11
“ปล่อยได้แล้วค่ะ” เวลาดึกสงัดที่ผู้คนหลับใหล การลักลอบพบเจอที่ทำเป็นปกติ วันนี้อาจจะทำไม่ได้สะดวกเท่าไหร่
“คุณย่าอาการไม่ค่อยดีเหรอ” เอ่ยถามเชิงเข้าใจ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยร่างเล็กออกจากอ้อมกอด
“ใช่ค่ะ ไอเยอะก็เลยต้องตื่นขึ้นมาบ่อย นี่ก็มาเกือบชั่วโมงแล้ว...ต้องรีบกลับแล้วค่ะ” บัลลังก์พยักหน้า พร้อมค่อยๆ คลายอ้อมกอด แต่ก็ไม่วายจุมพิตหนักๆ ลงที่ศีรษะของเธอเชิงบอกลา
“ลงทางบันไดเถอะ ครั้งที่แล้วเกือบจะหล่น ฉันไม่ไว้ใจ”
“ไม่ได้นะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“ใครจะมาเห็น หลับไปหมดแล้ว” เขาดึงมือเธอ จูงเดินไปทางประตูเชิงบังคับ
“แต่ว่า...”
“อย่าดื้อ ใครจะเห็นก็ให้เห็นไป ฉันไม่เคยอยากจะปิด” เมื่อเขาเอ่ยเสียงจริงจังเข้า คนที่ร้องขอให้เรื่องนี้เป็นความลับมาตลอด ก็ต้องทำตามอย่างว่าง่าย
เธอรู้ว่าคนอย่างเขาไม่เคยคิดที่จะสนอะไร ไม่สนใคร ไม่สนทั้งตำแหน่งหน้าที่การงานทั้งหมด หรือแม้แต่เงินทองทั้งหลาย
“ส่งแค่นี้พอค่ะ เดี๋ยวปิ่นย่องลงไปเอง” เธอว่าเชิงกระซิบเมื่อมายืนอยู่หน้าห้องของเขา ที่มีเพียงไฟทางเดินเปิดสลัว มองไปรอบๆ ที่เงียบสงบไร้เสียงผู้คน
“อื้อ” แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งเมื่อเขายื่นจมูกเข้ามาชนแก้มเธอเบาๆ อีกครั้ง ก่อนเดินเข้าห้องและปิดประตู
คนใจตุ้มต่อมถอนหายใจออกมาเชิงโล่ง พร้อมชะเง้อ เดินย่อง ไม่วางใจว่าจะไม่มีใครเปิดประตูออกมาในตอนนี้
ห้องนอนของบัลลังก์อยู่ที่ด้านปีกซ้ายของบ้าน ซึ่งมีแค่ห้องของเขาและห้องนอนเก่าของบิดากับคุณท่านที่เสียชีวิตไปแล้ว สมัยที่อยู่ชั้นบนกับภรรยา
ส่วนคนอื่นๆ พักกันอยู่ที่ปีกขวา...ซึ่งเธอไม่จำเป็นจะต้องเดินผ่าน แต่บันไดกลางก็มักจะมีคนเดินตรวจความเรียบร้อยอยู่บ่อยๆ
“ลงทางนั้นเดี๋ยวก็เจอป้าเพ็ญ” เสียงหนึ่งที่ดังขึ้น ทำเอาปิ่นวลีต้องเอามือปิดปากตัวเองที่กำลังจะกรีดร้องออกไปเพราะตกใจ
ตาเบิกกว้างขึ้นเมื่อหันไปพบต้นเสียง ที่ยืนสงบนิ่งอยู่ในชุดคลุมนอนสีเลือดหมู แววตาเยือกเย็นเรียบเฉยเช่นทุกเมื่อเชื่อวันที่ได้พบเห็น
“คุณจิน...” เมื่อได้สติก็รีบเอ่ยออกมาเสียงเบาหวิว
“มาทางนี้เถอะ ลงบันไดหนีไฟของบ้านจะได้รอด” แม้จะสงสัยว่าทำไมเธอถึงยอมช่วย แต่ก็ยอมที่จะเดินตามไปแต่โดยดี
เธอเชื่อมั่นว่า บัลลังก์ไม่น่าจะเล่าเรื่องของเธอกับเขาให้คนที่เขาเกลียดฟัง แต่เธอรู้ได้ยังไง?
“ขอบคุณนะคะ” เมื่อเดินตามมาจนถึงที่ปลอดภัยและสามารถเปิดประตูเชื่อมไปทางครัวด้านหลังได้แล้วนั้น ก็ต้องรีบเอ่ยเพื่อที่จะลา
“คิดเหรอว่าคนอย่างฉัน จะช่วยใครฟรีๆ”
นั่นสิ...ไม่มีแน่อยู่แล้วล่ะ
“เมื่อครู่คุณท่านไอมาก ฉันก็เลยให้ทานยาแก้ไอไปแล้ว หลับไปเรียบร้อย ฉันแก้ต่างให้พวกที่นอนเฝ้าว่าเธอขอไปเข้าห้องน้ำ ฉะนั้นอยู่คุยกันนานๆ ก่อนได้” ปิ่นวลีกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอด้วยใจที่เต้นแรงขึ้น
กำลังทวงบุญคุณอยู่อย่างนั้นสินะ
“คุณต้องการอะไรคะ?”
“รักคุณใหญ่เขามากแค่ไหน” เข้าเรื่องทันทีจนแก้มใสร้อนขึ้น
“ฉันรู้เรื่องนี้มาพักใหญ่ และก็คิดทบทวนว่าฉันจะได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้บ้าง เพราะถ้าไม่มีเลย...ก็คงคิดว่าจะไม่ยุ่ง และถ้ามีผลเสีย ก็คงจะต้องจัดการให้เรียบร้อย” เอ่ยเชิงเรียบเรื่อยขึ้นมา แต่เด็กฉลาดอย่างปิ่นวลีเข้าใจในความหมาย
“มากเท่าชีวิตนี้ค่ะ”
“บูชาความรักว่างั้น” ยิ้มเชิงแค่นพร้อมส่ายหน้าออกมา
“ก็คงจะดีกว่าบูชาเงินแหละค่ะ” คนที่รู้รายละเอียดของการอยู่ที่นี่ของจินดาราพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็ง
“ฝีปากไม่เลวเลย ดี...อย่างนี้แหละดี เพราะถ้าเธออ่อนปวกเปียก เธอก็จะบูชาความรักของเธอไม่รอด” รอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้มของจินดาราทำเอาปิ่นวลีรู้สึกไม่สบายใจ
“คุณต้องการอะไรก็บอกปิ่นมาเลยตรงๆ ดีกว่า” จินดาราพยักหน้า
“คิดว่าตัวเองจะลักลอบพบกับคุณใหญ่ไปถึงเมื่อไหร่ ตลอดไปหรือ?” แววตาอ่อนไหวของเด็กสาวเข้มขึ้น
“ไม่แน่นอนค่ะ”
“วางแผนเอาไว้ว่ายังไงบ้างล่ะ จับผัวรวยเนี่ย...ต้องวางแผนกันเยอะมากเลยนะ รู้ใช่ไหม?”
“ปิ่นไม่เคยคิดที่จะจับคุณใหญ่ค่ะ” เสียงแข็งขึ้นมากกว่าเดิม เชิงไม่พอใจ
“อ้อลืมไป หล่อนมันพวกบูชาความรัก” ยิ้มเชิงสมเพชให้ พร้อมทั้งส่ายหน้า
“เป็นพวกเจียมตัวเสมอ จะยอมให้เขาไปแต่งงานกับผู้หญิงที่เหมาะสม แล้วยอมอยู่ในมุมลับๆ เพื่อแลกกับการมีเขาในชีวิต ทำเพื่อเขาได้ทุกอย่าง เพราะรักเขา อย่างนั้นรึเปล่า?”
“นั่นก็ไม่ใช่แน่นอนค่ะ” จินดาราสะดุดเล็กน้อย เมื่อเห็นแววความมุ่งมั่นในแววตาเด็กสาวที่กร้าวขึ้น
“ยังไง” และพร้อมเปิดใจที่จะฟังอีกหนึ่งมุมมอง
“ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำเพื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียว นั่นไม่ใช่ความรัก...ความรักที่ดีคือความรักที่คนทั้งสองพร้อมที่จะทำเพื่อกันและกัน” คนที่เคยผ่านประสบการณ์ความรักประเภทนั้นมา เบือนสายตาหลบเล็กน้อย
“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”
“ปิ่นจะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองคู่ควรกับคุณใหญ่ค่ะ” จินดาราหันไปมองหน้าเด็กสาวในสายตาของตัวเองทันที เชิงไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“คู่ควร? กับคนที่ต่างจากเธอ ราวฟ้ากับเหวอย่างนั้นน่ะเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ปิ่นตั้งใจเรียน ตั้งใจทำทุกอย่างให้ดี ทั้งหมดนี่ก็เพื่อให้ตัวเองคู่ควรกับคุณใหญ่ค่ะ” นี่คือการเปิดใจที่ไม่เคยบอกใครให้ล่วงรู้มาก่อน และไม่เคยคิดที่จะบอกด้วย
แต่หนนี้เธอเข้าตาจนแล้ว ผู้หญิงคนนี้ล่วงรู้ความลับของเธอแล้ว จะบอกหรือไม่บอก...ผลมันคงจะเท่ากัน
“เหอะ เธอคิดว่าแค่นั้นมันจะพอเหรอ คิดว่าความเก่ง ความสามารถของตัวเอง จะพอให้ตัวเองคู่ควรอย่างนั้นเหรอ?” คำถามเชิงค่อนระคนเจ็บปวดนี้ ทำเอาปิ่นวลีสะดุด
จดจ้องผู้หญิงตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาและหูของตัวเอง
“นี่พูดในฐานะคนมีประสบการณ์ใช่ไหมคะ?” แล้วคนลืมตัวก็ค่อยๆ ยืดลำตัวเชิดใบหน้าขึ้น สลัดความรู้สึกเก่าๆ ออกไปชั่วครู่
“อย่ามาหัดยอกย้อน”
“ปิ่นรู้ค่ะว่าแค่ความสามารถ ความเก่งคงจะไม่พอสำหรับการคู่ควรกับคนที่ต่างจากเรามากขนาดนั้น แต่ในเมื่อเขายอมโน้มตัวเองลงมา แล้วทำไมเราถึงจะไม่กล้าเขย่งละคะ”
“ความรัก มันไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน” คนที่มีประสบการณ์มาก่อนสวนกลับอย่างทันที
“สำหรับคนสองคนที่ไม่มั่นคงต่อกันพอเท่านั้นแหละค่ะ เหมารวมไม่ได้” และคนที่มุ่งมั่นกว่าก็สวนกลับทันทีไม่แพ้กัน
แววตาเยือกเย็นของจินดาราสะเทือนไหว เมื่อได้เห็นความมุ่งมั่นอย่างเอาเป็นเอาตายของผู้หญิงตรงหน้า
“มั่นใจแล้วใช่ไหม ว่าจะทำได้ทุกอย่างเพื่อเขย่งขึ้นไปหาคุณใหญ่”
“ค่ะ มั่นใจ” ความไม่ลังเลเลยสักครั้งของปิ่นวลีทำเอาจินดาราให้การยอมรับ
“ไปได้แล้ว”
“จะถามแค่นี้ อย่างนั้นเหรอคะ?” ว่าเชิงประหลาดใจ เพราะคิดว่าจะได้ยินคำขู่ คำตักเตือนหรืออะไรบ้างสิ
“ใช่ แค่นี้แหละ” แล้วก็เดินเลี่ยงกลับขึ้นไปด้านบนทันที ปล่อยให้ปิ่นวลียืนงง แต่ก็ไม่ได้มีเวลามากนัก เพราะคุณท่านเองก็รออยู่
ค่อยว่ากันละกัน!
