บทที่1พบกันในรอบสิบปี
มีคนเขาบอกว่าฟ้าหลังฝนย่อมดีเสมอ คงไม่ต่างจากพัสกรเท่าไรนัก เพราะเขาพึ่งผ่านชีวิตรักกับอดีตภรรยาที่หย่าร้างกันเมื่อสองปีที่แล้วหลังจากที่ใช้ชีวิตคู่มาถึงสิบปีเต็ม
ชายหนุ่มร่างสูงราวร้อยแปดสิบห้ายืนล้วงกระเป๋ากางเกงสแล็กสีดำ สวมรองเท้าขัดมันวาววับเสื้อเชิ้ตสีขาวปกปิดกล้ามเนื้อสัดส่วน เขาทอดสายตามองผ่านกระจกใสบานใหญ่พร้อมรอยยิ้มที่ผุดขึ้นเหยียดยาว
"ไอ้พัส ไม่เจอกันนานนึกว่าจะตายอยู่ที่ต่างประเทศซะแล้ว" เสียงโพล่งขึ้นจากทางด้านหลังของเขาทำให้พัสกรต้องหันหน้ามาทางต้นเสียง รูปร่างสูงโปร่งสง่างามนั้นฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาวก่อนที่เขาจะยกมือไหว้คนตรงหน้า
"สวัสดีครับพี่ ไม่เจอกันเป็นสิบปีพี่ยังไม่แก่นะเนี่ย"
"ใครบอกอีกปีเดียวจะห้าสิบแล้ว แกเองก็เถอะสี่สิบห้าแล้วก็ยังหนุ่มเหมือนเดิม"
"ใครจะไปยอมแก่ตามพี่ละ"
"อย่าพึ่งพูดมาก นั่งก่อน ๆ ว่าแต่มาคราวนี้อยู่ถาวรเลยไหม" เป็นคำถามที่พัสกรต้องถอนหายใจอีกครั้ง เพราะการกลับมาไทยครั้งนี้ของเขาเป็นการกลับมาแบบอิสรภาพ ถึงแม้ว่าจะหย่าขาดจากภรรยามาแล้วสองปี แต่ช่วงนั้นก็ยังใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ แต่หลังจากนี้เมืองไทยคงเป็นที่สุดท้ายที่เขาจะอยู่
"ก็คงถาวร พี่ก็คงรู้ข่าวว่าผมกับเฮเลนเราหย่ากันแล้ว ว่าแต่มีงานอะไรให้ผมทำหรือเปล่ากลับมาจะสองอาทิตย์แล้วมีแต่นั่ง ๆ นอน ๆ รู้สึกเบื่อ"
"เงินที่แกมีใช้ชาตินี้ก็คงไม่หมดหรอกมั้ง"
"ผมไม่ได้ต้องการเงินขนาดนั้น แค่อยากทำงานไม่อยากอยู่เฉย ๆ "
พิชัยภัทรจ้องมองน้องชายนอกไส้ พร้อมถอนหายใจอีกครั้งงานที่พัสกรถามถึงเรื่องงานในบริษัทไม่มีตำแหน่งไหนที่ว่างที่จะจ้างคนระดับเขา นอกเสียจาก
"จะให้ฉันจ้างคนระดับแกมาเป็นลูกน้อง บอกตรง ๆ ไม่มีเงินจ้างหรอก หากจะมีก็คงเป็นหุ้นส่วนแกสนใจเป็นหุ้นส่วนบริษัทไหมล่ะ"
"หุ้นส่วนเหรอ" เขาชั่งใจพร้อมความคิด เพราะบริษัทจิวเวลรี่เพชรพลอยก็ใช่ว่าจะสันทัดแต่ก็ยังดีกว่าอยู่เฉย ๆ
"ก็ได้นะ ว่าแต่พี่มีโปรเจกหรือไง"
"ก็มีหากแกยอมช่วย" ทั้งสองมองหน้ากัน เพราะบริษัทของพิชัยภัทรส่งออกจิวเวลรี่แค่โซนเอเชีย หากมีแนวร่วมสนับสนุนไปฝั่งยุโรปก็น่าจะดีไม่น้อย
"อย่าบอกนะว่าอยากขยายเครื่องเพชรเครื่องพลอยไปยุโรป"
"หรือแกว่าไม่ดี"
"ก็ดีนะ แต่เรื่องแบบนี้ก็คงต้องคุยกันยาวหน่อย"
"ได้ไม่มีปัญหา" หลังจากที่คุยกันแล้ว ดุจดวงที่เป็นแม่บ้านและแม่นมของลูกสาวพิชัยภัทรก็นำน้ำมาเสิร์ฟ เมื่อเห็นพัสกรเธอก็ยกมือขึ้นไหว้ตามมารยาท
"ไม่เจอคุณพัสมานานมาก คุณพัสยังหล่อเหมือนเดิมนะคะ"
"นี่ ดุจดวงพี่เลี้ยงพิมนาราหรือเปล่า"
"ใช่ค่ะ ทำไมคะฉันแก่มากจนคุณพัสจำไม่ได้เลยเหรอ"
"ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแค่ตกใจที่เห็นดุจดวงยังอยู่ที่บ้านหลังนี้ นึกว่าลาออกไปแล้วเสียอีก" ชายหนุ่มโพล่งเสียงถามชัดเจน จนพิชัยภัทรเจ้าของบ้านต้องอธิบายยาว
"ผ่านมาสิบกว่าปี ตั้งแต่ดุจดวงมาอยู่ที่นี่จนตอนนี้ยัยนาราโตเป็นสาวเธอก็ไม่ไปไหนบอกว่าเป็นห่วงนารา แถมไม่กล้าแต่งงานคลองโสดจนขึ้นคานแล้ว"
"คุณชัยก็พูดเกินไปค่ะ ที่กลัวเพราะกลัวคุณชัยเอาแม่เลี้ยงใจร้ายมาให้คุณหนูต่างหาก"
"แล้วฉันมีหรือเปล่า เธอก็มองฉันด้านลบตลอด" พิชัยภัทรพูดพร้อมมุ่นคิ้ว จนพัสกรฉีกยิ้มอีกครั้งมองคนทั้งสองสลับกันไปมา ก่อนที่จะฉุกคิดได้ว่ายังไม่ได้ถามข่าวหลานสาวตัวน้อย
"จริงสิ ป่านนี้นาราคงโตเป็นสาวแล้ว เวลาผ่านไปสิบปีไม่รู้ว่าจะจำอาคนนี้ได้หรือเปล่า"
"ไม่ใช่แค่โตนะสิ ตอนนี้ก็เรียนจบแล้วด้วย แต่ไม่ทำงานอะไรหรอกนะวัน ๆ เที่ยวหาแต่เพื่อน อีกหน่อยก็คงจะกลับ" พิชัยภัทรพูดยังไม่ทันขาดคำเสียงรถยนต์ยี่ห้อหรูก็เคลื่อนเข้ามาจอด ไม่กี่อึดใจเสียงแจ้วก็โพล่งมาแต่ใจ
"ป๊า ขอไปทะเลกับเพื่อนได้ไหม" เธอยังไม่สาวเท้ามาถึงห้องนั่งเล่นด้วยซ้ำแต่เสียงที่โพล่งมาแต่ไกลนั้นมันทำเอา พิชัยภัทรกุมขมับทันที เมื่อร่างบางใบหน้าได้รูปอ่อนหวาน ดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนผิวขาวดุจไข่มุกยิ้มร่ามาแต่ไกลก็ทำให้คนที่นั่งมองทางต้องเบิกตากว้างขึ้น
พัสกรจากไปตอนที่นาราได้เพียงสิบสองขวบตอนนั้นเขายังจำได้แม่นว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นร้องไห้หนักมากที่อาของเธอจะไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ
พิมนาราชะงักนิ่งมองใบหน้าหล่อเหลาของคนที่นั่งข้าง ๆ พ่อ ใบหน้าคุ้นตานั้นมันทำให้เธอตกใจไม่น้อย
"ยัยนารา จำอาพัสได้หรือเปล่า เมื่อตอนเด็ก ๆ อาพัสชอบซื้อขนมซื้อตุ๊กตามาให้ ไหว้อาซะสิ" แน่นอนว่านาราเธอจำได้และที่จำฝังใจคือตั้งแต่ที่อาพัสไปมีครอบครัวก็ทิ้งเธอไม่เคยติดต่อมาเลย
"พ่อคะ สรุปพ่อจะให้หนูไปกับเพื่อนหรือเปล่า" เธอนอกเรื่องโดยเหวี่ยงสายตามาหาบิดาที่นั่งข้าง ๆ ไม่สนใจพัสกรว่าจะส่งยิ้มให้เธอด้วยความดีใจ
"เอ๊ะ ลูกคนนี้นี่ยังอีก ยังไม่ไหว้อาอีก"
"เอาเถอะน่ะพี่ นาราคงจำผมไม่ได้หรอกมั้ง"
"ใช่ค่ะ หนูจำไม่ได้ ทำไมเราต้องจำคนที่ลืมเราด้วยค่ะ" เธอสะบัดก้นออกจากตรงนั้น ส่วนดุจดวงที่เป็นพี่เลี้ยงต้องลุกขึ้นแล้วตามคุณหนูของตัวเองไป
พิชัยภัทรถึงขึ้นพ่นลมออกมาอย่างแรง และยังหันมาทางน้องชายที่เขารัก
"ขอโทษแกด้วย นาราขาดแม่มาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งดุจดวงก็เลี้ยงกันแบบตามใจฉันเองก็เอาแต่ทำงานไม่มีเวลาอบรมลูก"
"ไม่เป็นไรหรอกพี่ ผมพอรู้ว่าหลานคงงอนผม ตั้งแต่ที่ผมย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศก็ไม่ได้ติดต่อแกเลย"
"แกก็น่ะ เล่นไปแล้วไปลับนี่ ตอนนี้นาราก็โตเป็นสาวไม่ใช่เด็กที่จะง้อด้วยขนมเหมือนเมื่อก่อนแล้ว" พัสกรมองตามทางที่นาราพึ่งพ้นตาไปเมื่อครู่ จริงอย่างที่พี่ชายบอกนาราโตเป็นสาวแล้วจริง ๆ แถมยังสวยจนเขาเองจำแทบไม่ได้หากจะซื้อขนมมาง้อเหมือนตอนเด็กก็คงไม่สำเร็จ
