บทที่ 3
ประวัติของภูวิศ จิระสกุลก็ปรากฎขึ้นมาให้อิงฟ้าได้อ่าน แต่มันก็มีแค่ข้อมูลคร่าวๆ ของชายหนุ่มเท่านั้นเอง ไม่ได้เจาะลึกจนทำให้เธอรู้จักเขามากเท่าไหร่นัก
อิงฟ้านั่งมองรูปชายหนุ่มด้วยรอยยิ้ม โดยเฉพาะรูปตอนที่เขาอุ้มลูกสาวไว้แนบอกที่ดูอบอุ่นบอกไม่ถูก สายตาของเขา อ้อมกอดจากเขาทำให้เธอหลง
“ตื่นๆ เขามีลูกมีเมียแล้ว ตื่น” อิงฟ้าตบหน้าตัวเองแรงๆ นั่นเพราะเธอเริ่มจะคิดไม่ซื่อกับคนมีครอบครัวเสียแล้วนั่นเอง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเวลานี้ภูวิศเป็นพ่อหม้าย
นานๆ กว่าจะเจอผู้ชายที่ทำให้เธอหวั่นไหว จะว่าไปกลิ่นกายเขาตอนนั้นก็ยังคงสัมผัสได้จนถึงตอนนี้ ผู้ชายอะไรตัวห้อมหอม แม้จะมีกลิ่นบุหรี่แฝงอยู่เล็กๆ ก็ตามที
คิดเรื่องนี้ภาพเหตุการณ์ของวันนี้ก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวของเธออีกครั้ง คนเราการหย่าร้างมันก็มีด้วยกันหลายสาเหตุ จะอะไรก็อยู่ที่คนสองคนเป็นหลัก
“เด็กอะไรน่ารักจังเลย” เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองรูปเด็กหญิงตัวน้อยที่ยิ้มแป้นอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อ ก่อนจะหยุดการเสพข่าวของภูวิศไว้เพียงแค่นี้แล้วจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะได้เข้านอน
นั่นเพราะพรุ่งนี้เธอต้องเข้าไปช่วยงานพี่ชายแล้วนั่นเอง ไม่รู้ว่าการทำงานในวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไงบ้าง แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อิงฟ้าก็ได้บอกตัวเองให้สู้เข้าไว้
แต่กว่าคืนนั้นจะนอนหลับก็ปาเข้าไปเกือบตีสอง พอตื่นมาใบหน้าอิงฟ้าก็บวมปูดเพราะอดนอน ก่อนจะใช้การเทคนิคการแต่งหน้าขั้นเทพอำพรางความหมองคล้ำ ซึ่งก็ช่วยได้ดีทีเดียว
ทันทีที่เธอก้าวลงมาชั้นล่าง ก็ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวของบรรดาหลานชายทั้งสี่คน ที่เวลานี้นั่งบนเก้าอี้ของตัวเองเพื่อกินอาหารเช้า ทั้งสี่มีอายุห่างกันคนละสองปี เรียกได้ว่าพี่ชายเธอวางแผนการมีลูกมาเป็นอย่างดี ส่วนพี่สะใภ้นั้นแม้จะผ่านการมีลูกมาแล้วตั้งสี่คน แต่ก็ยังดูสาวและสวยไม่สร่าง แถมยังทำงานไม่ได้เป็นแม่บ้านอย่างเดียวอีก เธอนี่อดที่จะนับถือไม่ได้
“อาอิ้ง”
“ว่าไงครับน้องบอล” อิงฟ้าเอ่ยทักทายหลานชายคนโต ที่ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่หก ส่วนน้องคนรองเรียนอยู่ประถมสี่ น้องคนที่สามเรียนอยู่ประถมสอง ส่วนคนเล็กปีนี้อยู่อนุบาลสาม
วันนี้อิงฟ้าไม่ได้แต่งชุดเซ็กซี่หรือเปรี้ยวอย่างที่เคยแต่งเป็นประจำ แต่กลับใส่ชูดสูทสีดำ แม้จะมองดูแล้วแปลกตาไปเสียหน่อย แต่ก็ดูภูมิฐานเหมาะสมดี
“วันนี้อาอิ้งสวย” คำชมจากหลานชายตัวโต พลอยทำให้ อิงฟ้ายิ้มแก้มแทบปริ นั่นเพราะลูกๆ ของพี่ชายทั้งสี่คน เธอก็ช่วยเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะทั้งหมด งานเลี้ยงเด็กเหนื่อยแต่ก็สนุกดี
“ขอบคุณครับ” อิงฟ้าส่งยิ้มให้ ก่อนจะทักทายหลานอีกสามคน ตามด้วยพี่สะใภ้แล้วก็พี่ชาย
ทุกเช้าครอบครัวเธอจะมานั่งทานข้าวด้วยกันที่ตึกใหญ่ หรือก็คือบ้านหลังใหญ่ที่เธอกับแม่อยู่ ส่วนพี่ชายปลูกบ้านอีกหลังไว้เป็นเรือนหอ ซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกันและแยกออกไปอยู่ที่นั่นตามประสาคนมีครอบครัวและลูกชายดกมาก
“เห็นแม่บอกว่าวันนี้อิ้งจะเข้าไปช่วยงานพี่ที่โรงเรียน” เขตไทเอ่ยถามน้องสาวขึ้น
“ค่ะ...แต่พี่โอมอย่าพึ่งบอกใครนะคะ อิ้งขอแฝงตัวไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กก่อน”
“โอเค”
“น้องบอล น้องบาส น้องแบต น้องปิงปองด้วยนะครับ อย่าบอกเพื่อนๆ เชียวว่ารู้จักอาอิ้ง” อิงฟ้าหันไปกำชับหลานชายทั้งสี่คน
“ได้ครับ” บรรดาเด็กๆ ขานรับแทบจะพร้อมกัน แม้บางครั้งพวกเขาจะซนจนยากจะรับมือ แต่ทุกครั้งที่ผู้เป็นอาเอ่ยอะไร เด็กๆ มันจะเชื่อฟังเสมอ
“แล้วจะเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงที่แผนกไหนก่อนดีคะน้องอิ้ง” บุษยาเอ่ยถามน้องสามีขึ้น
“อนุบาลค่ะ อิ้งชอบเด็ก”
“ไปฝึกงานนะเรา ไม่ใช่ให้ไปเล่นกับเด็กๆ” เขตไทส่ายหน้ารู้ทันน้องสาว ที่ชอบเด็กมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลานๆ ทั้งสี่คนนี่ก็เลี้ยงมาเองกับมือ ช่วยเบาแรงภรรยาเขาได้มากโข เพราะเลี้ยงมาเองแบบนี้ลูกชายเขาถึงได้รักและเชื่อฟังอาเป็นพิเศษ
“ค่ะ...อิ้งรู้แล้วน่า” อิงฟ้าย่นจมูกให้พี่ชาย ก่อนที่จะส่งยิ้มให้ผู้เป็นแม่ที่ลงมาร่วมโต๊ะหลังสุด จากนั้นทั้งหมดก็กินมื้อเช้าด้วยกัน
เมื่อเสร็จเขตไทก็ไปทำงานพร้อมลูกๆ ที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันทั้งหมด ส่วนบุษยานั้นไปทำงานที่บริษัทของครอบครัวเธอเช่นกัน
อิงฟ้าออกจากบ้านเป็นคนสุดท้าย โจทย์ยากของวันนี้คือเธอจะขับรถคันไหนไปทำงาน หรูไปก็ไม่ได้อีกเดี๋ยวมีคนเขม่น ไปๆ มาๆ จึงตัดสินใจขับรถอีโคคาร์สีแดงสดของพี่ชาย ที่อิงฟ้าเองก็ไม่รู้ว่าพี่ชายเธอจะซื้อมาทำไมเหมือนกัน
“โชคดีนะลูก”
“ค่ะแม่” อิงฟ้ายืนโบกไม้โบกมือให้ผู้เป็นแม่ที่ยืนส่งอยู่หน้าบ้าน จากนั้นเธอก็ขับรถตรงไปยังโรงเรียน โดยพี่ชายเธอฝากเรื่องนี้ไว้กับเลขาส่วนตัวแล้ว
เมื่ออิงฟ้ามาถึงโรงเรียน ก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามารับเธอไปพบกับหัวหน้าระดับอนุบาล จากนั้นการทำงานวันแรกในฐานะพี่เลี้ยงของเธอก็ได้เริ่มขึ้น
“สูงอีกค่า สูงอีก” เสียงสดใสของเด็กๆ ต่างตะโกนบอกเพื่อให้พี่เลี้ยงคนใหม่ยกตัวเองให้สูงขึ้นไปอีก อิงฟ้าพ่นลมหายใจออกปากหนัก นั่นเพราะหงุดหงิดกับความสูงของตัวเองที่มันพอดีกับมาตรฐานหญิงไทยมากไปหน่อย ทำให้เธอยกเด็กๆ ได้ไม่สูงมาก
จากนั้นพี่เลี้ยงคนใหม่ก็เข้าไปเล่นสไลเดอร์กับเด็กๆ อย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะของเด็กระดับเตรียมอนุบาล ดังขึ้นแทบตลอดเวลาก็ว่าได้
ที่โรงเรียนเน้นการเรียนการสอนแบบบูรณาการ เน้นเล่นให้เด็กๆ ได้ทำเองมากกว่าการยัดเยียดวิชาความรู้ เรียกได้ว่าสอนทุกอย่างให้เหมาะสมตามวัยของเด็กเป็นหลัก นักเรียนชอบผู้ปกครองก็ชอบ เรียกได้ว่าวินๆ กันทั้งคู่
“พี่อิ้งขอพักก่อนนะคะ หายใจไม่ทันแล้ว”
“ปีนอีกรอบเดียวนะคะ นะคะพี่อิ้ง”
“โอเคค่ะ ไปกัน” อิงฟ้าหอบแฮ่กๆ แต่ก็ใจร้ายไม่ลง เพราะแววตาของเด็กๆ ที่ส่งมามันทำให้เธอใจอ่อนได้เสมอ แม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อยแต่อิงฟ้าก็ยอมเป็นม้าให้เด็กๆ ได้ขี่หลังแล้วค่อยๆ คลานไปมารอบๆ
และเพราะเล่นกับเด็กๆ ทั้งวัน พอกลับถึงบ้านอิงฟ้าถึงกับสลบ อรทัยเข้ามาดูลูกสาวที่หลับไปทั้งชุดทำงานก็ได้แต่ส่ายหน้าให้ ก่อนจะปลุกให้อิงฟ้าไปอาบน้ำอาบท่า
“ค่าแม่” คนงัวเงียเอ่ยตอบ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ทำตามที่รับปาก เพราะตื่นเช้ามาอิงฟ้าก็ยังคงอยู่ในชุดเดิม แต่น่าแปลกที่เธอกลับมีความสุข และยังคงไปทำงานด้วยรอยยิ้มเหมือนเมื่อวาน
“พี่อิ้งงงง” เสียงเด็กๆ ที่เอ่ยทักอิงฟ้าทันทีที่เห็นหน้าดังขึ้น ก่อนที่เด็กๆ จะกรูเข้ามาหาพี่เลี้ยงคนใหม่อย่างพร้อมเพรียง เรียกได้ว่ามาทำงานแค่วันเดียว แต่อิงฟ้ากลับทำให้เด็กรักและอยากเข้ามาหาได้มากกว่าที่คิด
หลังจากนี้เด็กๆ เตรียมอนุบาลทั้งห้าห้อง อาจได้เรียกหาพี่อิ้งๆ คนนี้ทั้งวันก็เป็นได้
