2. อย่าได้เจอกันอีก
“นี่มันอะไรกันนักหนาล่ะคุณ”
คราวนี้นรา ทำเสียงดุหล่อนเมื่อลงมายืนบนพื้นถนน
“กระเป๋านายโดนหัวฉัน นายนี่มันไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย นอกจากจะโรคจิตชอบเบียดผู้หญิงแล้วยังจะแย่งผู้หญิงลงรถอีกด้วย..น่าเกลียดที่สุด”
เสียงของหล่อนดังพอที่จะทำให้ผู้คนที่ยืนรอรถเมล์อยู่แถวนั้นหันมามองอย่างสนใจ
“แล้วคุณจะเอายังไง..ว่ามา..”
นรา ทำเสียงรำคาญพร้อมขมวดคิ้วจ้องหน้าหล่อน
“คุณคิดไม่ออกจริง ๆ หรือว่าควรจะทำยังไง..”
หล่อนย้อนถามเขาด้วยน้ำเสียงหยัน ๆ
“ผมไม่อยากคิดให้เสียเวลา..กับคนเรื่องมากอย่างคุณ”
นรา พูดจบก็หันหลังเดินออกไป เขาไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาคนแถวนั้น
“โธ่เอ๊ย..กับอีแค่คำขอโทษ คำเดียวแท้ ๆ ยังคิดไม่ออก กลับไปไถนาแทนควายซะไป๊..ชิ่ว!”
หล่อนส่งเสียงตะโกนเย้ยหยัน นราหันขวับหยุดการก้าวเดินหันไปตอบโต้ทันควัน
“แต่วัวควายแถวบ้านผมมันยังรู้เรื่องกว่าคนงี่เง่าอย่างคุณหลายเท่านัก”
นราพูดทิ้งท้ายไว้ให้หล่อนอ้าปากค้าง แล้วก็รีบสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็วเขาไม่สนใจหันไปมองหล่อนอีก แม้จะมีเสียงตะโกนไล่หลังมาให้ได้ยินแว่ว ๆ ก็ตาม เขาปล่อยให้
หล่อนยืนพล่ามเหมือนคนเสียสติอยู่คนเดียวไปเถอะ
………………………
ทันทีที่ถึงบ้าน นรา ก็เหวี่ยงกระเป๋าโครมลงบนโซฟา แล้วก็กระแทกตัวนั่งตามลงไปด้วยความหงุดหงิด การผจญกับการจราจรที่สุดโหดเป็นเวลานานนั่นก็หนักหนาพอแล้ว แต่เขายังต้องผจญกับผู้หญิงปากคอเลาะร้ายคนนั้นอีก
ยิ่งนึกนรา ก็ยิ่งโมโห ภาพใบหน้าที่ไร้ความเป็นมิตรผสมกับวาจาที่ไม่น่าฟังของผู้หญิงคนนั้นมันยังติดตาติดหู แล้วก็ลามมาสร้างความหงุดหงิดหัวเสียให้เขาอีกด้วย
“เกิดชาติไหน..อย่าได้เจอะได้เจอผู้หญิงอย่างยัยบ้าปัญญาอ่อนนั่นอีกเล้ย...ส้าทู้”
นรา ยกมือท่วมหัว ก่อนจะทอดตัวลงนอนบนโซฟาเหมือนคนเหนื่อยล้ากับชีวิต เขาผล็อยหลับไปนาน และมารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมีเสียงร้องทักดังขึ้น
“อ้าว…ถึงกับหมดแรงเชียวหรือนรา”
วิภา เดินเข้ามา พร้อมกับแน่งน้อย สาวใช้ที่ช่วยหิ้วของพะรุงพะรังตามหลังมาติด ๆ
“พี่วิ…ทำไมผมไม่ได้ยินเสียงรถพี่เลย”
นรางัวเงียลุกขึ้นนั่ง
“นอนหลับไม่ได้สติสตังอยู่แบบนี้จะไปได้ยินอะไรล่ะ โจรขึ้นมางัดบ้านก็ไม่ได้รู้สึกหรอก”
วิภา เห็นสภาพน้องชายแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ
“พี่วิไม่รู้อะไร…วันนี้ผมเหนื่อยมาก โหนรถเมล์ตั้งสองชั่วโมง แถมเจอยัยผู้หญิงปากจัดปัญญาอ่อนเข้าอีก มันก็เลยทั้งเบื่อทั้งเซ็ง แล้วบ้านใหม่ที่พี่เต้ยมาซื้อให้พวกเราอยู่นี่ ก็ไกลผู้ไกลคนซะไม่มีล่ะ…”
นราได้โอกาสระบายความอัดอั้นตันใจเสียหน่อย
“งั้นประกาศขายบ้านเลยไหม แล้วก็ไปซื้อคอนโดกลางใจเมืองแทน” วิภากล่าวสัพยอก
“พี่เต้ยคงยอมหรอกครับ เพิ่งจะมาซื้อบ้านหลังนี้ได้ไม่ถึงเดือน.. พี่วิไม่ต้องห่วง อีกหน่อยผมคงปรับตัวให้ชินกับการเดินทางเข้าบ้านป่าหลังเขานี้ได้อยู่หรอก” นราพูดแบบปลง ๆ
“ต๊าย...เรียกหมู่บ้านหรูหราขนาดนี้ว่าบ้านป่าเชียว ..เขาเรียกว่าบ้านชานเมืองจ๊ะ”
“ชานเมืองมากเลยฮะ…มากจนผมนึกว่าบ้านโคกอีโด่ย สงสัยพี่เต้ยกะจะให้เราสองพี่น้อง ได้อยู่อย่างสงบเงียบเพื่อปฏิบัติธรรม”
นราพูดแขวะไปถึงพี่เขยด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
วิภา กับ นรา เป็นพี่น้องต่างบิดากัน บิดาของวิภานั้นเป็นคนไทย และเสียชีวิตไปตั้งแต่วิภาอายุเพียงเก้าขวบ จนต่อมามารดาก็แต่งงานใหม่กับชาวต่างประเทศ ซึ่งก็คือบิดาของนรา นั่นเอง
บิดาของนรา เสียชีวิตในหน้าที่ของช่างภาพที่ไปทข่าวสงครามในประเทศอิรัก
นรา จำได้ว่ามารดากอดเขาแล้วร้องไห้อยู่บ่อย ๆ เขาไม่เข้าใจถึงความสูญเสียนั้น เห็นมารดาร้องไห้ก็ร้องตามบ้าง โดยที่ไม่รู้ว่าร้องเพราะเหตุผลใด จนกระทั่งเขาโตพอที่จะรับรู้เรื่องราวแล้วเขาจึงได้เข้าใจความรู้สึกของมารดาที่ต้องสูญเสียสามีในต่างแดนจนไม่สามารถอยู่ที่นั่นต่อไปได้โดยปราศจากเสาหลักอย่างบิดา จากนั้นผู้เป็นมารดาก็ตัดสินใจหอบหิ้วลูกทั้งสอง กลับมาอยู่เมืองไทย
ทว่า..โชคร้ายก็มาเยือนอีกรอบ..เมื่อทั้งสองพี่น้องต้องกลายเป็นลูกกำพร้า เมื่อมารดา มาเสียชีวิตไปอีกคนในช่วงที่วิภา กำลังเรียนจบมหาวิทยาลัย และกำลังหางานทำพอดี
แต่..ท่ามกลางความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง เมื่อโชคชัย หรือ เต้ย ได้เข้ามาในชีวิตของวิภา ซึ่งทั้งคู่แต่งงานและช่วยกันส่งเสียให้นราได้เรียนต่อจนจบปริญญาตรี
โชคชัย สามีของวิภา เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์อยู่เกือบสิบปี เขาตัดสินใจลาออกมาทำหนังสือพิมพ์หัวใหม่ พร้อมกับเพื่อนร่วมงานชื่อนพดล และได้ขอร้องให้นรา ลาออกจากงานมาช่วยด้วย ซึ่งนราก็ยอมยื่นใบลาออกจากการเป็นผู้สื่อข่าวที่หนังสือพิมพ์
แม้จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่ด้วยความที่นราเคารพรักโชคชัย เสมือนเป็นพ่อคนหนึ่งเขาจึงเต็มใจที่จะมาช่วยพี่เขย รวมทั้งเต็มใจที่จะย้ายข้าวของมาอยู่ที่บ้านใหม่หลังนี้ตามคำขอของพี่เขยและพี่สาวด้วย
.....
นรา ปั่นจักรยานออกนอกบ้านในวันหยุดเพื่อเป็นการออกกำลังกาย และถือโอกาสสำรวจเส้นทางในหมู่บ้านที่เขาเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ให้เกิดความคุ้นเคย เขาสูดอากาศบริสุทธิ์
เข้าเต็มปอดด้วยความสดชื่น เท้าก็ปั่นจักรยานไปเรื่อย ๆ อย่างสบายอารมณ์ เขาชักจะเห็นว่าหมู่บ้านชานเมืองแบบนี้ก็ไม่เลวนักหรอก แม้จะอยู่ไกลออกมาจากตัวเมืองไปหน่อย แต่ข้อดีที่เห็นได้ชัดก็คืออากาศดีและเงียบสงบ
สายตาของนรา กวาดมองทิวทัศน์อย่างเพลิดเพลิน เขามองเห็นกลุ่มคนกำลังเล่นฟุตบอลอยู่ไม่ไกลนัก จึงอยากจะเข้าไปดูใกล้ ๆ จึงเร่งฝีเท้าในการปั่นจักรยานให้เร็วขึ้นจนไม่ทันสังเกตว่ามีสิ่งกีดขวางอยู่เบื้องหน้าในระยะประชั้นชิด
“ว้าย !.”
เสียงร้องของผู้หญิงแสดงอาการตกใจ พร้อมกับจักรยานของนราแฉลบลงข้างทางที่มีพื้นขรุขระรองรับกับหัวเข่าของเขาที่กระแทกลงไปอย่างจัง จนเขาต้องครางเบา ๆ ด้วยความเจ็บปวดแผล
“บ้าฉิบ! ..ซวยแต่เช้าเลยโว้ย..”
นรา สบถอย่างหัวเสียเมื่อก้มมองเลือดที่กำลังไหลซึมออกจากแผลถลอกที่หัวเข่าของตน
