1. เหตุเกิดบนรถเมล์
“เร็ว ๆ หน่อยเพ่!..”
เสียงกระเป๋ารถเมล์เร่งเร้าผู้โดยสาร พร้อมกับใช้มือดันผู้คนที่อออยู่หน้าประตูรถประดุจต้อนฝูงเป็ดฝูงไก่ให้เข้าเล้า ทำให้เกิดการเบียดเสียดเหยียบเท้าเพื่อแย่งชิงกันขึ้นไปบนรถเมล์อย่างสะบักสะบอม
“ชิดในหน่อยสิเพ่…”
เจ้าหนุ่มน้อยกระเป๋ารถเมล์หน้าบึ้งตึงตะคอกผู้โดยสารโดยไม่ดูตาม้าตาเรือว่าบรรดาผู้ใช้บริการที่อัดแน่นเป็นปลากระป๋องอยู่ข้างใน กำลังจะขาดใจตายอยู่รอมร่อจากการแย่งอากาศกันหายใจ แถมเท้าหาที่จะวางสะดวก ๆ ทั้งสองข้างก็สุดแสนจะลำบาก บางคนถึงกับเขย่งเท้าไว้ข้างหนึ่งเหมือนคนขาพิการ
นรา เบียดกลุ่มคนเข้าไปได้อย่างทุลักทุเล อาศัยว่าเขาตัวสูงใหญ่แข็งแรง จึงพาร่างอันบึกบึนของเขาไปยืนโหนอยู่ตรงกลางของรถได้โดยสวัสดิภาพ
“ยู! ยู! … โก..โก..เดินเข้าไปเซ่..”
เจ้าหนุ่มน้อยหน้าบึ้งเดาะเรียกนราด้วยภาษาต่างประเทศพร้อมกับส่งสัญญานมือให้ขยับเข้าไปอีก
“ไม่ไหวแล้วล่ะน้องชาย เบียดกันมากจนจะเป็นผัวเมียกันอยู่แล้ว….”
นรารีบตอบด้วยภาษาไทยชัดเจนก่อนที่เจ้าเด็กนั่นจะเตือนอีก
“อ้าว…คนไทยเหรอ นึกว่าฝรั่งซะอีก”
เจ้าหนุ่มน้อยนั่นคลายความบึ้งตึงเปลี่ยนเป็นยิ้มแหย ๆ
นราไม่นึกแปลกใจที่จะมีคนเข้าใจผิดว่าเขาไม่ใช่คนไทย เพราะรูปร่างหน้าตาของเขามันก็ฟ้องอยู่เต็มตัว แต่มีบางครั้งที่นรารู้สึกไม่ชอบใจกับสายตาแปลกประหลาดของบางคนที่จ้องมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยความไม่แน่ใจว่าเขาเป็นฝรั่งชาติใดกันแน่ ด้วยเหตุที่นรามีผมค่อนข้างหยิกแบบนิโกรแต่ตาโตสวยหวานแบบผู้หญิง และสีผิวที่ไม่ได้ดำคล้ำแบบเชื้อชาตินิโกรแท้ ซึ่งการที่สีผิวของนราค่อนไปทางขาว เป็นเพราะบิดาของเขาไม่ใช่นิโกรเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ทว่ามีเลือดผู้ดีอังกฤษผิวขาวผสมอยู่ครึ่งหนึ่งนั่นเอง ส่วนมารดาของเขานั้นเป็นคนไทย
นรา รู้สึกเวียนหัวกับกลิ่นน้ำหอมจากบางคนที่มาผสมปนเปกับกลิ่นตัวของหลาย ๆ คนบนรถเมล์ ยิ่งสภาพอากาศร้อนอบอ้าวก็ทำให้ทุกคนเหงื่อไหลไคลย้อยไปตาม ๆ กัน กลิ่นน้ำหอมแทนที่จะส่งกลิ่นหอมก็กลายเป็นกลิ่นหืนไปได้ แต่ละคนในรถต่างก็ใช้ความอดทนกันถ้วนหน้าในการดมกลิ่นและทนต่อความร้อนภายในรถที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ แม้ว่ารถจะติดเกือบชั่วโมง แต่นราก็ยังเห็นทุกคนยืนนิ่งเงียบราวกับรูปปั้น มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่ว ๆ ที่พอจะบอกได้ว่ายังมีชีวิตกันอยู่ ไม่ใช่หุ่นขี้ผึ้งแต่อย่างใด
“ห่าเอ๊ย! ร้อนก็ร้อน รถก็ติดแม่งชั่วโมงได้แล้ว..เซ็งจริงโว้ย..”
คนขับรถเมล์หลุดคำผรุสวาทออกมาอย่างหัวเสีย เออ!
ดี ! รู้จักพูดออกมาเสียบ้าง นราคิดในใจ เพราะเขาเองก็อยากจะตะโกนให้หายบ้าเหมือนกัน
นรา เคยขึ้นรถเมล์เป็นประจำช่วงที่อยู่ในวัยเรียน แต่พอทำงานแล้วก็มีรถยนต์ใช้ ทำให้ต้องห่างเหินการห้อยโหนมาราธอนบนรถเมล์มานาน จนกระทั่งมีโอกาสมาหวนรำลึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ อีกครั้ง เมื่อรถยนต์ของเขามีอันต้องระเห็จไปเข้าอู่เป็นเวลาหลายวัน เขาจึงต้องหันมาใช้บริการรถแท็กซี่ สลับรถไฟฟ้าบนดินบ้าง ใต้ดินบ้าง รวมทั้งรถเมล์ด้วยในช่วงนี้
“โอ๊ย !..นี่ใคร..เหยียบตีน..เอ๊ย..เท้าผม”
นรา สะดุ้งโหยงพร้อมกับส่งเสียงร้องให้เจ้าของเท้า ที่กำลังเหยียบเท้าของเขาได้รู้สึกตัว แต่ไม่มีเสียงตอบรับว่าใครเป็นต้นเหตุ เขาชักเท้าออกมาอย่างฉุน ๆ พร้อมกับเหลือบตาลงต่ำเห็นรองเท้าส้นสูงของคนข้างหน้ายืนอย่างไม่รู้สึกรู้สา เขาจึงโน้มตัวไปกระซิบหวังเตือนสติคนก่อเหตุ
“รู้ตัวไหม! ว่าเหยียบเท้าชาวบ้านเขาเมื่อกี้เนี่ย”
“สมน้ำหน้า..อยากจะเบียดผู้หญิงดีนัก..”
เจ้าหล่อน ผู้ที่นรา คาดการณ์ว่าจะเป็นเจ้าของรองเท้ามหาภัยคู่นั้น เอี้ยวตัวหันมาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยแทนคำกล่าวขอโทษ ถ้าเป็นผู้ชายด้วยกันเห็นทีนราจะต้องขอท้าชกสักยกเป็นแน่
แต่เมื่อเห็นว่าหล่อนเป็นผู้หญิงเขาจึงไม่ต่อปากต่อคำ และพยายามถอยห่างจากตัวหล่อน แต่พอจะขยับคนข้างหลังก็ดันเขาขึ้นมาเสียนี่ พร้อมกับรถที่พุ่งเคลื่อนที่แบบกะทันหัน ทำให้ผู้โดยสารที่ยืนอยู่แทบจะล้มทั้งยืนเพราะทรงตัวไม่ทัน เช่นเดียวกับที่นราก็เซไปข้างหน้าราวกับถูกผลัก จนแอ่นลำตัวไปกระแทกบั้นท้ายหล่อนอย่างไม่ทันตั้งตัวและไม่ได้ตั้งใจ
“อ๊าย..พวกโรคจิต ชอบลวนลามผู้หญิง...ทุเรศ!”
เจ้าหล่อนเอี้ยวตัวมาเข่นเขี้ยวเอากับนรา แต่เขาก็แกล้งไม่ได้ยินเสีย ท่าทางที่ดูหวงเนื้อหวงตัวที่หล่อนแสดงออกมาถึงความรังเกียจความใกล้ชิดแบบไม่ตั้งใจของนรา ทำให้เขารู้สึกหมั่นไส้ ช่างไม่รู้จักเวล่ำเวลาหวงเอาเสียเลย
หล่อนจะคิดบ้างหรือเปล่าว่าการขึ้นรถเมล์ในกรุงเทพฯ ต้องเบียดเสียดกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าหล่อนไม่อยากให้ใครถูกเนื้อต้องตัวก็น่าจะไปใช้บริการรถแท็กซี่ หรือไม่ก็ซื้อรถส่วนตัวไปเสียเลย นรานึกเดือดอยู่ในใจ
นรา รีบแทรกตัวออกไปจ่ออยู่ที่ประตูรถเมื่อใกล้ถึงป้ายต่อไป ถ้าขืนชักช้าอาจจะโดนเหยียบเท้าอีกข้างหนึ่งก็ได้ สิ้นสุดกันทีสำหรับการโหนมาราธอนในวันนี้
“ว้าย ! ตาบ้า..ซุ่มซ่ามเสียจริง”
พอลงรถก็มีเสียงแหลมปี๊ดกรอกเข้าหูของนรา จนเขาต้องหันขวับไปมองก็พบใบหน้างอง้ำของเจ้าหล่อนคู่กรณีคนเดิมที่เหยียบเท้าเขาบนรถเมล์เข้าให้
