3. ดั่งนรกชังสวรรค์แกล้ง
“นี่คุณ… คนที่ซวยน่ะ ชั้น! ”
เสียงแหลมปี๊ดบาดแก้วหูนั้น ช่างเหมือนเสียงที่คุ้นเคยมาก่อน ทำให้นรา หันขวับไปมองทันที และแล้วเขาก็ต้องนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ราวถูกสาปให้กลายเป็นหินในห้าวินาที เมื่อเห็นหน้าของสาวเจ้าคู่กรณีชัดเจน
จะใครที่ไหนอีกเล่า ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงปากจัดที่ปะทะคารมกับเขาบนรถเมล์เมื่อสองวันที่ผ่านมานี่เอง ใบหน้าบูดบึ้ง ปากคอร้ายกาจของเจ้าหล่อน ยังทำให้เขาผวาผู้หญิงอยู่เลย
“ให้ตายเถอะ! กรุงเทพ มันก็กว้างอยู่นะ ทำไมจะต้องมาเจอกันที่นี่ด้วยวะ”
“นึกว่าฉันอยากจะเจอหน้าทุเรศ อย่างนายนักหรือไง”
พอเห็นหน้าคู่อริชัดเจน เจ้าหล่อนก็แหวเข้าใส่นราทันทีเช่นกัน
“ถ้าผมหน้าตาทุเรศ แล้วคนที่หน้าเหมือนปลาน้ำจืดขาดสารไอโอดีนอย่างคุณนี่จะเรียกว่าสวยดูดีงั้นสิ”
นรา สวนกลับอย่างไม่ถนอมน้ำใจเช่นกัน ไม่เคยมีใครว่าเขาหน้าตาทุเรศมาก่อน มีแต่คนชมว่าหล่อทั้งนั้น เจ้าหล่อนช่างไม่มีรสนิยมเอาเสียเลย
“นายเป็นฝ่ายชนฉัน ยังมีหน้ามาว่าฉันอีกเหรอ..แทนที่จะขอโทษ..แย่ที่สุด”
“ขอโทษเหรอ..ทีคุณเหยียบตีนผมบนรถเมล์วันก่อนไม่เห็นได้ยินคำว่าขอโทษสักคำ ใครมันแย่กว่ากันคร้าบ..คุณผู้ยิ้ง...”
นรา ทำน้ำเสียงสูงประชดประชันในตอนท้ายประโยคก่อนจะยกจักรยานขึ้นไปบนถนน
“โรคจิตอย่างนายไม่คู่ควรกับคำขอโทษหรอกย่ะ” หล่อนค้อนขวับ ก่อนจะก้มลงเก็บข้าวของที่ตกเกลื่อนกลาดอยู่กับพื้นอย่างลวก ๆ ด้วยความโมโห
“งั้นคนโรคประสาทจิตฟั่นเฟือนอย่างคุณก็ไม่คู่ควรกับคำขอโทษของผมเหมือนกัน”
"อีตาบ้า..เรื่องอะไรมาว่าฉันเป็นประสาท นายต่างหากที่จิตผิดปกติ แถมยังไม่เป็นสุภาพบุรุษอีกด้วย ขนาดขี่รถมาชนฉันแท้ ๆ นายยังจะมาว่าฉันอีก”
“ผมไม่ได้ชน..แค่เฉี่ยวแล้วคุณก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ผมสิหัวเข่าแตก”
นรา รีบบอก พร้อมกับยกเข่าขึ้นประกอบเป็นหลักฐาน เผื่อให้อีกฝ่ายสำนึกผิด กล่าวคำขอโทษเขาออกมาบ้าง
“นายแค่หัวเข่าถลอกนิดหน่อย แต่ฉันสิ! ข้าวของเสียหาย..ไม่เห็นรึไง!”
หล่อนเงยหน้าไปตวาดเสียงใส่นรา และไม่ยอมมองแผลที่หัวเข่าของเขาเลย
“ผมจะชดใช้ให้ก็แล้วกัน สองร้อยบาทพอไหมสำหรับข้าวของนั่น” นรายื่นข้อเสนอ
“ไม่จำเป็น! เก็บเงินของคุณไว้ไปพบจิตแพทย์เถอะ” หล่อนพูดประชด
“โอ.เค. งั้นก็เจ๊ากันไป เพราะผมก็บาดเจ็บ ส่วนคุณก็ไม่ได้เป็นอะไร แค่ตกใจแล้วก็โยนข้าวของทิ้ง ส่งเสียงร้องกรี๊ด ๆ บอกตรง ๆ นะความจริงคุณนั่นแหละที่เป็นฝ่ายผิดที่ทำให้ผมตกใจเสียงของคุณจนหักรถลงข้างทางแบบนี้”
“นายนั่นแหละผิด…เพราะฉันเดินของฉันไปข้างหน้าดี ๆ นายมาตามหลังฉันก็ย่อมมองเห็นว่ามีคนเดินอยู่ นอกเสียจากนายเจตนาจะกลั่นแกล้งฉัน ใช่แล้ว..นายเจ็บใจเรื่องที่ฉันเหยียบเท้านายบนรถเมล์วันก่อนใช่หรือเปล่า”
หล่อนตั้งประเด็นสงสัย นรายกมือเกาศีรษะไปมาด้วยความหงุดหงิด เขายกมือสองข้างขึ้นมาเหมือนยอมแพ้
“เอาเถอะผมขอโทษก็แล้วกัน ขืนทะเลาะกับผู้หญิงปัญญาอ่อนอย่างคุณก็ทำให้สุขภาพจิตเสียเปล่า ๆ”
นราสรุปจบท้ายแล้วก็รีบปั่นจักรยานกลับบ้านโดยไม่สนใจที่จะไปดูสนามฟุตบอลตามที่ตั้งใจไว้ ปล่อยให้อีกฝ่ายกัดฟันเม้มปากมองตามหลังเขา ด้วยความแค้นเคืองใจที่ทิ้งระเบิดคำพูดไว้ว่าหล่อนปัญญาอ่อน
.................
วนาลี เดินหิ้วถุงข้าวของเข้าบ้านด้วยหน้าตาบูดบึ้ง หล่อนกระแทกของที่ถือมาลงตรงหน้าของกาบแก้วผู้เป็นมารดาคล้ายต้องการระบายอารมณ์
“แม่ใช้ไปซื้อของแค่นี้ ถึงกับอารมณ์เสียเชียวรึยัยลี..”
กาบแก้วเห็นหน้าลูกสาวชนิดบอกบุญไม่รับก็เลยอดที่จะติงไม่ได้
“บ้านเราน่ะอยู่ในหมู่บ้านคนร่ำคนรวยก็จริง แต่ก็มีแต่เปลือก ไม่ได้มีเงินทองไว้จ้างคนรับใช้ เอาแค่เงินที่จะซ่อมแซมทาสีบ้าน ทาสีรั้วใหม่ทั้งหลังก็ยังไม่มีปัญญาเลยนะ แล้วไอ้เงินทองที่พ่อเรามันจ้างหย่าก็ร่อยหลอลงทุกวัน ดีนะที่เราเรียนจบพอดี แต่เงินมันก็จวนจะหมดไปด้วย ถ้าเรายังหางานทำไม่ได้ก็เห็นทีจะต้องประกาศขายบ้านกันคราวนี้ล่ะ หึ”
“โธ่แม่…วกไปพูดเรื่องเก่าอีกล่ะ ลีอารมณ์ไม่ดี เพราะไปเจอหมาบ้ามาต่างหากล่ะ”
“อ้าว..เหรอ..แล้วโดนมันกัดเอารึเปล่าล่ะ”
กาบแก้วมีสีหน้าตกใจ รีบเอื้อมมือไปจับเนื้อตัวลูกสาวด้วยความห่วงใย
“กัดสิแม่...ปากมันคมยิ่งกว่ากรรไกรตัดหญ้าบ้านเราอีก แต่ลีก็กัดตอบ..จนมันเผ่นหนีหางจุกตูดไปเลย”
“เออ..บ้าดีลูกฉัน..ทะเลาะกับหมาก็ได้ด้วย....แล้วไหนล่ะรอยกัด ให้แม่ดูสิ”
มารดามองหาแผลตามตัวลูกสาว
“มันเป็นหมาที่ไม่ทิ้งรอยแผลตามตัวหรอกแม่ แต่มันทิ้งไว้ที่ใจลีนี่แหละ...ไอ้หมาบ้า อย่าให้เจออีกนะ...”
กาบแก้วเริ่มจะเข้าใจจึงส่ายหัวพร้อมกับหิ้วถุงข้าวของไปที่ครัวหลังบ้าน โดยมีวนาลีเดินตามมาด้วย
“แม่คะ…เดี๋ยวนี้ที่หมู่บ้านเรามีฝรั่งหัวหยิกอันธพาลมาอยู่แล้วนะ” วนาลีเกริ่นกับมารดาหวังจะหาที่ระบาย
“มีด้วยเหรอ…แม่ยังไม่เคยเห็นมีฝรั่งมังค่าที่ไหนมาอยู่นี่นา..” กาบแก้วตอบลูกสาวพลางล้างผักไปด้วย
“มันคงจะเพิ่งย้ายมาอยู่น่ะแม่..คอยดูนะเจออีกเมื่อไหร่ ลีจะแกล้งซะให้เข็ด”
วนาลี ตาลุกวาวด้วยความเจ็บใจ
กาบแก้ว เพิ่งจะถึงบางอ้อ รู้สาเหตุที่ลูกสาวไม่สบอารมณ์ ก็คงจะไปทะเลาะกับฝรั่งหัวหยิกที่กล่าวพาดพิงถึงนั่นเอง หาใช่สุนัขที่ไหนไม่
กาบแก้ว ถึงกับถอนหายใจด้วยความเป็นห่วงในนิสัยหัวร้อนไม่ยอมใครง่าย ๆ ของวนาลี
