บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 ตอนที่ 1

หนึ่งเดือนที่แสนเศร้าผ่านพ้นไป แต่ความมัวหมองที่กัดกินหัวใจยังคงเกาะแนบสนิทอยู่อย่างนั้น วิถีชีวิตเดิมๆ ก็ยังดำเนินไปตามครรลองของมันและหญิงสาวก็เช่นกัน เธอยังคงต้องใช้ลมหายใจที่เหลืออย่างอับเฉาเดียวดาย เพียงเพื่อให้เวลามันหมดไปแต่ละวันเท่านั้น

"เร็วเข้าโมบาย รถเมล์จะมาแล้วนะ"

"อ๋อ...อืมๆ เสร็จแล้วล่ะ" บัวบงกชหันมองเพื่อนที่ลุกลี้ลุกลนหอบสัมภาระเตรียมตัวออกไปรอรถเมล์ตรงป้ายหน้ามหาวิทยาลัย เธอจึงรีบเก็บงานที่ทำค้างอยู่บ้าง ก่อนที่ทั้งคู่จะรีบลุกจากซุ้มนั่งเล่นเดินออกไปด้วยกัน

"เอ...นั่นพ่อบุญธรรมเธอหรือเปล่าโมบาย เขามารับแน่ะ สงสัยวันนี้ฉันต้องกลับคนเดียวแล้วล่ะ"

สายตาหันมองตามเสียงบอกกล่าวของเพื่อนโดยไม่ได้ปริปากตอบหรือแสดงความคิดเห็น รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่เห็นเขาอยู่ที่นี่ ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่มารดาเสียชีวิตไป

หรือก่อนหน้านั้นต่อให้เขามารับมาส่งก็ไม่ได้บ่อยครั้งนัก และมักมีผู้ให้กำเนิดของเธอติดสอยห้อยตามมาด้วยตลอด

"เรากลับด้วยกันก็ได้ เดี๋ยวฉันจะบอกเขาเองว่าให้แวะไปส่งเธอด้วย"

"หืม...ไม่ล่ะ พ่อบุญธรรมเธอดูน่ากลัวจะตาย อีกอย่างฉันเกรงใจขอกลับรถเมล์เหมือนทุกวันแหละดีแล้ว ไปก่อนนะเดี๋ยวไม่ทัน เย็นๆ แบบนี้รถติดจะแย่"

เด็กสาวรีบปลีกตัวและโบกมือลาเพื่อนเมื่อรู้ตัวว่าวันนี้คงไม่ได้เดินทางกลับด้วยกันอย่างทุกๆ วัน ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนจับสัมภาระแน่นไว้กับตัว นึกทำอะไรไม่ถูกด้วยไม่ค่อยชินกับสถานการณ์แบบนี้

มองเพื่อนเดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปจนลับตาพอหันกลับมายังลานจอดรถอีกสายตาก็สะดุดกับร่างใหญ่ที่ยืนห่างอยู่เพียงคืบ

"ฉันมารับ"

"เอ่อ...ค่ะ"

"ขึ้นรถสิรออะไรอยู่เพื่อนเธอคงขึ้นรถเมล์ไปแล้วล่ะ ฝนกำลังจะตกเราก็ต้องรีบกลับ" เขาคว้าเอาหนังสือและสัมภาระที่เธอกอดเอาไว้มาถือแล้วเดินกลับไปที่รถ เปิดประตูด้านข้างคนขับทิ้งเอาไว้ก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อทำหน้าที่พลขับ

เขาเร็วมาก...จนเธอต้องรีบก้าวเท้าตามและขึ้นรถด้านฝั่งที่เขาเปิดประตูทิ้งเอาไว้ให้ รถออกตัวช้าๆ เพราะสภาพการสัญจรที่ค่อนข้างหนาแน่น บรรยากาศรอบตัวเธอก็เริ่มรู้สึกอึดอัดชวนวิงเวียนตามไปด้วย

"เมารถเหรอ หรือไม่สบาย"

"เปล่าค่ะ หนูเหนื่อย"

"ถ้าอย่างนั้นก็แวะหาอะไรกินกันก่อนนะ โฮปไปออกค่ายอีกหลายวันกว่าจะกลับ ไม่ต้องทำกับข้าวให้วุ่นวายกันอีก อยู่กันแค่สองคน"

เขาเหมือนจะบอกกับเธอแต่ก็คล้ายพร่ำไปไม่ยี่หระให้เธอออกความเห็น หญิงสาวนั่งสอดสายตาออกไปด้านนอกตัวรถ เหม่อแลไปเรื่อยเปื่อยเพื่อบรรเทาความอึดอัดที่ไม่เคยคุ้นชิน เมื่อต้องอยู่กันสองต่อสองแบบนี้

ถึงแม้มีฐานะเป็นพ่อบุญธรรมลูกเลี้ยงกัน แต่ความสัมพันธ์ค่อนข้างย่ำแย่ เริ่มจะมีพูดคุยกันบ้าง ก็หลังจากที่มารดาเสียชีวิตไปนี่แหละ เพราะความไม่มีที่ไป เธอก็ต้องจำยอมอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกับสองพ่อลูกแม้จะไม่ได้ความเกี่ยวข้องใดๆ ทางสายเลือดกันเลย แต่ก็เป็นทางเลือกเดียวในตอนนี้

องศาเองเป็นรุ่นน้องแม่เธอหลายปีแต่กลับมีลูกชายซึ่งอายุมากกว่าเธอ ช่องว่างระหว่างวัยภายในครอบครัวจึงค่อนข้างสลับซับซ้อน และยากยิ่งที่คนนอกจะมองในแง่ดี

รถเลี้ยวเข้าจอดในร้านอาหารเล็กๆ บรรยากาศสบายๆ แห่งหนึ่ง ก่อนฝั่งพ่อบุญธรรมจะเปิดประตูรถออกมาเดินนำหน้าเข้าไปนั่งด้านใน กำแพงครึ่งหนึ่งกันด้วยกระจกใสทำให้มองเห็นด้านนอกชัดเจน การตกแต่งเน้นธรรมชาติและสวยงามสบายตาไม่หรูหราหรือเรียบง่ายจนเกินไปพนักงานเสิร์ฟนำเมนูมาวางให้กับทั้งคู่ บัวบงกชจึงสั่งอาหารจานเดียวง่ายๆ กับเครื่องดื่ม แอบเหลือบพ่อบุญธรรมกรายๆ ด้วยปลายหางตา เมื่อเขาสั่งเบียร์ ช่วงหลังมานี้สังเกตเห็นว่าองศาเมาหลับไปบ่อยมาก คงเพราะความเครียดและความเสียใจที่มีไม่ต่างกัน

แต่เขาก็ค่อนข้างควบคุมตัวเองได้ดี ไม่เอะอะโวยวายหรือระรานใครให้เกิดปัญหา มักนั่งดื่มคนเดียวเงียบๆ อยู่ในโลกส่วนตัวที่ยากจะเข้าถึง

"กินแค่นี้เมื่อไหร่จะโต..." สายตาคมกล้าเหลือบขณะตักอาหารเข้าปากตัวเองอีกฝ่ายหลบแววตาดุดันนั้นอัตโนมัติเหมือนเคย เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกตำหนิ

"คุณเฮิรตซ์ดื่มเบียร์มากขนาดนั้นเดี๋ยวจะขับรถไม่ไหวนะคะ" เธอเบี่ยงเบนความสนใจ ติงเรื่องการดื่มแอลกอฮอลล์ของเขาบ้าง ซึ่งปกติไม่ค่อยมีโมเม้นแบบนี้หรอก ส่วนมากจะเป็นประเภทถามคำตอบคำด้วยกันทั้งคู่เสียมากกว่า

"พากลับถึงบ้านได้ก็แล้วกัน ไม่ต้องห่วงหรอก" ว่าแล้วเขาก็จัดการรวบช้อนวางบนจานที่เพิ่งรับประทานอาหารได้ไปไม่ถึงครึ่ง แล้วยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มซ้ำอย่างไม่รู้สึกรู้สาต่อรสชาติของมัน

"กับข้าวเหลือตั้งเยอะ หนูกินคนเดียวไม่หมดนะคะ" หญิงสาวอ้อมแอ้มบ่นกับบรรดาอาหารที่พ่อบุญธรรมของเธอสั่งเอาไว้เต็มโต๊ะ แต่แล้วเขากลับอิ่มเสียดื้อๆ ปล่อยให้เธอรับผิดชอบในส่วนที่ไม่ใช่ของตัวเองโดยใช่เหตุ

"ก็เอากลับไปกินที่บ้าน พรุ่งนี้เช้าจะได้ไม่ต้องทำกับข้าว"

"..." เธอรวบช้อนและยกน้ำผลไม้ปั่นดื่มบ้าง ก่อนจะนั่งอย่างสงบรอเขาบอกให้พนักงานเก็บเงิน ซึ่งคงอีกนานเมื่อมองดูปริมาณเบียร์ในเหยือกที่เพิ่งกดเติมมาใหม่ ชั่วพริบตาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง องศากรอกเบียร์เข้าปากเกือบจะสามเหยือกไปแล้ว!

"คุณเฮิรตซ์หนูมีการบ้านเยอะนะคะ"

"อ๋อ...งั้นกลับเลยก็ได้" เหมือนเขาจะได้สติรีบกวักมือพนักงานในร้านมาคิดเงินค่าอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมด และนำอาหารที่ยังไม่ได้ทานใส่กล่องให้หญิงสาวหิ้วกลับไปด้วย

เกือบหกโมงเย็นตะวันโพล้เพล้เย็นย่ำเข้าไปทุกทีทำให้คนนั่งเบาะข้างกระสับกระส่ายมองดูแต่นาฬิกาจนสารถีต้องเอ่ยปากถามเมื่อเส้นทางยังห่างไกลกันนักจากบ้านที่อาศัย

"นัดใครเอาไว้หรือเปล่า" น้ำเสียงขององศาผิดเพี้ยนเล็กน้อย ใบหน้าคมคายแดงระเรื่ออาจเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ที่ดื่มเข้าไปซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่าก่อนหน้าเขาจะจัดเบาๆ มาบ้างแล้วก็เป็นได้ เป็นที่รู้กันในบ้านว่าของมึนเมาทุกชนิดเป็นที่โปรดปรานนักสำหรับเขาในช่วงนี้

เมาแล้วมันดีหรือไร...

เมาแล้วจะผ่อนคลายหายเศร้าอย่างนั้นหรือ องศาถึงได้เกลือกกลั้วแต่เมไรไม่ยอมห่าง เช่นนั้นแล้วหากเธอปรารถนาอยากดื่มด่ำให้ความทุกข์ที่มีในใจเจือจางลงบ้างก็คงดีไม่น้อย

"ว่าไง..."

"เปล่าค่ะ ก็หนูบอกไปแล้วว่ามีการบ้านเยอะ"

"อ๋อ...ขอโทษทีนะเดี๋ยวจะช่วยดูให้ก็แล้วกัน" ชายหนุ่มตอบส่งๆ พยายามตั้งมั่นกับการทำหน้าที่พลขับ ในขณะที่รู้ตัวถึงความไม่ปกติ วันนี้เขาดื่มตั้งแต่เช้ายันบ่าย จวนเจียนจะพลบค่ำอยู่รำไรก็ยังไม่รู้สึกอยากจากน้ำเมานั้นแม้แต่น้อย แทบอยากกลืนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมันให้รู้แล้วรู้รอดจะได้ไม่ต้องรู้สึกรู้สาต่อความในใจที่รุมเร้าไม่เหือดหาย

การสูญเสีย...ทำให้เขาเสียศูนย์ แต่ก็ต้องหักดิบหัวใจให้เด็ดเดี่ยวเพราะภาระหน้าที่มันค้ำคอ ก็มีบ้าง....ที่วูบหนึ่งความอ่อนไหวจะฉกฉวยโอกาสเข้ามาเกาะกร่อนหัวใจ

"คุณเฮิรตซ์เมานะคะ ให้หนูขับดีกว่าไหมอีกตั้งไกลกว่าจะถึงบ้าน อีกอย่างถ้ามีตำรวจระหว่างทางต้องถูกจับแน่ๆ ค่ะ"

"เรามีใบขับขี่เหรอ...ค่าเท่ากันแหละ ฉันยังไหว" รู้สึกว่าแอลกอฮอลล์มันจะไม่ออกฤทธิ์เสียทีเดียวเมื่อดื่มมันเข้าไป แต่ค่อยๆ ซ่านซึมสู่เลือดเนื้อทีละน้อยทำให้สมองรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างดี

เขาไม่ใช่คนขาดสติแม้จะถูกกลบกลืนด้วยอำนาจสุราก็ตาม เพียงแต่ต้องเพ่งสมาธิให้มากกว่าเก่าก็เท่านั้น

กว่าการเดินทางจะดำเนินถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพก็เล่นเอาผู้โดยสารหัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่เป็นจังหวะ ลุ้นตัวโก่งกับความปลอดภัยของทั้งเธอและเขา

องศาเมาหนักแต่ก็ยังพยุงร่างเข้าในบ้านได้ด้วยตัวเองส่วนบัวบงกชนั้นคอยจับตาดูห่างๆ เมื่อเห็นว่าพ่อบุญธรรมของเธอค่อนข้างดูแลตัวเองได้แล้ว จึงถอยหลบเข้าห้องไปจัดการธุระของตัวเองเงียบๆ

เพราะต่างคนต่างอยู่มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ความผูกพันจึงคงระดับเอาไว้แค่คนที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันเท่านั้น ความสนิทสนมก็เหมือนจะเลือนลางตามไปด้วย แม้จะมีความเป็นห่วงอยู่ลึกๆ บัวบงกชก็ยังไม่คิดจะคอยดูแลเขาเฉกเช่นบุตรสาวพึงกระทำต่อบิดา

ก็เพราะเขา...ไม่ใช่พ่อของเธอจริงๆ เสียหน่อย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel