บทที่ 5
ณิตาถูกปล่อยให้นั่งอยู่ในห้องตามลำพังหลังจากที่เข้ามานั่งในห้องทำงานของประธานบริษัทมานานกว่ายี่สิบนาทีแต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของประธานบริษัท ร่างบางลุกจากเก้าอี้ไปยังผนังห้องที่กรุด้วยกระจกสามารถมองเห็นมุมสูงของเมืองหลวงได้ถนัดตา มองเห็นรถยนต์ที่แย่งกันเคลื่อนตัวเพื่อไปยังจุดหมายของแต่ละคนแล้วได้แต่ถอนหายใจ ในเมืองที่ความเจริญเติบโตทางด้านวัตถุสูงแต่ในทางจิตใจของมนุษย์กลับยิ่งตกต่ำ ทำให้คิดถึงคืนที่ตนกับอลิสาถูกผู้ชายแปลกหน้าสองคนเข้ามาขวางทางตอนออกจากผับชื่อดังเพื่อเดินทางกลับที่พัก ณิตายังจำใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเล ที่ทำให้ใจเต้นแรงเมื่อตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาได้ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดเหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านร่างของเธอ แค่คิดก็ทำให้ใบหน้าร้อนผ่าวรู้สึกร้อนขึ้นบริเวณที่ถูกเขาสัมผัส
“เฮ้ออ..”
ณิตาถอนหายใจแล้วหันหลังกลับมานั่งที่เพื่อรอพบท่านประธานตามเดิม แล้วก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ รู้สึกเหมือนใจหล่นวูบไปกองอยู่ที่ปลายเท้า ณิตาเผลออ้าปากค้างเมื่อเห็นชายหนุ่มในความคิดเมื่อกี้กำลังนั่งกอดอกมองดูเธออยู่ที่โต๊ะทำงาน ด้วยดวงตาที่เป็นประกายสั่นระริกราวกับผู้ชนะที่สามารถจับตัวเธอได้สำเร็จ และดูเหมือนจะมีความสะใจนิดๆที่เห็นเธอชะงักเมื่อเห็นว่าเขากำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ซึ่งเป็นโต๊ะของประธานบริษัท
“จะยืนตกใจอีกนานไหมคุณณิตา เชิญนั่งก่อนสิ”
เสียงเข้มเอ่ยขึ้นทำให้สติของณิตากลับมาทำงานอีกครั้ง แต่ใจของเธอยังคงเต้นแรง ร่างกายสั่นไปหมดด้วยความกลัวและเขินอายปะปนกัน ณิตาเดินกลับมานั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามเจ้าของดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล สายตาที่เขาใช้มองเธอมันเปล่งประกายแปลกจนเธอเกิดอาการประหม่า สองมือเล็กเย็นเฉียบจับกันแน่นบนหน้าตักของตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกตัว ชายหนุ่มยังคงจ้องสำรวจเธอไปทั้งตัวริมฝีปากแดงอมชมพูอวบอิ่ม ใบหน้าเรียวสวยล้อมกรอบด้วยผมซอยสั้นดูกระฉับกระเฉง รับกับรูปร่างสมส่วนที่อยู่ภายใต้ชุดทำงานเข้ารูป รู้สึกอยากจะกระชากชุดเห่ยๆ นี้ออกจากตัวหล่อนแล้วสำรวจรูปร่างที่แท้จริงทุกซอกทุกมุมไม่ให้เหลือแม้แต่นิดเดียวตั้งแต่ตอนนี้ แต่ก็ทำได้แค่นิ่งเพื่อไม่ให้หล่อนหนีไปอีก
เมื่อไรอันท์ได้รับแฟ้มรายงายประวัติส่วนตัวของณิตาจากครอสที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดีเยี่ยมภายในคืนนั้น ชายหนุ่มจึงนั่งอ่านประวัติของหญิงสาวในแฟ้มจนจบ จึงได้รู้ว่าหล่อนคือ นางสาวณิตา เกียรติพินิจ เป็นเลขาของเอกวิทย์ผู้จัดการโรงแรม ซึ่งก็หมายถึงหล่อนเป็นพนักงานในบริษัทของเขานั่นเอง หล่อนเป็นลูกสาวของนายขจรและนางสรวงสุดา เกียรติพินิจ เจ้าของไร่ชาพินิจนันท์ ไร่ชาที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงราย และมีพี่ชายก็คือนายณดล เกียรติพินิจ ที่รับช่วงสืบต่อกิจการไร่ชาอีกหนึ่งคน ณิตาซึ่งเป็นลูกสาวคนเล็กที่ถูกตามใจจากทางบ้าน เลยยังไม่คิดจะกลับไปช่วยงานที่บ้านอย่างที่ครอบครัวคาดหวัง หญิงสาวอาศัยอยู่คอนโดที่กรุงเทพเพียงลำพังทำให้พ่อกับแม่เป็นห่วงทั้งๆ ที่ทางบ้านก็พยายามหว่านล้อมให้กลับไปช่วยที่ไร่ ที่สำคัญยังไม่มีคนรักหรือคบหากับใครจริงจัง ถึงแม้หน้าตาที่สวยหวานและรูปร่างที่เย้ายวนจะเชิญชวนให้ชายหนุ่มหลายคนเข้ามาขายขนมจีบแต่หล่อนก็ปฏิเสธ เขาจึงอยากจะเด็ดดอกกุหลาบดอกนี้ลงมาเชยชมความหวานหอมดูสักครั้ง
“คุณ...เอ่อ..ท่านประธานเรียกดิฉันมาพบด้วยเรื่องอะไรคะ” ณิตากลั้นใจถามออกไปด้วยความอึดอัดที่ถูกอีกฝ่ายเอาแต่จ้องหน้าไม่ยอมพูดเรื่องที่เรียกเธอมาคุยสักที แล้วก็ต้องก้มหน้ามองมือของตัวเองราวกับมีอะไรน่าสนใจ เพราะถูกสายตาคู่นั้นจ้องมองมาราวกับจะดึงดูดให้เธอตกลงไปในความรู้สึกแปลกๆที่เขาเป็นคนสร้างขึ้น
‘นี่เค้าเป็นประธานบริษัทหรือเนี๊ย แล้วเขาเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่นะ...ตายๆๆๆยัยตาเอ๊ยแกตายแน่ ’
“เงยหน้าสิก้มหน้าอย่างนั้นจะคุยกันได้อย่างไร ฉันไม่ชอบคุยกับคนที่ไม่มองหน้า” เสียงเข้มออกคำสั่งแกมบังคับ
ณิตาจึงเงยหน้าขึ้นตามคำสั่ง จึงสบตาเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่นั้นที่มองจ้องเธออยู่ก่อนแล้ว เขากำลังจะทำให้เธอตายเพราะหัวใจที่เต้นแรงเกินปกติ
“ผมอยากให้คุณมาเป็นเลขาส่วนตัวของผม”
“ดิฉันเป็นเลขาของคุณเอกวิทย์คะ คงไม่สามารถเป็นเลขาให้กับท่านประธานได้ แล้วท่านก็มีเลขาส่วนตัวอยู่แล้วนิคะ”
“ครอส เป็นทั้งบอดิการ์ดทั้งเลขาส่วนตัว งานเยอะจนล้นมือแล้ว ผมเลยต้องการหาคนมาช่วยงานของเค้า เฉพาะช่วงเวลาที่ผมอยู่ประเทศไทยเท่านั้น” เสียงเข้มยังคงราบเรียบ ติดจะเบื่อหน่ายด้วยซ้ำกับคำสั่งที่หล่อนพยายามขัดขืน
“แต่งานของดิฉันที่ต้องช่วยคุณเอกวิทย์ก็เยอะแล้วนะคะ ถ้าต้องมาเป็นเลขาของท่านประธานอีก ดิฉันคิดว่างานที่ออกมาจะไม่มีประสิทธิภาพค่ะ” ณิตายังคงหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองต่อไป เพราะไม่อยากทำงานอยู่ใกล้ชายหนุ่มที่ทำให้เธออยากจะหนีไปให้ไกลที่สุด
