4. ปมอดีต
กาบแก้ว ยอมรับว่าตามใจลูกสาวคนเดียวมาตั้งแต่ต้น อาจจะเป็นด้วยความที่นางมีอันต้องแยกทางกับสามี จึงอยากจะชดเชยความรักความอบอุ่นที่ขาดหายไปของลูกด้วยการทุ่มเทความรัก ความเอาใจใส่โดยการตามใจมาโดยตลอด
วนาลี จึงกลายเป็นคนที่มักจะถืออารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่ บางครั้งก็ห้าวหาญชาญชัย กล้าลุยจนเกินความเป็นหญิง ซึ่งที่เป็นเช่นนั้นอาจจะเกิดจากการที่วนาลี ต้องการปกปิดความอ่อนแอภายในใจก็เป็นได้
กาบแก้ว รู้สึกสงสารความรู้สึกของลูกสาวที่ต้องซ่อนเร้นความเหงา ความว้าเหว่ และอาจจะรวมความกดดันบางอย่างอยู่ในใจด้วย
กาบแก้ว โยนความผิดทั้งหมดไปที่สาคร ผู้เป็นอดีตสามี เพราะนางถือว่าเขาคือต้นเหตุที่ทำให้วนาลีต้องเป็นเช่นนี้ กาบแก้ว ยังจำแววตาแสดงความสงสัยของลูกได้ดี เมื่อครั้งที่วนาลีเห็นผู้เป็นบิดาเก็บเสื้อผ้าออกไปจากบ้าน
“ทำไมพ่อจะต้องขนของออกไปหมดเลย แล้วพ่อจะเอาเสื้อผ้าที่ไหนใส่ล่ะคะ”
คำถามที่ไร้เดียงสาของวนาลีในวัยห้าขวบ มันช่างทิ่มแทงหัวใจคนเป็นแม่อย่างกาบแก้วเหลือเกิน แต่แทนที่ผู้เป็นบิดาอย่างสาคร จะตอบคำถามของลูกสาว เขากลับเดินจากไปอย่างไม่ไยดีกับสายตาของลูกน้อยที่ยืนเกาะประตูรั้วบ้านมองบิดาเดินจากไปด้วยความไม่เข้าใจ
และภาพนั้น ก็เป็นภาพสุดท้ายที่กาบแก้ว กับลูกสาวได้เห็นสาคร
“พ่อเขาทิ้งเราไปมีเมียใหม่แล้วลูก..”
กาบแก้ว บอกกับลูกสาวด้วยความเจ็บปวดใจน้ำตาอาบแก้ม ซึ่งวนาลีเริ่มเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดของแม่ก็ตอนที่โตพอที่จะรู้ความแล้ว
วนาลี อยากจะเกลียดบิดาที่ทอดทิ้งเธอและมารดา โดยที่มารดาไม่ได้มีความผิดสักนิด จะผิดก็ตรงที่มารดาของหล่อนไม่มีมรดก ไม่ร่ำรวยพอที่จะทำให้ความฝันของบิดาเป็นจริง… เท่านั้นเอง..มันช่างโหดร้ายนักกับการที่ถูกทิ้งไปด้วยเหตุผลนี้
หลังจากที่สาคร ได้ก้าวออกไปจากชีวิตของกาบแก้ว และลูกสาวอย่างเลือดเย็นแล้ว เขาก็ไม่เคยหันกลับมามองอีกเลยเป็นเวลานาน
กระทั่งวันหนึ่ง วันที่วนาลี เป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย สาคร ก็มาปรากฏตัวที่บ้านหลังนี้
“ผมคิดถึงลูก อยากจะมาหาแก..”
คำพูดของอดีตสามีนั้น กาบแก้วไม่เชื่อ และตะโกนไล่ให้เขาออกไปจากบ้าน เพราะเกรงว่าเขาจะมาแย่งลูกไปนั่นเอง
“คุณแต่งงานใหม่หลายปีไม่มีลูก ก็เลยจะมาแย่งลูกของฉันยังงั้นหรือ…เอาชีวิตฉันไปดีกว่า ฉันเคยยอมรับบ้านหลังนี้ไว้ เพื่อแลกกับใบหย่าเพื่อให้คุณได้ไปเสวยสุขอยู่กับผู้หญิงคนใหม่ แต่ฉันจะไม่มีวันรับเงินจากคุณเพื่อแลกกับลูกของฉันเด็ดขาด”
“ผมมาเพื่อจะช่วยเหลือให้ลูกมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น…บอกตรง ๆ ว่าผมทนเห็นสภาพลูกโหนรถเมล์ไปเรียนไม่ได้…เงินที่ผมให้คุณไว้ทำไมคุณไม่รู้จักซื้อความสบายให้ลูก ตอนนี้ลูกโตแล้วเข้ามหาลัยแล้ว คุณก็ยังไม่ยอมซื้อรถให้ลูกขับ นี่หรือแม่ที่รักลูก…แล้วดูสภาพบ้านสิ…คุณรักษามันยังไง ถึงได้ทรุดโทรมออกอย่างนี้ ทำไมไม่เอาเงินออกมาใช้ คุณจะเก็บให้รามันขึ้นหรือยังไง ขี้เหนียวไม่เข้าเรื่อง”
กาบแก้ว ไม่พอใจคำพูดของอดีตสามีอย่างมาก นางได้ก่นด่าถึงเรื่องในอดีตจนทำให้สาครไม่สามารถที่จะอยู่นิ่งเฉยได้ จึงเกิดการปะทะคารมกันไปมา คนที่ได้แต่ยืนมองทำ
ตาปริบ ๆ ก็คือวนาลีที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่มองภาพการโต้เถียงระหว่างผู้ให้กำเนิดทั้งสองด้วยความไม่สบายใจ
แต่สุดท้าย สาคร ก็ต้องยอมแพ้เมื่อกาบแก้วขู่จะโทรศัพท์ไปฟ้องคุณหญิงโศรดาผู้เป็นภรรยาใหม่ของสาคร เพียงแค่นี้ฉากความรุนแรงก็จบลงอย่างง่ายดาย
วนาลี จึงได้รับรู้จุดอ่อนไหวของบิดา เพียงแค่ชื่อโศรดา ก็สามารถทำให้คนอย่างบิดาดูหงอลงไปได้ ผู้หญิงคนนั้นช่างมีอิทธิพลกับบิดาเหลือเกิน
จากนั้นมาสาคร ก็ไม่กล้ามาหาวนาลีที่บ้านอีก แต่สาครแอบไปหาลูกสาวที่มหาวิทยาลัย พร้อมกับกำชับไม่ให้วนาลีบอกกาบแก้ว และทุกครั้งที่สาครไปหาวนาลี ก็จะหยิบยื่นเงินทองให้เสมอ จนถึงครั้งล่าสุดที่วนาลีจบการศึกษาในปีนี้ บิดาก็เกริ่นไว้ว่าจะซื้อรถให้หล่อนเป็นของขวัญที่เรียนจบปริญญาตรี
“แม่ตั้งใจจะให้ของขวัญกับลูกที่เรียนจบ..”
กาบแก้วบอกกับวนาลี ในขณะที่สองแม่ลูกกำลังช่วยกันทำอาหารอยู่ในครัว
“อุ๊ย...จริงเหรอคะ” วนาลีมีน้ำเสียงตื่นเต้น
“แต่มีข้อแม้ว่า...ลีต้องหางานทำให้ได้เสียก่อนแม่ถึงจะให้ของขวัญชิ้นนี้”
“โห!..อย่างนี้ลีไม่ต้องรออีกเป็นปีหรือคะแม่”
หล่อนถอนหายใจ ทำหน้าเซ็ง
“ถ้าขยันหน่อยสมัครงานหลาย ๆ ที่ แล้วก็ไม่เลือกงานแม่ว่า..ไม่เกินสามเดือนก็น่าจะได้สักที่หรอก..ลองสมัครทางอินเตอร์เน็ตด้วยสิ แม่เห็นลีเล่นเน็ตอยู่ทุกวันแล้วนี่”
“แม่อย่าลืมนะคะว่าลีเพิ่งเรียนจบ แต่บริษัทที่รับสมัครงานส่วนใหญ่ก็จะรับเฉพาะคนที่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อนทั้งนั้น”
หล่อนพูดคล้ายคนหมดกำลังใจ
“แต่ก็ต้องมีสักที่แหละน่า..ที่เปิดโอกาสให้คนเรียนจบใหม่ ๆ อย่าเพิ่งคิดกังวลไปให้มากนัก ถ้าอยากจะได้ของขวัญก็เร่ง ๆ หางานเข้า”กาบแก้วพูดล่อใจลูกสาว
“ชักอยากรู้แล้วสิ...แม่จะให้อะไรลี..”
วนาลี มองหน้ามารดายิ้ม ๆ
“ก็เราเคยอยากได้อะไรล่ะ เห็นพูดกับแม่หลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือว่าอยากได้ แม่ก็จะให้อยู่นี่ไง ถ้าอยากได้ก็ลองเอาโบว์ชัวร์ของบริษัทรถหลาย ๆ ที่มาเลือกไว้ดูสิ”
นางพูดยั่วน้ำลายอีกฝ่าย
“แม่!..แม่จะซื้อรถให้ลีหรือคะ”
วนาลี อุทานตาโตสีหน้าดีใจ แต่เพียงครู่เดียวหล่อนก็มีสีหน้ากังวลใจเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าบิดาก็เพิ่งจะบอกว่าจะซื้อรถให้หล่อนเช่นกัน
“อ้าว..ทำไมล่ะยิ้มอยู่ดี ๆ เปลี่ยนเป็นหน้าจ๋อยเชียว กลัวหางานทำไม่ได้หรือไงยัยลี..เอาเถอะน่า อีกไม่นานแม่เชื่อว่าลีต้องหางานทำได้แน่ ช่วงนี้แม่จะให้เงินไปเลือกซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าสำหรับไว้ใส่ไปสมัครงานก็แล้วกัน .”
“จบใหม่ ๆ อย่างนี้ ใส่ชุดนักศึกษาไปสมัครก็ได้ไม่มีปัญหาหรอกค่ะแม่..แต่ปัญหาคือ...ชุดที่จะใส่ไปงานแต่งงานของพี่กันพี่สาวยัยเกนี่สิคะ..ไม่รู้จะเลือกแบบไหนดี”
วนาลี ทำหน้ากลัดกลุ้ม
“พี่สาวหนูเกวลิน ที่ลีบอกแม่ว่าจะแต่งงานกับเจ้าบ่าวรุ่นน้องอะไรนั่นหรือเปล่า”
“ค่ะ..แฟนพี่กันชื่อพี่กิตติ อายุอ่อนกว่าพี่กันเป็นสิบปีเลยล่ะค่ะ”
กาบแก้ว พยักหน้ารับรู้ นางไม่เคยรู้จักกับกัลยา แต่รู้จักเกวลิน เพราะเกวลิน เป็นเพื่อนในกลุ่มของวนาลี ที่มีดวงเดือนกับนับพรด้วย ซึ่งทั้งสามคนล้วนเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกัน โดยที่ดวงเดือนเป็นเพื่อนเก่าตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย ส่วนเกวลินกับนับพร มาสนิทสนมกันในช่วงที่วนาลีเรียนที่คณะนิเทศศาสตร์ แต่ดวงเดือนเลือกเรียนคณะอักษรศาสตร์
