บทที่ 3: เริ่มเกม【2】
“จะเป็นไปไม่ได้ได้ยังไง ในเมื่อฉันไม่ต้องบวกเวลาเดินทางเพราะฉันอยู่ข้างห้องนายนี่เอง”
ในที่สุด นัชฌานก็เฉลยออกมาจนได้ แปรงสีฟันในมือนักร้องหนุ่มตกลงสู่พื้นทันทีที่เขาได้ยินความจริงจากริมฝีปากชมพูระเรื่อ
“อะไรนะ อยู่ข้างห้องฉันเหรอ?”
“ใช่ ท่านประธานคิมให้ฉันย้ายมาอยู่ห้องข้างๆ นาย จะได้คอยจับตาดูพฤติกรรมได้ง่ายๆ” คนตัวเล็กว่าไม่ยี่หระ
ลีแทจินก็ลืมไปเลยว่าห้องที่เขาอยู่นั้นเป็นห้องที่ทางบริษัทต้นสังกัดเป็นคนจัดหาให้ และในอพาร์ตเม้นต์เดียวกันกับเขาก็ยังมีอีกหลายห้องที่ทางบริษัทซื้อเอาไว้เพื่อให้นักร้องได้พักอาศัยตามสัญญาจ้างที่ทำการตกลงกัน แต่เขาไม่คิดว่าผู้จัดการส่วนตัวจะได้สิทธิครอบครองห้องชุดสุดหรูเหมือนนักร้องเหล่านั้นด้วย
เห็นสีหน้าของลีแทจินก็พอจะเดาได้ว่าเขาคิดอะไร นัชฌานจึงเฉลยข้อข้องใจโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากถาม
“ฉันได้อภิสิทธิ์นี้ก็เพราะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของนาย การอยู่ใกล้ๆ เพื่อจับตาดูพฤติกรรมมีความจำเป็นพิเศษ”
ยิ่งฟังก็ยิ่งหงุดหงิดไอ้ประธานคิมบ้าบอนั่น เขาเป็นนักร้องนะ ไม่ใช่นักโทษสักหน่อย มาคอยตามทุกฝีก้าวอย่างนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน! แต่เอาเถอะ อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เขาก็จะได้เช็คบิลท่านประธานคิมที่เคารพรักแล้ว รับรองว่าเขาเอาคืนอย่างเจ็บแสบแน่
ลีแทจินแสร้งพยักหน้าทำเป็นเข้าใจก่อนก้มลงเก็บแปรงสีฟันบนพื้นขึ้นมาถือดังเดิม
“นายคงจะเหนื่อยสินะ พักผ่อนตามสบาย เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อน รอหน่อยแล้วกัน” ว่าจบก็ปลีกตัวหายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้นัชฌานเลิกคิ้วสูงมองอย่างสงสัยที่จู่ๆ เขาก็พูดดีด้วยขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
มองแวบเดียวก็เห็นถึงพิรุธ ดูท่าทางงานนี้ลีแทจินมีแผนอะไรในใจแน่ๆ
ถึงจะมองเห็นพิรุธจากคำพูดแปลกๆ ของนักร้องในความดูแล ทว่าตั้งแต่ออกจากที่พักจนกระทั่งถึงบริษัทที่จะใช้เป็นสถานที่ในการแถลงข่าว ก็ยังไม่เห็นว่าลีแทจินจะมีทีท่าลงมือทำอะไรสักอย่าง นอกจากเชื่อฟังคำสั่งอย่างเรียบร้อย เรียบร้อยจนนัชฌานเป็นฝ่ายระแวงอย่างเสียมิได้ ทั้งๆ ที่เขาควรจะเป็นฝ่ายทำให้ลีแทจินระแวงแท้ๆ หรือว่ามันอาจจะเป็นบุคลิกอีกด้านที่นัชฌานไม่เคยรู้มาก่อน?
นัชฌานครุ่นคิดไม่ตกพลางลอบมองคนข้างๆ ที่นั่งนิ่งมาตลอดการเดินทางจนกระทั่งถึงที่หมาย ทันทีที่รถรับส่งศิลปินจอดสนิทบริเวณหน้าบริษัท บรรดานักข่าวที่มารอเตรียมทำข่าวก็พากันกรูเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังพร้อมกับยิงแสงแฟลชใส่รัวๆ นัชฌานก็รีบหันไปบอกให้ชายหนุ่มเตรียมตัวรับมือกับกองทัพนักข่าวก่อนลงจากรถทันใด
“เดี๋ยวพอลงจากรถ นายจะโดนนักข่าวรุม ตอนนี้ยังไม่ต้องตอบคำถามอะไร ให้รีบเข้าไปข้างในแล้วขึ้นไปที่ห้องท่านประธานคิมเลย ถ้าถูกถามก็ให้บอกว่าจะตอบทุกคำถามตอนแถลงข่าวนะเข้าใจมั้ย”
ทว่าลีแทจินกลับไม่สนใจนักพลางคว้าแว่นตาดำขึ้นมาสวม “ไม่ต้องมาสั่ง ฉันรู้ดีว่าควรทำอะไร”
พูดเพียงเท่านั้นก็เปิดประตูลงจากรถ ทักทายนักข่าวอย่างคล่องแคล่วขณะที่นักข่าวต่างพากันระดมถามคำถามราวกับปืนกลทันทีที่เห็นว่านักร้องหนุ่มปรากฏตัว
“ผมขอตอบทุกคำถามในงานแถลงข่าวนะครับ” ลีแทจินว่าสั้นๆ ก่อนจะหลบเข้าไปในตัวอาคารโดยมีพนักงานรักษาความปลอดภัยกันไม่ให้นักข่าวตามเข้ามารบกวน
นัชฌานมองการกระทำของชายหนุ่มพลันถอนหายใจโล่งอกที่เขายอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี หากแต่คิ้วขวาที่กระตุกขึ้นลงไม่หยุดนั้นไม่ทำให้เขาวางใจได้เลยว่าการแถลงข่าวครั้งนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่นตามที่หวังไว้
การแถลงข่าวครั้งนี้ของลีแทจินค่อนข้างเป็นงานใหญ่กว่าครั้งก่อนๆ ตามความประสงค์ของคิมแฮซูที่ต้องการให้นักร้องหนุ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งในภาพลักษณ์ใหม่ที่ต่างไปจากเดิม ซึ่งเขาได้ปรึกษากับนัชฌานแล้วว่าการแถลงข่าวเพื่อขอโทษเรื่องการทะเลาะวิวาทของเขาในครั้งก่อน เสมือนเป็นการให้คำมั่นสัญญาว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองจากนักร้องหนุ่มมาดแบดบอยในชีวิตจริงมาเป็นเพียงการแสดงหน้าเวทีเท่านั้น และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมลีแทจินจึงต้องซ้อมการตอบคำถามสื่อมวลชนจนดึกดื่นอย่างนั้น
หากแต่อากัปกิริยาที่ดูสบายอารมณ์ผิดปกติของเขานั้น ทำให้แม้แต่คิมแฮซูเองก็รู้สึกได้ถึงเขาจะรู้ดีว่าชายหนุ่มไม่เคยให้ความสนใจกับการแถลงข่าวเลยสักครั้ง ทว่าครั้งนี้ผิดปกติเกินไปตรงที่ลีแทจินยอมทำตามทุกคำสั่งอย่างว่าง่าย ยิ่งมองก็ยิ่งมีข้อกังขา อดหันไปกระซิบถามนัชฌานซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ระหว่างรอนักร้องหนุ่มแต่งหน้าอยู่อย่างเสียมิได้
“คุณว่ามันแปลกๆ มั้ยผู้จัดการ”
“อะไรเหรอครับ”
“ก็ไอ้แทจินไง คุณว่าวันนี้หมอนั้นดูแปลกๆ พิกลมั้ย”
นัชฌานพยักหน้า เขาว่าแล้วเชียวว่าเขาไม่ได้รู้สึกไปเองคนเดียวแน่ๆ “ครับ ดูเชื่อฟังเกินไป”
“นั่นสิ ผมว่านะ หมอนั่นต้องคิดจะทำอะไรอยู่แน่ๆ” สีหน้าของคิมแฮซูบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ไว้ใจชายหนุ่มหน้าคมที่นั่งให้ช่างแต่งหน้าบรรเลงสีสันลงบนใบหน้าเลยสักนิดก่อนจะหันมาทางนัชฌาน “ผมต้องฝากให้คุณผู้จัดการช่วยดูแลด้วยนะครับ”
“ครับ” นัชฌานเองก็ไม่อยากให้ความหวังอะไรมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดไม่มั่นใจตัวเองขึ้นมากับการปราบพยศนักร้องคนนี้ทั้งที่ประสบการณ์ที่สั่งสมมาก็มากพอตัว
สติสัมปชัญญะของนัชฌานกลับมาอีกครั้งเมื่อลีแทจินแต่งหน้าเสร็จ เขาเดินตรงมายังประธานใหญ่และผู้จัดการส่วนตัวพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเริงร่า
“เอ้า รออะไรกันอยู่ ไปที่ห้องประชุมกันเร็วเข้า ป่านนี้นักข่าวพวกนั้นมานั่งรอหน้าสลอนกันแล้วมั้ง”
ไม่รอคำตอบใดๆ ว่าจบก็เดินผละออกจากบริเวณนั้นทันที ปล่อยให้คนทั้งคู่มองตามตาปริบๆ
“วันนี้มาแปลกจริงๆ ด้วยแฮะ” คิมแฮซูเปรยขึ้นเบาๆ รั้งท้ายให้คนตัวเล็กได้ขบคิดตามจนกระทั่งชายหนุ่มเดินหายลับไปจนสุดสายตา
ห้องประชุมใหญ่ถูกจัดให้กลายเป็นห้องแถลงข่าวชั่วคราว บรรดานักข่าวและช่างภาพที่นั่งรอการมาถึงของลีแทจินต่างพากันส่งเสียงจอแจทันทีที่ร่างสูงเดินเข้ามาในห้อง เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นไม่หยุดจนกระทั่งชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งยังเก้าอี้ตรงโต๊ะกลางเวทีที่จัดไว้ให้สำหรับเขา ตามมาด้วยผู้จัดการส่วนตัวและประธานใหญ่ของบริษัทที่เข้ามานั่งขนาบข้างกันคนละฝั่ง
สำหรับนักข่าวนั้นดูค่อนข้างจะประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าที่นั่งตำแหน่งผู้จัดการเป็นของชายหนุ่มหน้าอ่อนแทนที่จะเป็นผู้จัดการรูปร่างอ้วนท้วมคนเดิม ก่อนที่ความฉงนนั้นจะถูกไขข้อข้องใจทันทีที่นัชฌานคว้าไมค์มาประกาศเพื่อเริ่มการแถลงข่าว
“สวัสดีสื่อมวลชนทุกท่าน ผมนัชฌาน ผู้จัดการส่วนตัวและตัวแทนของศิลปินต้องขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่านที่สละเวลาอันมีค่ามาร่วมงานแถลงข่าวของไลเกอร์หรือลีแทจินในวันนี้ และก็ขออภัยแทนศิลปินสำหรับการกระทำชั่ววูบอันเป็นเหตุให้ต้องจัดงานแถลงข่าวครั้งนี้ขึ้น สำหรับวันนี้ ผมหวังว่าคำถามของทุกท่านจะได้รับการคลายข้อสงสัยทุกประการครับ”
เสมือนเป็นการเปิดตัวว่าเขาเป็นผู้จัดการคนใหม่ ความน่ารักและสำเนียงเกาหลีแปร่งๆ สร้างความฮือฮาจากกลุ่มนักข่าวสาวๆ ได้เล็กน้อย แต่ก็เพียงชั่วพริบตาเดียวก่อนที่ความสนใจทั้งหมดจะเบนไปยังลีแทจินที่รับไมโครโฟนมาจากผู้จัดการเมื่อครู่
“สวัสดีครับทุกท่าน ผมลีแทจิน ผมได้คิดทบทวนการกระทำของผมในคืนก่อนแล้ว ผมเห็นว่าการกระทำนั้นช่างเป็นการกระทำที่แย่มาก ผมต้องขออภัยทุกท่านสำหรับความโง่เขลาของผมด้วย” ว่าจบ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนโค้งคำนับเป็นการขอโทษ
คิมแฮซูเห็นดังนั้นก็ลอบถอนหายใจที่การแถลงข่าวเริ่มต้นไปด้วยดี แถมการตอบคำถามนักข่าวหลังจากการขอโทษของลีแทจจินก็เป็นไปอย่างราบรื่นอีก จนทำให้ประธานใหญ่โล่งใจกับการวิตกกังวลก่อนหน้าพลันหันไปทางผู้จัดการใหม่เล็กน้อยพลางพยักหน้าเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเขาพอใจกับการประเดิมงานแรกของนัชฌานเพียงใด
แต่ถึงคิมแฮซูจะโล่งใจแล้ว ทว่านัชฌานกลับยังไม่วางใจดี เขายังคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นไม่ชอบมาพากล และมันก็เกิดขึ้นจริงเสียด้วยทันทีที่ลีแทจินตอบคำถามของนักข่าวเกี่ยวกับคืนวันเกิดเหตุเสร็จสิ้น
“ผมต้องขอขอบคุณนักข่าวทุกท่านอีกครั้งที่ให้ความสนใจและขอโทษกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำของผม วันนี้ถือว่าเป็นโอกาสอันสมควรแล้วที่ผมจะต้องเปิดเผยความจริงเสียที”
“ความจริงอะไรคะ?” นักข่าวสาวคนหนึ่งถามแทรกขึ้นท่ามกลางความฉงนของทุกชีวิตภายในห้องประชุม
ลีแทจินเหยียดยิ้มเล็กน้อย “ความจริงที่ว่าทำไมผมต้องแสร้งทำตัวเป็นปัญหาอย่างนี้ไงครับ”
สิ้นเสียงเขา เสียงจอแจก็ดังขึ้นทันที คิมแฮซูหันมองหน้านัชฌานพร้อมชูเอกสารสคริปต์การพูดในมือ ริมฝีปากขยับพอให้อีกฝ่ายจับใจความได้ว่า ‘มันไม่มีในสคริปต์’
นัชฌานรู้ทันทีว่าลีแทจินกำลังจะตลบหลังแล้ว ถึงจะไม่รู้ว่านักร้องหนุ่มมีแผนจะทำอะไร แต่สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้คือการพุ่งเข้าไปแย่งไมโครโฟนเท่านั้น ทว่าลีแทจินไวกว่า คว้าเอาไมโครโฟนกรอกเสียงลงไปเรียบร้อย
“ที่ผมต้องทำตัวก้าวร้าวอันธพาลนั้นก็เพราะผมต้องการประท้วงการกระทำของท่านประธานคิมที่บังคับให้ผมเซ็นสัญญาทาสครับ”
“ยังไงคะ ช่วยอธิบายให้ชัดเจนกว่านี้ได้มั้ย”
ประเด็นแรกของการแถลงข่าวถูกปัดตกไปทันที ลีแทจินปั้นหน้าเศร้า พยักหน้าก่อนเริ่มอธิบายช้าๆ
“อย่างที่รู้กันว่าผมต้องรับผิดชอบพ่อที่อยู่ตัวคนเดียวและผมก็เติบโตในวงการนี้จากการเป็นเด็กส่งของเหมือนพ่อมาก่อน ผมจึงต้องทำงานเพื่อหาเงินไปจุนเจือครอบครัว ท่านประธานคิมรับทราบข้อนี้ดีจึงใช้มันเป็นข้อต่อรองให้ผมต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำแลกกับจำนวนค่าตัวที่เขาค้างจ่ายอยู่ และเขาก็ยังมัดมือชกให้ผมเซ็นสัญญาหักเงินค่าตัวแปดสิบเปอร์เซ็นต์หากยอดขายผมตกลง แถมยังปลดผู้จัดการควอนออก เอาคนใหม่มาแทนเพื่อจะได้ดูแลผมทุกฝีก้าว แม้แต่เงินสักวอนก็ยังไม่ได้แถมยังรุกล้ำความเป็นส่วนตัวถึงที่พักอีก มันจึงเป็นเหตุผลที่ผมต้องทำให้เขารู้ว่าผมไม่ใช่สินค้าไร้ชีวิตที่เขาจะควบคุมได้ นักข่าวทุกท่านได้โปรดเห็นใจผมด้วยครับ”
พูดจบ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนโค้งตัว ขณะที่บรรดานักข่าวเบนความสนใจไปที่คิมแฮซูที่นั่งหน้าเอ๋อทันที
“จริงหรือเปล่าคะท่านประธานคิม คุณทำสัญญาหักเงินค่าตัวนักร้องแปดสิบเปอร์เซ็นต์อย่างที่ไลเกอร์ว่าจริงหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ...” คิมแฮซูพูดไม่ออก สาบานได้ว่าเขาเห็นลีแทจินยิ้มให้แวบหนึ่งก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าเศร้าสลดอย่างรวดเร็ว
นี่เขาเสียท่าให้แล้วล่ะสินะ!
ทันทีที่เห็นทุกอย่างเป็นไปตามการคาดหวัง ลีแทจินก็ผุดลุก เดินออกจากบริเวณนั้น ปล่อยให้คิมแฮซูรับหน้ากับนักข่าวที่ยิงคำถามใส่เขาอลหม่าน นัชฌานรีบตามหลังเขาออกมาทันใดก่อนที่จะถูกนักข่าวรุมไปอีกคน ก่อนจะวิ่งมาดักหน้านักร้องหนุ่มเมื่อพ้นจากห้องประชุมแล้ว
“นายทำแบบนี้เพื่ออะไร” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นก้องไปทั่ว เป็นครั้งแรกเลยที่นัชฌานตะคอกใส่ลีแทจิน แต่อย่าหวังเลยว่ามันจะทำให้คนตรงหน้าสลดได้แม้แต่เสี้ยววินาที
“แล้วนายล่ะมาเป็นผู้จัดการฉันเพื่ออะไร” เขายกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ถามอย่างยียวน
“ฉันมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบพฤติกรรมของนาย นายทำแบบนี้เท่ากับว่าไม่ให้ความเคารพฉันในฐานะผู้จัดการเลยสักนิด!”
“ก็ฉันไม่ได้ขอ นายมาของนายเอง ประธานคิมนี่อีก จู่ๆ ก็มาทำสัญญาบ้าบออะไรก็ไม่รู้ แถมยังส่งนายมาอีก พวกนายหาเรื่องกันเองทั้งนั้น ผู้จัดการควอนเป็นดูแลก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ” ลีแทจินตวาดขึ้นมาบ้าง
“นี่นายคงไม่รู้สินะว่าที่ฉันมาก็เพราะผู้จัดการควอนขอร้องฉันให้มา ส่วนเขาขอลาออกก็เพราะทนการกระทำของนายไม่ไหว รู้ไว้ซะด้วยว่าพฤติกรรมของนายมันทำให้คนอื่นเอือมระอาแค่ไหนกัน!”
“งั้นเหรอ”
แทนที่จะสำนึก แต่ลีแทจินไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยว ใบหน้าเขาในตอนนี้ดูสะใจเป็นพิเศษที่กวนโมโหผู้จัดการหน้านิ่งคนนี้ได้
“นายต้องกลับไปแก้ข่าวกับฉันเดี๋ยวนี้” นัชฌานออกคำสั่ง ชี้นิ้วไปทางห้องประชุม
ลีแทจินเหลียวกลับไปมองตามปลายนิ้วเรียวก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ฉันเหนื่อย อยากกลับไปนอน” พูดจบก็เดินชนไหล่เล็กไปอย่างไม่ไยดี แต่ก็ไม่วายทิ้งคำพูดส่งท้าย “เกมเริ่มขึ้นแล้ว ชานชาน”
นัชฌานมองแผ่นหลังกว้างเดินจากไปพลางกำหมัดแน่นที่เป็นผู้พ่ายแพ้ในยกนี้
“ได้ อยากเล่นเกม เดี๋ยวผู้จัดการจัดให้...”
