บทที่ 5 ปริญ ไชยลากุล
ณัฐนารีเดินมาถึงประตูบานใหญ่ที่กุด้วยกำมะหยี่สีดำ ไม่ต้องจินตนาการว่าด้านหลังประตูบานนี้ด้านในจะเป็นอะไร ด้านหน้ามีชายฉกรรจ์สองคนยืนประสานมืออยู่หน้าห้อง ทั้งสองเพียงแค่ปรายตามองเธอก่อนจะตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเอง
เมื่อประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของชายฉกรรจ์หนึ่งคนตรงหน้าเธอ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกหนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปภายในห้องนั้นอย่างไม่หวั่นเกรง
เธอรอคอยวันนี้…วันที่จะเป็นประโยชน์กับเขาสักวัน
‘ปริญ ไชยลากุล’ ผู้ชายที่ยืนหันหลังอยู่ข้าง ๆ ราวตากผ้าแบบเลื่อนที่มีเสื้อผ้าแขวนอยู่หลายตัว และแต่ละตัวมันเป็นสีเดียวกันทั้งหมด เขากำลังสวมใส่เสื้อสูทที่มีสีคล้ายคลึงกับชุดที่เธอสวมใส่
“คุณบวรผมว่านี่ไม่ใช่สูทผม”
น้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ทรงพลังที่ถามเลขาคนสนิททำเอาพนักงานหญิงที่กำลังช่วยเขาสวมใส่ชุดสูทลนลานทำอะไรไม่ถูกจน ผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งในชุดเดรสดูดีมีระดับรีบปราดเข้ามาดู ก่อนใบหน้าของเธอจะบิดเบี้ยวและหันไปบริภาษลูกน้องเสียยกใหญ่
“ขอโทษนะคะคุณปริญดิฉันจะรีบให้เด็กเอามาเปลี่ยนให้ค่ะ” เสียงพูดคุยดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่กลุ่มของช่างตัดเสื้อจะหายไปทางประตูทางออกอีกฝั่งหนึ่ง
“ผมมีเวลาให้คุณครึ่งชั่วโมง” คุณบวรบอกเสียงเรียบพอ ๆ กับเจ้านายนั่นแหละ
“ไม่เป็นไรคุณบวร” คำว่าไม่เป็นไรของเจ้านายไม่เป็นผลดีใด ๆ ณัฐนารีรู้สึกได้ว่ามีคนกดระเบิดเวลาแล้ว
สถานการณ์ในห้องนั้นเริ่มตึงเครียด ณัฐนารียืนอยู่ไกลสุดประตูทางเข้าอีกด้านหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าเธอจะจับสังเกตอะไรไม่ได้เลย เจ้านายของคนพวกนี้กำลังหัวเสียอย่างสุด ๆ กับชุดสูทที่มันไม่ใช่ของเขา
“นายครับ…คุณลีมาแล้วครับ” เพียงแค่คุณบวรเอ่ยชื่อเธอ ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวหันกลับมามอง
สองขาของณัฐนารีก็เหมือนจะก้าวไม่ออก เธอหยุดยืนอยู่ตรงนั้นโดยมือที่ปล่อยไว้ข้างตัวเผลอกำชายกระโปรงชุดเดรสแน่น เมื่อเขาก้าวเท้าเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า
ใบหน้าคมสันของคนในความทรงจำยังคงดูดีเช่นวันวาน ในตอนนี้ที่เขาก้าวเท้าเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าและไล่ดวงตาคมสีเหล็กมองกัน ณัฐนารีรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก
“จำฉันได้หรือเปล่า” มันเป็นคำถามที่เธอไม่คิดว่าเขาจะเอ่ยคำนี้แทนคำทักทาย ณัฐนารียกสองมือขึ้นจรดหน้าอกเพื่อไหว้เขาแต่มือหนากลับแบมาตรงหน้าเธอ
หญิงสาวมองฝ่ามือขาว ก่อนจะกราบลงไปบนฝ่ามือนั่น และเพียงแค่พริบตาเดียวอุ้งมือร้อนจัดก็ประคองใบหน้าเธอและลูบแก้มเบา ๆ
หัวใจของหญิงสาวแทบจะหยุดเต้น เมื่อเขาใช้ฝ่ามือจับแก้มทั้งสองข้างของเธอ เขาเข้ามาใกล้แบบที่เธอได้กลิ่นน้ำหอมแสบร้อนจากร่างกายของเขา เธอเผลอก้าวเท้าถอยหลังไปหนึ่งก้าว และมือหนาก็รวบเอวดึงเธอเข้ามาใกล้อีก
“สวย และรสนิยมดี” ณัฐนารีลำคอแห้งผาก เมื่อปลายจมูกโด่งสันฝังลงมาบนลาดไหล่เปลือยเปล่าที่โผล่พ้นช่วงผ้าของเดรสแบบผูกคอ
ลมหายใจร้อนผ่าวกดฝังลงมายังไหปลาร้า และใบหน้าคมคายก็เลื่อนขึ้นมาสบตามอง
หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะขยับกายหนีไปทางไหน เธอปล่อยให้เขาจดจ้องมองเธออยู่แบบนั้น โดยที่ก็ไม่รู้ว่าการที่เขามองเธอ ปริญกำลังคิดอะไร
ณัฐนารีกะพริบตาก่อนจะหลุบสายตามองแค่เพียงผืนพรมที่เธอเหยียบอยู่เท่านั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้อกข้างซ้ายของเธอมันสะเทือนไปหมด
“ไปนั่งตรงนั้นเถอะ ฉันมีอะไรจะคุยด้วย” ปลายนิ้วโป้งกดลงมาที่แก้มของเธอหนึ่งที ก่อนที่เขาจะผละออกไป
สัมผัสอุ่น ๆ ที่ติดตรึงอยู่ตรงแก้ม หญิงสาวรีบเดินไปยังโซฟากลางห้องและนั่งหลังตรงเก็บมือเก็บขาอยู่แบบนั้น
เวลาผ่านไปไม่รู้กี่นาที ในขณะที่มีผู้คนมากมายที่เป็นพนักงานเดินเข้าเดินออก ณัฐนารีก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่แม้จะกระดิกตัวไปทางไหน หรือแม้แต่กระทั่งดื่มน้ำเธอก็ไม่ดื่ม
“จะเกร็งทำไม” แก้วบรั่นดีทรงสี่เหลี่ยมแตะลงมาบนแก้มข้างซ้ายเป็นข้างเดียวกับที่เขาจิ้มลงมาก่อนหน้านี้
“ลี…ไม่ได้เกร็งค่ะ” หญิงสาวตอบออกไปและมองหน้าเขาแค่เพียงครู่เดียว ก่อนจะหลุบตาลงต่ำผ่อนลมหายใจ
“กับคนอื่นเป็นแบบนี้หรือเปล่า หรือเป็นแค่กับฉัน” ปริญถามออกไปพร้อมกับจดจ้องใบหน้าสวยจัดของเด็กหญิงขี้แยในวันวาน เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นโพรงอกของเขามันวูบไหวไปหมด
“ลีเป็นแบบไหนคะ” หญิงสาวถามเพราะอยากรู้ว่าเขามองเธอแบบไหน
“เฉยชา เธอเฉยชาแบบนี้กับผู้ชายทุกคนหรือเปล่า หรือเป็นแค่กับฉัน”
คำว่า ‘เฉยชา’ ณัฐนารีกะพริบตามองเขา และเมื่อสายตาของชายหนุ่มไปหยุดอยู่ด้านหลัง หญิงสาวก็หันไป และเมื่อพบคนที่ปริญกำลังมองอยู่เธอก็ถอนหายใจออกมาแทน
“ลีไม่ได้เฉยชาค่ะ หน้าเป็นแบบนี้” เธอบอกปฏิเสธก่อนที่เราจะสบตากัน ในตอนนั้นมันเหมือนกับวงล้อแห่งกาลเวลาดึงดูดให้เราทั้งคู่จมดิ่งลงสู่อดีตอีกครั้ง
ในงานประมูลของเล่นคนรวยงานหนึ่ง ปริญได้รับเชิญให้ไปร่วมงานโดยเข้าจะประมูลหรือซื้ออะไรกลับบ้านก็ได้หากพอใจ ที่นั่นมันเป็นเหมือนอีกโลกใบหนึ่งที่มีแค่สีดำเท่านั้น ตลาดมืดของคนรวย กิจกรรมยามว่างที่ไม่เหมาะกับคนโลกสวย เพราะอาจจะทำให้หัวใจวายตายไปก่อนได้
‘นั่นคนเหรอ…’
‘ใช่ครับ…มาจากหลายประเทศเลย ประเทศไทยก็มี’
‘ยังมีอยู่อีกเหรอ นี่มัน 2022 แล้วนะ’
‘เยอะแยะครับ คุณปริญจะเอาแบบไหน ทั้งตัวก็มี ครึ่งตัวก็มี ไส้ในก็มี ได้หมดแหละครับ’
‘ไส้ใน? มีคนซื้อด้วยเหรอ นั่นคนยังไม่ตายเลยนะ’
‘ครับ แล้วแต่ความเชื่อคน แต่ส่วนมากก็ซื้อไปเลี้ยงไม่กินกันหรอกครับมันยุคแล้ว อะไรมันจะไปซื่อสัตย์แสนรู้ว่ามนุษย์ล่ะครับ แล้วไม่ต้องกลัวนะครับ มีชื่อ-นามสกุลให้เสร็จสรรพหารากเหง้าไม่เจอเลย’
ปริญมองกรงสี่เหลี่ยมที่ตั้งไว้เรียงราย หนึ่งกรงต่อหนึ่งชีวิต มันมีทั้งสัตว์ป่าหายาก และคน คนเป็น ๆ ที่นอนขดอยู่
เสียงร้องขอความช่วยเหลือไม่มีให้ได้ยิน มีเพียงเสียงสะอื้นเบา ๆ และคราบน้ำตาเพียงเท่านั้น
‘เฮ้! ปริญนายสนใจหรือเปล่า อยากได้ตัวไหนเลือกเลยนะเราลดให้?’
คู่ค้าคนสำคัญเดินมากอดคอเขา และกระชากให้เดินเข้าไปใกล้ ๆ กรงที่มีสิ่งมีชีวิตหลากหลายอย่างบรรจุไว้
‘ไม่ดีกว่า ไม่ชอบเลี้ยงสัตว์’ ปริญหมายถึงว่าเขาไม่ชอบเลี้ยงอะไรแบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกแย่เกินไป
‘เอาไปสิ! เสริมบารมีไง! อะไรมันจะไปดีกว่าการให้ชีวิตใหม่กับไอ้พวกไม่มีชีวิต ไอ้พวกนี้พ่อแม่มันเอามาขายทั้งนั้นแหละ ขายเสร็จเอาเงินไป ทิ้งลูกเอาไว้ นายลองจ้องตาพวกมันสิ มันรอเจ้านายอย่างนายนะปริญ’
ปริญรู้ว่าโลกและสังคมที่เขาอยู่มันมีอะไรแบบนี้ แต่เขาก็อดอนาถใจไม่ได้จริง ๆ เพราะในกรงพวกนั้นมันมีเด็กผู้หญิงที่ตัวเล็กแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง
คนที่โฆษณาขายของก็หัวเราะร่าพร้อมกับชี้นิ้วบอกเขาว่ามีเด็กอายุเท่าไหร่บ้าง ปริญยิ้มก่อนจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างจับขากางเกงเขาไว้
‘ช่วยด้วย ช่วยหนูด้วย’ ดวงตาสีดำสนิทเงยหน้าขึ้นมาสบตามองเขา ฝ่ามือเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดที่แห้งกรัง
‘เฮ้! อย่ามาจับขาเพื่อนฉัน!’ รองเท้าหนังราคาแพงเตะฝ่ามือเล็ก ๆ ที่ยื่นออกมาจากลูกกรงนั่น
ปริญมองค้างอยู่แบบนั้น ข้อมือเธอเล็กขนาดที่ยื่นออกมาจากช่องกรงนั่นได้ เธอยังมีชีวิตแน่อยู่หรือเปล่า
ดวงหน้าสกปรกและหยาดน้ำตาสีใสที่ไหลรินลงมาไม่ขาดสาย ทั้งที่เนื้อตัวของเด็กหญิงมอมแมมและมีกลิ่น ปริญแทบจะมองไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าเธอหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เขากลับรู้สึกว่ามองหน้าเธอชัดเจน
‘สามหมื่นเหรียญครับ’ มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาก่อนที่กรงของเด็กหญิงจะถูกขยับลากออกไป
ท่อนแขนเล็กนั่นยื่นมือออกมาและยังไขว่คว้าขากางเกงเขาไว้พร้อมกับยื้อมันไว้สุดแรงที่มี
‘เฮ้! อีนี่มันดื้อจริง ๆ อยากมือขาดเหรอวะ!’ ทั้งที่โดนรองเท้าหนังของคนคนเดิมรุมเตะที่ข้อมือแตกช้ำ แต่เด็กดื้อคนนี้กลับมองแค่หน้าเขา และร้องไห้ออกมาทั้งยังกอดขาเขาเอาไว้แน่น
‘ยกมาเลยกูซื้อ! ผู้หญิงอายุสิบห้ากำลังดี เอาไปล้างหน่อยเดี๋ยวส่งขายได้’
ในตอนนั้นปริญหันไปมองหน้าคนพูด เป็นฝรั่งตัวสูงที่เป็นล่ามมันผู้คุยกับผู้ชายที่โพกผ้าไว้บนศีรษะ
‘ไหวที่สองหมื่น ขายก็ซื้อ เพราะไม่รู้จะซิงหรือเปล่า เขากลัวจะผุพังเสียราคาไม่คุ้ม’ ตอนนั้นที่ปริญได้ยิน หัวใจมันรู้สึกแปลก ๆ ชอบกล
‘คุณ ฮึกก ช่วยหนูไหม ช่วยหนูที หนูไม่อยากขายตัว’ ภาษาที่เธอเปล่งออกมานั่นมันมีแค่เขาที่ฟังรู้เรื่องอยู่คนเดียว ล่ามคนเดิมพูดเสียงดังฟังชัดเพื่อจะทำการตกลงซื้อขายกัน
ยังไม่ทันที่คู่ค้าของเขาจะตอบอะไรกลับไป ปริญโน้มตัวลงไปถามเด็กหญิงที่มือข้างนั่นยังคงกำขากางเกงเขาอยู่
‘ไปอยู่กับฉันไหม?’ เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถามอย่างใจดี แววตาของเธอหวาดกลัวหวาดหวั่นไม่รู้ว่าใครมาดีหรือมาร้าย
‘ถ้าไปกับคุณแล้วหนูจะได้อะไร คุณจะไม่พาหนูไปขายตัวใช่ไหม หนูไม่อยากเป็นเหมือนแม่’
‘เธอจะได้ทุกอย่างที่เธอต้องการ ฉันจะไม่บังคับเธอ แต่เธอต้องประโยชน์กับฉัน’
‘ถ้าคุณทำให้หนูหลุดออกไปจากนรกนี้ได้ ชีวิตนี้…หนูให้คุณ หนูจะมีประโยชน์กับคุณแน่นอน’
เด็กหญิงตัดสินใจและฟุบหน้าลงไปแทบเท้าชายหนุ่ม ไม่ว่าผู้ชายคนนี้จะหลอกเธอไปทำอะไร ขอแค่ไม่ต้องอยู่อย่างอดอยากทุกข์ทรมานแบบนี้ เธอก็พร้อมจะมอบทั้งชีวิตให้เขาอยู่แล้ว
เธอหวังว่าเขาจะช่วยเธอหลุดพ้น เธอเชื่อว่าเขาเป็นคนดี เธอมองเห็นสายตาของเขาที่มองเราทุกคน
มันไม่ใช่สายตาของคนเลว แบบที่คนพวกนั้นมองเธอ…
“โตมาได้ดี…ณัฐนารี”
