15 นรกบนดิน..
“ทำไมถามมากจัง ตกลงจะขึ้นเตียงรึเปล่าวันนี้ ไม่งั้นฉันจะได้กลับ” เธอกล่าวอย่างมีอารมณ์หลังจากถูกซักราวกับเป็นผู้ต้องหา
“ตอบมาเถอะ ผมมีค่าเสียเวลาให้คุณ ไม่ต้องเป็นห่วง” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ น้ำเสียงทรงพลังหากแต่เจือแววอ่อนโยนจนคนฟังรู้สึกได้ และยอมเล่าต่อ
“ก็มีบ้างนะ แล้วแต่ว่าจะมีออเดอร์รึเปล่า พวกที่เป็น ออเดอร์ก็จะถูกส่งตัวไปที่อื่น พวกที่อายุไม่ถึงสิบแปดก็เหมือนกันจะถูกขายต่อไป พวกนี้มันค่อนข้างเป็นที่ต้องการ เด็ก ๆ แต่ก็จะมีแค่บางคนที่ดูตัวโต ๆ หน่อย ถึงจะอายุไม่ถึงแต่ก็ได้อยู่” เธอกล่าว
“แล้วคนที่ได้อยู่ก็เต็มใจที่จะทำงานเหรอ”
“เต็มใจไม่เต็มใจ โดนซ้อมหลาย ๆ ทีก็ยอมเองแหละ ใครมันจะไปทนได้”
“แต่ที่เห็นทำงานกันอยู่ส่วนมากก็ดูเต็มใจ ไม่ได้มีทีท่าว่าจะโดนบังคับไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่” หญิงสาวตอบห้วน ๆ
“ไอ้พวกที่พยศหนัก ๆ น่ะ ถ้าไม่ตายคาตีนเขาก็ส่งไปที่อื่นนั่นแหละ ถ้าโดนส่งขายไปที่อื่น ลำบากกว่านี้อีก”
“แล้วคุณล่ะ ไม่คิดอยากจะเลิกทำอาชีพนี้เหรอ คุณจะไปไหนมาไหนก็ได้นี่ ไม่ได้ถูกขังเอาไว้ซะหน่อย”
“ฉันไม่มีทางเลือก” เธอกล่าว วูบหนึ่งมีรอยเศร้าพาดผ่านบนใบหน้าแต่มันก็จางหายไปโดยเร็ว
“ทำไมล่ะ” ชายหนุ่มถามขึ้น โดยที่ไม่รู้ทำไม น้ำเสียงและคำพูดที่เขาใช้สร้างความไว้ใจให้กับหญิงสาวได้อย่างประหลาด หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงมองหน้าชายหนุ่มอย่างชั่งใจอยู่สักครู่อย่างพยายามจะใช้ความคิด
“ฉันไม่มีความรู้อะไร เลิกทำอาชีพนี้แล้วก็ไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร อีกอย่างฉันมีภาระต้องส่งเงินไปให้ที่บ้าน”
“แล้วถ้าผมจะช่วยล่ะ ถ้าผมช่วยคุณได้ คุณสนใจรึเปล่า” ดูหญิงสาวอึ้งไปพอสมควรเมื่อได้ยินดังนั้น เธอมองหน้าชายหนุ่มอย่างพยายามจะค้นหาคำโกหกที่อาจจะปรากฏหลงเหลืออยู่บนใบหน้าของเขา
“ผมพูดจริง ๆ ผมคิดว่าผมช่วยได้ แต่อยู่ที่ว่าคุณจะรับน้ำใจจากผมรึเปล่า” หญิงสาวเหยียดยิ้มและหัวเราะอย่างหยามหยันขึ้นมาเบา ๆ
“ล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย แต่ก็ขอบใจนะ ฉันไปไหนไม่ได้หรอก” เธอยังคงมองหน้าชายหนุ่มนิ่งก่อนจะตัดสินใจ
“ฉันติดยา” ดูเขาอึ้งไปทีเดียวเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“คุณหมายความว่ายังไง” เขาถาม และเธอก็ถอนหายใจยาว แต่ในที่สุดความจริงก็เปิดเผย และคนที่เล่าเองก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าจู่ ๆ ทำไมถึงยอมเล่าให้คนแปลกหน้าฟัง
“ผู้หญิงที่ทำงานในลาเดอร์ฟรองค์น่ะ ถ้าถูกซื้อมาหรือเอาตัวมาจากต่างประเทศ ไอ้พวกที่ไม่เต็มใจเขาจะให้ใช้ยา เพราะจะได้ยอมทำงานให้ไม่หนีไปไหน แรก ๆ ก็ให้ฟรี หลัง ๆ ต้องซื้อเอา หญิงสาวเล่าด้วยใบหน้าขมขื่นระคนสมเพชชะตาชีวิตตัวเอง
“ยาอะไร บอกผมได้มั้ย”
“ผงขาว” หญิงสาวตอบ พร้อมกับพลิกเท้าให้เขาเห็นร่องรอยบริเวณที่เธอใช้ฉีดยาเข้าเส้น
“ยังไงผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าผมยินดีที่จะช่วย และผมมั่นใจว่าผมสามารถช่วยคุณได้”
“ทำไม คุณจะมาช่วยฉันเพื่ออะไรกัน”
“เพราะผมเองก็ต้องการความช่วยเหลือจากคุณเช่นกัน”
“จากฉันน่ะเหรอ คนอย่างฉันจะไปช่วยอะไรคุณได้” หญิงสาวกล่าวออกไปพร้อมยิ้มเหยียด
“ผมอยากได้ข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำเรื่องผิดกฎหมายของนายแฟรงค์ คุณทำงานที่ลาเดอร์ฟรองค์นานน่าจะช่วยผมได้”
“คุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร แล้วอีกอย่างคุณไม่กลัวเหรอที่มาขอให้ฉันช่วยแบบนี้ ถ้าฉันเอาไปเล่าต่อ อนาคตคุณคงจบกันเลยนะ” เธอพูดเพราะเธอรู้ดีว่าคนที่คิดหักหลังนายแฟรงค์นั้น ทุกคนจะมีจุดจบเป็นยังไง
“ถ้าแบบนั้น อนาคตของผมคงจะต้องฝากคุณเอาไว้แล้วล่ะนะ” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนแต่อย่างใด
“คุณซินเธีย ถ้าหากคุณช่วยผม วงจรอุบาทว์นี้ก็จะจบลง คุณสามารถช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงบริสุทธิ์อีกมาก ไม่ให้พวกเขาต้องมาตกนรกเหมือนอย่างที่คุณเจอ มันเจ็บปวดแค่ไหน ผมคิดว่าข้อนั้นคุณรู้ดี” ช่างน่าแปลก ชายหนุ่มตรงหน้าช่างแตกต่างไปจากพวกผู้ชายที่เธอเคยพบเจอ เขาสุภาพ เป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาอยู่ในเมืองกรุง เมืองแห่งแสงสี เมืองแห่งบาปแห่งนี้ แล้วมีคนมาพูดจาดีกับเธอ ให้เกียรติเธอ เขาจำได้แม้กระทั่งชื่อของเธอที่ผู้ชายหลาย ๆ คนไม่คิดจะใส่ใจจำ เพราะพวกผู้ชายเหล่านั้นต่างเห็นเธอเป็นเครื่องสนองความต้องการทางเพศทั้งสิ้น
ออกจากลาเดอร์ฟรองค์ แพทริคก็ตรงไปที่ห้างสรรพสินค้าในเมืองกรุง เขาต้องการซื้อของใช้จำเป็นบางอย่าง แต่สายตาก็พลันไปเห็นเข้ากับร่างบางที่หลายวันมานี้ เธอพยายามหลบหน้าเขา ‘ราเชล’
“คุณราเชล รอผมก่อนครับ” เสียงของชายหนุ่มดังไล่ตามมาจากทางด้านหลังของหญิงสาว แต่หาได้หยุดขาเรียวงามที่กำลังเดินจ้ำไปข้างหน้าให้อยู่กับที่ไว้ได้
“คุณราเชล?” แพทริคเรียกเธอหลังจากวิ่งมาจับแขนเรียวรั้งราชาวดีเอาไว้ได้
“เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน” ราชาวดีตอบกลับมาอย่างเย็นชา ทำให้แพทริคชะงักทันที เธอพูดพร้อมกับแกะมือเขาออกจากแขนตัวเองและก้าวเดินต่อไปโดยไม่สนใจว่าชายหนุ่มจะรู้สึกอย่างไร
“ราเชล” แพทริคเดินตามเข้ามาในร้าน ยืนจ้องหน้าราชาวดีอยู่ตรงเคาน์เตอร์และเรียกชื่อเธอเบา ๆ เด็กในร้านของราชาวดีที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กันหันมามองเล็กน้อยเมื่อเห็นบรรยากาศอึมครึมรอบ ๆ ตัวของคนทั้งคู่ แต่เมื่อชายหนุ่มหันไปมองตอบด้วยแววตาที่ค่อนข้างดุ เด็ก ๆ ในร้านก็เดินเลี่ยงหนีไปทันที และหลังจากยืนกดดันกันผ่านกระแสจิตได้สักครู่ ราชาวดีกลับเดินไปหยิบกระเป๋าถือของเธอและก้าวออกจากร้านไปโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น
ราชาวดีเดินออกมาจากร้าน ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ก็ค่อย ๆ เหลียวหันหลังกลับไปมองเล็กน้อยว่าคนร่างสูงจะตามออกมารึเปล่า และเธอก็รู้สึกว่าเธอเดินชนใครคนหนึ่งเข้า
“อุ๊ย ! ขอโทษค่ะ” ราชาวดีอุทานด้วยความตกใจ แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็ต้องอุทานด้วยความแปลกใจแทน
“คุณเอเมอร์สัน”
“อ้าวราเชลนี่เอง มาทำอะไรแถวนี้” ชายหนุ่มผิวขาว หน้าตาคมคายดูค่อนข้างเจ้าสำอาง ใส่แว่นสายตามองมาที่เธออย่างแปลกใจ
“ราเชลเปิดร้านเสื้อผ้าอยู่ที่นี่ค่ะ แล้วคุณเอเมอร์สันล่ะคะ มาทำอะไรที่นี่ พาสาวมาเที่ยวใช่มั้ยคะ แล้วนี่กลับมาจากอิตาลีตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย” หญิงสาวถามรัวเป็นชุด ทำเอาชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มอ่อน ๆ อย่างนึกขัน
“ผมมาซื้อของให้คุณแม่น่ะ มาคนเดียว แล้วก็กลับมาจากอิตาลีได้ประมาณเดือนหนึ่งแล้วครับ” ชายหนุ่มตอบหมดทุกคำถาม และเพียงครู่เขาก็เห็นชายหนุ่มอีกคนแต่งกายด้วยชุดสูทสีดำเดินเร็ว ๆ ตามหลังหญิงสาวเข้ามายืนสมทบอยู่ห่าง ๆ หญิงสาวตรงหน้าเองก็คงรู้สึกถึงการมาของชายผู้นั้นเช่นกัน เพราะเขาเห็นเธอหันไปมองน้อย ๆ ด้วยหางตา
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คุณเอเมอร์สันว่างรึเปล่าคะวันนี้ จะให้เกียรติไปทานข้าวกับราเชลสักมื้อได้มั้ยคะ” ไม่พูดเปล่า แต่หญิงสาวเดินเข้ามาเกาะแขนเขาด้วยความสนิทสนม เอเมอร์สันเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความแปลกใจ
‘ให้เกียรติงั้นเหรอ’ ชายหนุ่มคิดในใจ
“คุณราเชล” เสียงทุ้มต่ำจากชายที่ยืนอยู่ด้านหลังเรียกราชาวดีขึ้นเสียงเย็น
“ไม่ต้องตามมา หรือจะกลับไปก่อนก็ได้ ฉันจะไปกินข้าวกับเพื่อน” และไม่รอฟังว่าชายจะพูดว่าอย่างไร ราชาวดีก็ออกเดินดึงแขนชายหนุ่มอีกคนไปทันที
