บทที่2 ตามง้อ
เสียงกระแทกเท้าตึก ๆ เดินกลับขึ้นมาบนห้อง เมื่อเธอแทรกร่างเข้ามาแล้วก็เหวี่ยงกระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อหรูลงกับที่นอนกว้างอย่างเอาแต่ใจ แถมสายตาที่ตวัดกลับมามองที่ประตูบานใหญ่ก็เหมือนไม่พอใจคนที่นั่งอยู่ด้านล่างเป็นอย่างมาก
"อาไปตั้งสิบปี อยู่ ๆ ก็กลับมาจะให้หนูจำอาได้เหมือนเก่าก็คงยาก อาเป็นคนทิ้งหนูแท้ ๆ " นาราบ่นขึ้นกับตัวเอง ไม่นานนักดุจดวงก็แทรกร่างเข้ามาสมทบ พร้อมรอยยิ้มที่ส่งให้คุณหนูของเธอ
"อารมณ์เสียอะไรกันคะ ก่อนหน้ายังดี ๆ อยู่เลยนี่"
"ใช่ค่ะ ก่อนหน้าหนูอารมณ์ดีแต่เพราะผู้ชายคนนั้นทำเอาหนูหัวเสีย"
"อาพัส นะเหรอคุณหนูไม่ดีใจหรือคะที่อาพัสกลับมาแล้ว"
"ไม่ค่ะ อาภัสที่แสนอบอุ่นของหนูตายไปตั้งนานแล้ว"
"คุณหนู อย่าพูดแบบนี้อีกนะคะเดี๋ยวคุณพ่อได้ยิน" น้ำเสียงของดุจดวงเอ่ยขึ้นในเชิงตำหนิ คนที่เธอเลี้ยงและรักเหมือนลูกสาวกำลังเกรี้ยวกราดจนห้ามอารมณ์โทสะตัวเองไม่ได้ และเมื่อถูกปรามมาอย่างนั้นนาราก็เงียบ เธอหย่อนสะโพกลงนั่งทำหน้าบึ้งตึงจน ดุจดวงต้องเดินมาใกล้แล้วนั่งลงข้าง ๆ ตัวเธอ
"คุณหนูคะ อาพัสอาจจะยุ่งมัวแต่ทำงานก็เลยไม่มีเวลาติดต่อกลับมา"
"ไม่จริงหรอกค่ะ อาพัสทิ้งหนูเพราะมีคนรัก อย่างว่าแหละเมื่อคนเรามีครอบครัวแล้วก็ต้องอยู่กับครอบครัวตัวเองจะมาสนใจอะไรกับเด็กเอาแต่ใจอย่างหนูละ"
"สรุปว่าที่พูดมาเนี่ย น้อยใจอาพัสใช่ไหม"
"เปล่าซะหน่อย"
คนที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กอย่างดุจดวงเธอรู้ดีว่านาราไม่ได้โกรธพัสกรขนาดนั้น เพียงแค่น้อยใจที่พัสกรไม่ติดต่อมาเลยเป็นระยะเวลาสิบปีเต็ม เมื่ออยู่ ๆ พบหน้าคงตั้งตัวไม่ทัน
ระหว่างที่ลูบหัวปลอบใจคุณหนูอันเป็นที่รัก อยู่ ๆ นาราก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าอาพัสแต่งงานมีภรรยาไปแล้วแต่ไม่เห็นอาสะใภ้กลับมาด้วย
"จริงสิคะ แล้วอาสะใภ้ละไม่เห็นมากับอาพัสเลย"
"คุณหนูอาจจะไม่รู้ว่า คุณพัสหย่ากับอดีตภรรยาได้สองปีแล้วค่ะ แต่ก็พึ่งจะตัดสินใจกลับมาที่ไทยเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วเอง"
"หย่าหรือคะ ทำไมป๊าไม่เห็นเล่าให้หนูฟัง"
"คุณผู้ชายคงเห็นว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ละมั้งคะ"
"ก็คงใช่มั้ง เชอะหากไม่โดนทิ้งก็คงไม่กลับมาละสิท่า"
"คุณหนูอย่าพูดแบบนี้อีกนะคะ เดี๋ยวคุณพัสเสียใจแย่"
"ก็ได้ค่ะ หนูจะไม่พูด และจะไม่ถามอะไรเขาอีก"
และหลังจากที่พูดแบบนั้นก็อ้อนให้ดุจดวงทำอาหารอร่อยให้ทานแต่เธอเลือกที่จะทานบนห้องเพราะรู้ว่าวันนี้อาพัสน่าจะทานข้าวอยู่ข้างล่างกับพ่อเธอ
บนโต๊ะอาหารของมื้อค่ำนี้สายตาคมสอดส่ายมองหาหลานสาวคนสวยเพราะไม่เห็นลงมาทานอาหารด้วย แต่ก็พอรู้อยู่ลึก ๆ ว่านาราน่าจะโกรธที่ตัวเองไม่ติดต่อกลับมา
"แกไม่ต้องมองหรอก ยัยนาราหากได้โกรธแล้วละก็เล่นไม่คุยไม่พูดเก็บตัวอยู่ในห้องนั่นแหละ ป่านนี้ดุจดวงคงเอาอาหารขึ้นไปเสิร์ฟกันเรียบร้อยแล้ว"
"ปกติเป็นแบบนี้บ่อยเหรอพี่"
"ตอนนี้อะไรก็เปลี่ยนไป นาราโตขึ้นก็รู้จักงอนเป็น โกรธเป็นมากกว่าตอนเด็ก"
"ผมรู้ว่าหลานคงโกรธที่ผมไม่ยอมติดต่อกลับมา ที่เล่นหายไปพี่ก็รู้ว่าผมทำงานหนักกว่าจะสร้างตัวได้ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย"
"เอาน่ะ เดี๋ยวนาราก็หายเองแหละ"
"จะซื้อขนมมาง้อก็คงไม่ใช่แล้วสิ"
"แกจะไปซื้อขนมอะไร ตอนนี้นาราเป็นสาวแกไม่เห็นการแต่งตัวของหลานหรือไงกัน ทำไมต้องให้บอก กระเป๋าสักใบก็น่าจะหายงอน"
คำชี้แนะของพิชัยภัทรทำเอารอยยิ้มของพัสกรฉายแววเด่นชัดลืมไปเสียสนิทว่าหลานสาวเป็นสาวก็ต้องมีของพวกนี้ไว้ใช้ อีกอย่างกระเป๋าใบละไม่กี่แสนก็น่าจะทำให้ความสัมพันธ์เดิมกลับมาได้
หลังจากวันนั้นพัสกรก็สั่งให้คนของตัวเองติดต่อร้านกระเป๋าแบรนด์เนมมาให้ ด้วยความที่ตนไม่รู้ว่าตอนนี้กระเป๋าแบบไหนมันเหมาะกับวัยรุ่นเลยต้องพึ่งพาเซลล์ที่ร้านให้คำแนะนำ และมันดันได้ผลเพราะกระเป๋าที่เซลล์แนะนำมามันมีแต่สวย ๆ แถมยังมาแรงในช่วงนี้เหล่าเซเลบทั้งหลายก็ต่างพากันจับจอง ทว่า คนเงินหนาอย่างเขาย่อมได้มาครอบครองก่อนคนอื่น
พัสกรเดินทางมาที่บ้านของพิชัยภัทร แต่ตอนนี้พี่ชายนอกสายเลือดไม่ได้อยู่เพราะเขาเข้าบริษัทไปตรวจตราความเรียบร้อย ก็คงมีแต่หลานสาวเท่านั้นที่อยู่บ้าน ตั้งแต่นาราเรียนจบมาก็ไม่ได้ไปทำงานที่ไหนอีกทั้งฐานะตัวเธอตอนนี้ก็อู่ฟูร่ำรวยจนใช้ไม่หมด ยกเว้นพ่อของเธอจะชวนเข้าไปที่บริษัทเป็นบางครั้ง
พัสกรมาถึงที่บ้านก็เรียกหาดุจดวงเพราะต้องการให้ดุจดวงช่วยเหลือ หากไม่ทำอย่างนั้นนาราก็คงไม่ลงมาพบตัวเองเป็นแน่
เวลาผ่านไปพักใหญ่ หญิงสาวร่างเล็กเดินลงมาพร้อมชุดสามใส่สบาย ๆ ของเธอ กางเกงขาสั้นจนเห็นขาขาวพร้อมเสื้อยืดผืนเล็ก เมื่อลงมาแล้วก็เห็นว่าอาพัสนั่งอยู่ นารากำลังที่จะเดินกลับขึ้นห้อง แต่เสียงที่เรียกเธอนั้นมันทำให้เธอต้องหยุดเท้านิ่ง
"นารา อาขอโทษ มาคุยกับอาก่อนได้ไหม" ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของเขา มองไปที่ร่างเล็กที่ยืนหันหลังเมื่อเห็นว่านารากำลังหันกลับมาช้า ๆ รอยยิ้มนั้นก็ผุดขึ้น
นาราตัดสินใจเดินกลับมาที่ชายร่างสูงแม้ว่าเขาจะจากไปสิบปีแต่ใบหน้าหล่อเหลาก็ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
"อาจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ" พัสกรถอนหายใจเฮือกใหญ่ไม่คิดว่าจะได้ง้อหลานสาวมากมายขนาดนี้
"คือ อามาขอโทษที่หายไปสิบปี อาทำงานหนักจนไม่มีเวลาติดต่อกลับมา นาราจะไม่เห็นใจอาหน่อยเหรอ"
"เห็นใจทำไมค่ะ ตอนที่อาไปอาบอกว่าอาจะโทรหาหนูทุกวันจะส่งขนมอร่อย ๆ มาให้หนูแต่ที่อาทำคืออาเงียบไปเลย"
"ก็บริษัทอาพึ่งเปิดใหม่ก็เลยยุ่งมาก แต่ตอนนี้อากลับมาแล้วนาราอยากได้อะไรอาซื้อให้หมดเลยดีไหม"
"เหรอคะ!!"
"ใช่สิ ...อ้อจริงสิอาเห็นว่าช่วงนี้มีคอเล็กชั้นกระเป๋าใหม่ เหมาะกับฤดูนี่มากเลยนะก็เลยเอามาให้นาราหนึ่งใบรู้ไหมว่ากระเป๋าเนี่ยคนจ้องเยอะมากแต่อาก็เอามาให้นาราก่อน คราวนี้จะให้อภัยอาหรือยัง" นาราเธอเอื้อมมือรับดูเหมือนว่าเธอจะแอบยิ้มด้วยเพราะกระเป๋าที่ว่าเธอตั้งใจจะขอพ่อซื้ออยู่แล้วแต่อาพัสดันหามาให้ก่อน
"ถูกใจไหม"
"ก็ได้...คราวนี้หนูจะให้อภัยอาก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าโอกาสไม่ได้มีบ่อย ๆ อาผิดสัญญาอีกละก็คราวนี้หนูจะไม่คุยกับอาจริง ๆ "
พัสกรเหยียดยิ้มหากเป็นเมื่อก่อนคงโผล่ตัวเข้ากอดหลานอย่างเอ็นดู แต่ตอนนี้นาราโตเป็นแล้วสิ่งที่ทำได้คือยกมือขึ้นไปลูบที่หัวอย่างอ่อนโยน
"ยัยเด็กน้อย"
"หนูไม่เด็กแล้วนะ หนูโตแล้วเรียนจบแล้วด้วย!!!"
"...."
