก็ไม่อาจทำได้จำยอมให้ตำรวจทั้งสองนายพาตัวเธอไป

  เจนิสถูกพาตัวมานั่งต่อหน้านายตำรวจใหญ่ใบหน้าสวยเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีท่าทีสงบลงกว่าเมื่อครู่อยู่มาก ยังไม่ทันได้เปิดปากเอ่ยสิ่งใด ชายในชุดสูทท่าทีน่าเชื่อถือก็ตรงเข้ามาเสียก่อน

 "ผมเป็นทนายครับ ญาติผู้ตายให้ผมว่าฟังการสอบปากคำแทน โดยที่เขาจะรับฟังผ่านมือถือของผม" องอาจพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

 "ลองเล่ามาสิ ว่าเธอไปทำอะไรยังที่เกิดเหตุ"

สารวัตรองอาจเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจัง เจนิสที่หน้าซีดเผือดสูดหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง พลางเริ่มต้นเล่นถึงเหตุการณ์ที่ตนจำได้ก่อนตกอยู่ในคดีร้ายแรงแบบนี้ 

  ......ย้อนเหตุการณ์กลับไปเวลาประมาณสามทุ่มเศษของคืนวันเกิดเหตุ.....

 "เอาชน!" เสียงของสองหนุ่มสาวดังขึ้นมาพร้อมกันท่ามกลางเสียงดนตรีดังลั่น จากสถานที่ของเหล่าผีเสื้อราตรีแบบนี้

 "ฉันล่ะดีใจจริงๆ เพื่อนรักนักเรียนนอกอาสาจะเป็นป๋าเลี้ยงแบบนี้ คอยดูนะ! จะถล่มให้ยับเลย" สาวน้อยเอ่ยติดเสียงกลั้วขำพลางยกแก้วน้ำเมาในมือ สาดส่งมันลงคอไป

 "ไม่มีปัญหา สำหรับเธอเท่าไหร่เท่ากัน" 

 "เออ ลืมถามไปเลย แล้วนี่นายจะมาอยู่นานไหม มาพักหรือว่าไง" 

 "กะว่าจะมาอยู่เลยเพราะคิดถึง...ไม่สิ เพราะจะกลับมาช่วยครอบครัวดูแลกิจการ"

 "ดีเนอะ ลูกคนรวย" ประโยคนั้นเหมือนราบเรียบทว่าเจือไปด้วยความคล้ายน้อยใจ จนเพื่อนหนุ่มต้องเปลี่ยนเรื่อง

 "แล้วออกมาแบบนี้ ผู้เธอไม่ว่าเหรอ"

 "ผู้บ้าอะไรล่ะ! แค่เอาชีวิตรอดมาได้แต่ละวันโดยไม่อดตายนี้ก็ยากแล้ว จะไปหนีบผู้มาเป็นเรื่องปวดหัวอีกทำไมล่ะ!"

  เจนิสว่าออกมาด้วยน้ำเสียงกลั้วขำพลางสาดน้ำในแก้วลงคออีกครั้งจนมาร์ตินต้องร้องห้าม แม้ว่าเมื่อนาทีก่อนน่าจะรู้สึกอิ่มเอมกับคำตอบของเธอ ทว่าตอนนี้ลูกเสี้ยวกับอดตกใจขึ้นมาไม่ได้เมื่อเพื่อนสาวเหมือนจะเร่งเครื่องดื่มกว่าที่คิด 

 "เฮ้ยเจน! พอก่อน เดี๋ยวเธอก็เมาหรอก" 

 "เมาสิดี จะได้ลืมไอ้เรื่องทุกข์ใจให้หมดๆ ไป"

มาร์ตินที่แม้จะเพิ่งบินกลับมาแค่ไม่กี่วันก็พอจะรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรกับเธอขึ้น มือใหญ่กว่าวางไว้บนเรือนผมดั่งคุ้นเคยเวลาอยากจะปลอบใจเธอ

 "แต่มันก็แค่เเป๊บเดียวนะ พอเธอตื่นมาเดี๋ยวก็ทุกข์อีก ฉันว่าเธอพยายามไม่คิดนั่นแหละคือทางออกที่ดีที่สุด"

 "นายก็พูดได้สิ นายมันไม่ลำบากเหมือนฉันนี้ สงสัยอาถรรพ์เบญจเพสมันจะแรงจริงนะ" หญิงสาวเอ่ยคล้ายกำลังเยาะเย้ยกับชะตาชีวิตของตัวเอง

 "คิดมากไปได้ ก็แค่กราฟเส้นหนึ่งของชีวิตล่ะ" 

 "หึ! งั้นสงสัยกราฟเส้นนี้จะมีแต่ดิ่งกับดิ่งนะถึงได้มีแต่เรื่องแย่ๆ! ตกงาน อีกสามวันก็โดนไล่ออกจากห้องพัก แถมดันมาโดนคดีอีก เฮ้อ! เฮงซวยชะมัด คิดแล้วก็แค้นไอ้เสี่ยนั่นไม่หาย!"

มาร์ตินส่ายหน้าในกับคนที่ทำหน้าเหมือนอมทุกข์ไว้ มือคู่อบอุ่นดึงเธอให้เหมือนจะชวนออกไปด้วยกัน 

 "ไป! ไปโยกให้ความเศร้ามันกระเด็นออกไปเลย!" 

  เจนิสยิ้มให้เพื่อนหนุ่ม ก่อนจะเดินไปปะปนกับผีเสื้อราตรีคนอื่น เสียงเพลงจังหวะเร้าใจบวกน้ำเมาที่ออกฤทธิ์หน่อยๆ ขับให้คนงามปลดปล่อยร่างกายโยกย้ายไปกับเสียงเพลงอย่างมีความสุข จนลืมความทุกข์ใจไปชั่วขณะ

 "เธอแน่ใจนะ ว่ากลับได้" มาร์ตินเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเพื่อนสาวยืนยันว่าจะไม่ให้ตนไปส่งดั่งอาสา

 "ไม่ๆๆ นายเองต้องกลับแล้วไม่ใช่เหรอ ไปดิ! เห็นมีคนโทรตามหลายทีแล้วนี่ ฮั่นแน่! หรือว่าสาวๆ" 

 "จะบ้าเหรอ! ฉันจะไปมองใครได้ไงล่ะ แม่ฉันโทรมาต่างหาก เอาเถอะถ้าเธอไหวฉันก็โอเค ถึงห้องแล้วโทรบอกด้วยนะ แล้วอย่าคิดมากล่ะ"

คนงามพยักหน้ารับคำแล้วส่งยิ้มหวานให้คนที่ค่อยๆ เคลื่อนรถคันหรูออกไป 

...

 "เธอแยกกับมาร์ตินตรงนั้นแล้วกลับห้องพักเลยรึเปล่า เท่าที่ฟังดูตอนแยกกันเหมือนเธอไม่ได้เมาหนักนะ ไม่งั้นมาร์ตินคงไปส่งเธอแล้ว" สารวัตรองอาจซักถามขึ้นเมื่อเจนิสหยุดพัก 

 "ฉันโกหกมาร์ตินค่ะ ตอนนั้นเพราะความทุกข์ที่มันอยู่ในใจทำให้ฉันกลับเข้าไปในผับอีกครั้ง แล้วดื่มต่อเพราะหวังว่าความทุกข์มันจะหายไปบ้าง ความรู้สึกตอนนั้นกึ่งรู้กึ่งเมาจนน้องในร้านเดินมาบอกว่าจะปิดทำการ ฉันเลยเดินออกมา" 

 "แล้วไงต่อครับ ขอรวบรัดหน่อย คือ...ญาติคนตายร้อนใจอยากฟัง"

ทนายความเป็นคนถามขึ้น เมื่อเสียงในสายสนทนาผ่านบูลทูธที่แนบหูเริ่มโวยวายใส่

 "พอถึงซอยบ้านพัก ฉันก็เดินเข้าไปเหมือนกับทุกวัน ตอนนั้นยิ่งเดินก็เหมือนยิ่งมึน ฉันก็เลยนั่งลงริมฟุตบาทเพื่อรอให้หายมึนก่อน แล้วหลังจากนั้น...อือ เดี๋ยวนะคะ โอ๊ยปวดจัง อ้อ! จำได้แล้ว ฉันเห็นปืนตกอยู่ใกล้ๆ เท้าก็เลย หยิบมันขึ้นมาดู เท่านั้นแหละค่ะ" 

 "เธอจะบอกว่าเธอไม่ได้ทำ งั้นเหรอ" 

 "ก็แน่สิคะ! ก็ฉันไม่ได้ทำนี่!"

สารวัตรหนุ่มใหญ่ถอนหายใจออกมาใบหน้าเคร่งเครียด แม้ว่าคำให้การของเธอจะตรงกับมาร์ติน ทว่าหลักฐานและพยานก็ล้วนแล้วแต่มีน้ำหนักมาทางเธอ นั่นทำให้องอาจยิ่งเครียดขึ้นมาเพราะไม่สามารถหาจุดปิดของคดีนี่ได้ หากไม่ได้ตัวผู้ต้องสงสัยอีกคนพอดีจะถูกนำตัวมาได้จังหวะพอดี 

 "ผู้ต้องสงสัยที่เรากำลังตามตัวครับ เขามาขอมอบตัวเอง"

ผู้ใต้บัญชาเอ่ยรายงานก่อนจะนำตัวชายคนหนึ่งเข้ามา

  ทั้งชายหนุ่มปริศนาและเจนิสถูกนำไปยังห้องชี้ตัว เพื่อให้พยานดูว่าใช่คนเดียวกันกับที่เธอเห็นหรือไม่ ซึ่งหญิงกลางคนที่เป็นคนพบเห็นเหตุการณ์ยังยืนยันว่าเป็นทั้งคู่แน่ นั่นทำเอาเจนิสถึงกับหน้าซีดเผือด 

  "สรุปเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ ช่วยเล่าความจริงด้วย!"

คนยศโตเอ่ยสั่งชายผู้เพิ่งมาใหม่ ที่ถูกจับให้มานั่งขนาบข้างกับหญิงสาว เขามีใบหน้าที่เคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวให้ฟัง 

 "ผมกับผู้ตายเป็นคนรักกันมาก่อนครับ แต่ต่อมาผมได้มาเจอกับเจนเข้า" 

 "ไม่จริง! ฉันไม่เคยเจอคุณด้วยซ้ำ!" 

 "เงียบ! เอ้าพูดต่อ!" คำสั่งดุดันทำเอาเจนิสจำต้องกัดปากไว้ ในขณะที่ชายนิรนามเริ่มเล่าต่อ

  "เราสองคนแลกไลน์กันไว้และเริ่มคุยกันตั้งแต่นั้นมา ยิ่งคุยความรักก็ยิ่งก่อตัวขึ้น จนผมตัดสินใจจะมาคบกับเจน จึงบอกเลิกผู้ตายไป! แต่เธอไม่ยอม แล้วเริ่มอาละวาดแถมยังด่าว่าผม หนักเข้าก็ทุบตีประจำ แถมยังลามไปตบตีกับเจนอีก ทำให้เจนของผมเก็บเอาไปคิดจนเครียดทุกวัน"

เขาพูดถึงนี่ก็หันมามองเจนิสด้วยแววตาห่วงใยรักใคร่ในขณะที่เธอผงะและส่ายหน้าไปมาเบาๆ 

 "แต่พี่ชายของผู้ตายบอกว่าน้องเขาไม่เคยมีพฤติกรรมแบบนั้นนะครับ เธอถูกเลี้ยงมาอย่างดีไม่เคยมีพฤติกรรมแบบนั้นสักครั้ง "

ทนายขัดขึ้นเมื่อปลายสายของเขาโวยวายเถียงกลับมา

"แต่เวลาอยู่กับผมเธอเป็นแบบนั้นครับ พี่ชายของเธอไม่สังเกตถึงความผิดปกติของน้องสาวตัวเองบ้างรึไง ผมว่าเธอต้องมีท่าทีกังวลและคิดอะไรบ้างแหละ"

องอาจมองทนายเป็นเชิงถาม ฝ่ายนั้นถอนหายใจออกมาแล้วบอกเสียงเรียบตามที่พี่ชายของเธอบอก

 "ผู้ตายมีท่าทีกังวล และเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่จริงครับ" 

 "เอา เล่ามาต่อ" องอาจเอ่ยสั่งต่อ ในขณะที่เจนิสมีใบหน้าที่เครียดขึ้น ดวงตาสวยกระสับกระส่ายออกมาอย่างเห็นได้ชัด

 "สุดท้ายเธอขู่เจนว่าจะประจานเจนให้อายคน! เจนเลยโมโหบอกว่าจะต้องฆ่าเธอให้ได้!!!!!" 

 "ไม่จริง!! ไอ้บ้า! อย่ามาพูดมั่วซั่วนะ!! ฉันไม่เคยรู้จักกับแกด้วยซ้ำ!!" 

 "ที่รัก! ทำไมพูดแบบนั้นละ นี่คุณจะให้ผมรับผิดชอบคนเดียวรึไง! สารภาพเถอะเจนเหมือนผมไง เผื่อคุณตำรวจจะเห็นใจแล้วลดโทษให้เรา" 

 "ลดโทษบ้าอะไร!! ฉันไม่เคยรู้จักกับแก!!" 

 ชายนิรนามถอนหายใจออกมาแล้วส่งซองสีน้ำตาลให้นายตำรวจใหญ่ มันคือแผ่นกระดาษที่เป็นแชทสนทนาของทั้งคู่ ซึ่งล้วนแสดงได้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองรวมไปถึงความคิดที่จะฆ่าหญิงสาวนางนั้นเป็นไปตามที่ฝ่ายชายสารภาพ ทั้งยังมีรูปถ่ายของทั้งสองในลักษณะอิงแอบแนบชิดอีกหลายใบ เล่นเอาเจนิสหน้าซีดเผือดรู้สึกราวหมดเรี่ยวแรงทันที

 "ผมแคปมาได้เท่านี้ละครับ เพราะเจนลบมันออก ตอนแรกผมยังคิดเลยว่าเจนจะไม่น่าฆ่าคนได้ แต่ผมก็รู้ว่าตัวเองคิดผิด คืนนั้นเจนโทรไปหาผมให้ออกมา ตอนนั้นเธอเมามากแล้วก็บอกว่าให้ผมโทรตามแฟนให้มาเจอบอกอยากจะคุยเรื่องของเรา พอฝ่ายนั้นมาถึงเจนจึงยื่นปืนให้ผมแล้วสั่งให้ยิงเธอเสีย แต่ผมไม่กล้า เจนก็เลย...ลงมือเอง" 

 "ครับคุณศิลา"

ทนายวางสายจากคุณศิลา แล้วสบตากับองอาจเป็นเชิงรับรู้

 "ทั้งหลักฐานและพยาน ร่วมถึงคำสารภาพของผู้ต้องหาร่วม ล้วนแล้วแต่มีน้ำหนักทั้งนั้น จ่าใส่กุญแจมือนางสาวเจนิส เตรียมฝากขังข้อหา ฆ่าคนตายโดยไตร่ตรอง!" 

  สิ้นคำประกาศิตราวสายฟ้ามาฟาดกลางหัวของสาวน้อย ความตื่นกลัวขับให้เธอหลั่งน้ำตาจนสะอื้น แม้นว่าจะอยากเอ่ยปากปกป้องตัวเองเพียงใด ทว่าหลักฐานทุกอย่างมันช่างแน่นหนาเหลือเกิน 

 เจนิสถูกควบคุมเพื่อนำตัวมาขึ้นรถจากทางเรือนจำ สาววัยเบญจเพสร่ำไห้ออกมาตลอดเวลา หน้าสวยซีดเผือดดวงตาเลื่อนลอย ทำเอาคนมองอย่างมาร์ตินรู้สึกราวกับจะขาดใจ

 "ฉันจะหาทางช่วยเธอนะเจน ฉันสัญญา!"

เจนิสที่ราวกับสติหลุดไม่ได้เอ่ยตอบกลับมา คนงามเอาแต่พึมพำว่าตนไม่ได้ทำออกมาผ่านริมฝีปากที่กัดจนแตก ก่อนหญิงสาวจะถูกนำตัวขึ้นรถไป...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel