บทที่ 9 เป็นแฟนกันแล้วนะ
“กะ...ก็...ก็คุณย่าคุณพูดเหมือนกับว่าเรา...มีอะไรกันแล้ว ไม่ใช่หรือไง?” มนทิชาพูดเสียงอ่อย
“หรือจะให้บอกว่าเธออกหัก กำลังหาที่ระบาย เลยให้ฉันพาไปกินเหล้า ดูดีจังเลยนะ” เขาย้อน
หญิงสาวสะอึก ไม่ใช่เพราะคำพูดเจ็บแสบนั้น แต่เพราะเขาสะกิดแผลของเธอโดยบังเอิญ ขนาดเขาที่รู้จักเธอเพียงผิวเผินก็ยังมองออกว่าเธออกหัก และคงจะรู้อีกนั่นแหละว่าเป็นเพราะใคร
“เรื่องของคุณกัณหาพี่จะอธิบายทีหลัง แต่ยังไงก็ช่วยกันหน่อยเถอะ ไม่อย่างนั้นพี่ต้องถูกจับแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ คุณกัณก็คงจะตกใจมาก หนูมนจะใจดำขนาดนั้นเชียวหรือ?” เขาเปลี่ยนสรรพนามตัวเองจาก ฉัน เป็น พี่ หน้าตาเฉย ทั้งยกกัณหามากล่าวอ้าง ซึ่งหากกัณหารู้ว่าเขาถูกจับคลุมถุงชน หล่อนจะต้องตกใจ แต่ไม่ใช่ตกใจแบบคนรักที่ถูกทรยศแน่นอน
“อะไรกัน หนูมน...เรียกซะสนิทสนมเลยนะ ใครๆ ก็เรียก ทิชา กันทั้งนั้น” หญิงสาวส่งค้อน รู้สึกจั๊กจี้ที่เขาทอดเสียงอ่อนโยนยามเรียกเธอว่า “หนูมน” ซึ่งปกติแล้วแม้แต่คนใกล้ตัวอย่างกัณหาหรือจีรพงศ์ ต่างก็เรียกเธอว่า ทิชา ซึ่งเป็นพยางค์หลังมาตลอด มีแต่เธอที่แทนตัวเองว่า มน และจะใช้ “ฉัน” ในช่วงที่อารมณ์ไม่ดีหรือกับคนแปลกหน้า
“ชื่อหนูมนน่ารักดีออก” เขาพูดยิ้มๆ เริ่มออกรถเมื่อเธอหยุดประท้วง
“แล้วพี่กัณล่ะคะ คุณจะทำยังไง?” เธอถามถึงพี่สาว กลัวว่าจะเกิดเรื่องอีรุงตุงนังให้กัณหาเข้าใจผิด
“ก็ไม่เห็นต้องทำไง คุณกัณเข้าใจดี พี่เพิ่งกลับจากอเมริกาเพื่อรับช่วงบริษัทต่อจากคุณพ่อ คุณย่าก็เจ็บออดๆ แอดๆ แค่นี้ก็ยุ่งจนไม่มีเวลาจะหายใจ คุณกัณเองก็ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต พี่ไม่อยากทำให้ทุกคนไม่สบายใจ” เขาตอบอ้อมแอ้มตามประสาคนที่มีชั่วโมงบินสูงกว่า ทุกประโยคเป็นเรื่องจริงแต่ไม่ได้มีความเกี่ยวพันกันเลย ซึ่งเขาคิดว่าคงไม่ผิด เพราะไม่ได้พูดโกหก เธอเข้าใจผิดไปเองต่างหาก
“แล้วเราต้องโกหกไปถึงเมื่อไหร่?” มนทิชาเห็นด้วยเรื่องตารางงานของคนทั้งสอง พี่สาวเธอทำงานหนักมาก ทั้งนี้ก็เพราะต้องหาค่าเล่าเรียนและเลี้ยงดูเธอ พวกเขาอาจจะเพิ่งเริ่มคบกันจึงยังไม่ได้แนะนำตัวกับผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่แปลกที่คนเป็นพ่อแม่จะอยากให้ลูกชายแต่งงานเร็วๆ เพราะจุลพัธน์นั้นสามสิบกว่าแล้ว แถมยังรวยล้นฟ้า ท่านอาจจะกลัวว่าเขาจะไปคว้าผู้หญิงที่ไม่คู่ควรมาทำเมีย จึงคิดจะบังคับให้เขาแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ถ้าเป็นอย่างนั้น กัณหาคงไม่พ้นเป็นแค่ทางผ่าน
พี่จะต้องเสียใจมากแน่ๆ เพราะพี่ไม่เคยพาใครมาที่บ้านเลย ถ้าเธอไม่ช่วยล่ะก็ พี่จะต้องอกหักเหมือนเธอ...
“เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พี่จะเรียนพวกท่านเองว่าหนูมนยังไม่พร้อมจะแต่งงาน พวกเราจึงต้องเลิกกันเพราะพี่เองก็รอไม่ได้ เอาอย่างนี้ดีไหม?”
“อ้อ! งั้นคุณย่าก็ต้องว่าคุณเป็นพวกฟันแล้วทิ้ง ส่วนฉันก็เป็นเด็กใจแตก โห...หญิงร้ายชายเลวเลยนะเนี่ย”
“หรือหนูมนจะแต่งงานกับพี่...เอาไหมล่ะ คุณย่าอยากได้เหลนเต็มแก่ พี่ก็จะพาไปผลิตลูกตอนนี้เลย” เขาพูดทีเล่นทีจริง
“ฉันหมายความว่า...ถ้าเราหลอกลวงท่านในตอนนี้ สักวันหนึ่ง...ถ้าพวกท่านรู้ว่าเราโกหก ท่านจะต้องเสียใจมากแน่ๆ คุณไม่สงสารพวกท่านเหรอ?”
จุลพัธน์จอดรถในทันที สะอึกกับความคิดอันบริสุทธิ์ของเธอ ซึ่งมีแก่ใจนึกถึงคุณย่าและพ่อแม่ของเขาด้วย ทั้งๆ ที่เธอน่าจะฉวยโอกาสเรียกร้องเงินหรืออะไรสักอย่างให้กับพี่สาว แต่เธอก็ไม่ทำ
“พี่ขอโทษ...ที่คิดอะไรตื้นๆ แต่ถ้าหนูมนไม่ช่วย พี่ก็คงต้องแต่งงานกับคนอื่น” ชายหนุ่มตีหน้าเศร้า ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคุณหญิงพรพรรณนั้นร้ายขนาดไหน ที่เข้าโรงพยาบาลวันนี้ก็ป่วยการเมืองทั้งนั้น เพราะหวังจะบีบให้เขาตกปากรับคำสละโสดให้ได้
“ก็ได้ๆ” มนทิชาตีความหมายไปว่า เขาคงรักพี่สาวของเธอมากแต่ขัดบุพการีไม่ได้ ถ้าเธอไม่ช่วยเขาตอนนี้ ความรักของพี่สาวคงไม่มีวันสมหวัง “แต่แค่เดือนเดียวนะ หลังจากนั้นคุณต้องค่อยๆ บอกความจริงกับทุกคน ฉันเชื่อว่าพวกท่านจะต้องให้อภัย ส่วนพี่กัณ...ฉันอยากให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ พี่คงเสียใจถ้าฉันกลายมาเป็นแฟนของคุณ ถึงจะเป็นแบบหลอกๆ ก็เถอะ”
“ขอบใจจ้ะที่รัก” เขาเอื้อมมือมาบีบแก้มนวลเบาๆ อย่างเอ็นดู “แล้วก็เลิกพูดว่าฉันกับคุณด้วยนะ เป็นแฟนกันแล้วต้องเรียกพี่จุลกับหนูมนนะจ๊ะ”
จีรพงศ์นั่งมองภาพวาดอย่างเลื่อนลอย เกือบสองปีที่เขาจมปลักอยู่กับการลงสีภาพหญิงสาวใต้กลีบซากุระนี้อย่างซ้ำซาก แรกเริ่มวาดมันด้วยความคะนึงหาอย่างสุดซึ้งตั้งแต่เรียนอยู่ที่โรม ในช่วงสองปีหลังที่ต้องแยกจากกัน จนกระทั่งกลับมาที่เมืองไทยแม้จะนำมันกลับมาด้วย ทว่าเขาก็แทบจะไม่ได้แตะภาพนี้เลย หากมนทิชาไม่มาเห็นเข้าเสียก่อน
เขารู้...มนทิชานั้นรักและเทิดทูนเขามากแค่ไหน ตัวเขาเองก็ผูกพันกับเธอไม่น้อย แม้ช่วงสี่ปีที่โรมจะทำให้เขาได้ศึกษาเรียนรู้และประทับใจกับผู้หญิงอีกคน หากแต่เขาอยากให้เวลาเธอได้คิดใคร่ครวญและถามใจตัวเองให้ดีเสียก่อนจึงขีดเส้นบางๆ คั่นไว้ ตัวเขาเองก็จะได้ลบความรู้สึกที่มีต่อมิกะได้สนิทใจ ไม่คิดว่าคืนวันนั้นจะเป็นวันที่เขาได้ทำลายหัวใจเธอเสียจนยับเยิน
“ทิชา...ฉันขอโทษ”
เขาคร่ำครวญกับตัวเอง ยังจำแววตาและรอยยิ้มฝืนนั้นได้ดี กว่าจะตั้งสติและวิ่งตามเธอออกไป ร่างเล็กบางนั้นก็หายวับไปจากสายตาเสียแล้ว
ชายหนุ่มถืออุปกรณ์วาดภาพเดินขึ้นไปบนเนินเขา การวาดภาพจะทำให้เขามีสมาธิมากขึ้น ทันทีที่ไปถึงเขาก็มองเห็นร่างที่คุ้นตานั่งสเก็ตซ์ภาพอยู่ก่อนแล้ว
มนทิชายังคงตั้งอกตั้งใจแม้จะรู้ว่าจีรพงศ์จงใจนั่งลงข้างๆ ใจของเธอสั่นหวิว โชคดีที่มือยังเคลื่อนไหวได้มั่นคง พยายามไม่มองผมยาวสลวยที่พลิ้วไหวตามแรงลม และรู้ด้วยว่าทำไมเขาจึงไม่รัดมันไว้ให้เรียบร้อย
“มัดผมซะสิ ปลิวว่อนเชียวน่ารำคาญ” หญิงสาวอดรนทนไม่ได้ พูดกับเขาเสียงเขียวเพราะเส้นผมของเขาปลิวมาเข้าตาหล่อนด้วย
“ไม่มียางนี่” ชายหนุ่มแกล้งพูดเสียงเศร้า
หญิงสาววางดินสอลง แล้วก้มหน้าลงค้นกระเป๋ากุกกัก ก่อนจะโยนยางรัดผมให้เขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง และจงใจที่จะไม่สบตาด้วย
“มัดให้ด้วยสิ”
“ได้คืบจะเอาศอก” เธอบ่น แล้วรัดผมให้เขาอย่างกระแทกกระทั้น รู้ว่านี่คือวิธีการง้อของเขา ซึ่งเธอเองก็มักจะใจอ่อนอยู่ร่ำไป
“ทิชา...โกรธเราเหรอ?” เขาจับมือทั้งสองข้างของเธอไว้ไม่ปล่อย เมื่อหญิงสาวจัดการมัดผมให้เขาเรียบร้อย
“ไม่ได้โกรธ มีสิทธิ์อะไรให้โกรธ แล้วโกรธเรื่องอะไร” เมื่อได้ยินเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยน ใจของหล่อนก็หมองไหม้ เริ่มเกลียดความใจดีของเขาขึ้นมา
จีรพงศ์ลอบยิ้ม เมื่อปากเธอบอกว่าไม่ได้โกรธ แต่น้ำเสียงและแววตาวาวโรจน์ด้วยความขุ่นเคืองระคนน้อยใจ หากเป็นกรรไกรเขาคงจะถูกตัดเป็นชิ้นๆ แต่การที่เธอตอบโต้กลับมาบ้างก็ยังดีกว่านิ่งเงียบไม่พูดไม่จาเป็นไหนๆ
“แต่เราโกรธนะ...ที่ทิชาวิ่งหนีไปทั้งๆ ที่ยังฟังไม่จบ โทรหาก็ไม่รับสาย หนังสือที่ซื้อยังอยู่บ้านเราอยู่เลย ถ้าไม่อ่านแล้วจะพูดภาษาญี่ปุ่นได้ไหมล่ะ”
“ไม่ไปแล้วญี่ปุ่น ใครอยากจะไปเจอคนบางคนก็เชิญ” หญิงสาวดึงมือกลับมา หยิบดินสอขึ้นมาวาดรูปต่อ เพราะไม่อยากให้เขาพูดเรื่องผู้หญิงคนนั้น
“เราเก็บภาพนั้นไว้เพราะยังวาดไม่เสร็จ ตั้งแต่กลับมาก็ไม่มีเวลาทำต่อเลย พอรู้ว่าทิชาจะไปญี่ปุ่นก็เลยรีบลงสี ตอนไปญี่ปุ่นจะได้ถือไปให้มิกะด้วย จะได้แนะนำให้รู้จักกันว่าเธอนี่แหละคือยัยเด็กดื้อที่เล่าให้ฟังบ่อยๆ”
