บทที่ 10 อลเวงไปหมดแล้ว
ไม่จำเป็น...ไม่ได้อยากรู้จักแฟนของนายสักหน่อย” มนทิชาสะบัดเสียงด้วยความแค้นเคืองยิ่งกว่าเก่า ที่เขาริอาจจะแนะนำให้เขารู้จักกับผู้หญิงคนนั้น นี่เขาจะทำให้เธอตายทั้งเป็นเลยหรือไร
“แฟนที่ไหนกันล่ะ มิกะน่ะแต่งงานไปแล้ว มีลูกแล้วด้วย” จีรพงศ์พูดพลางยิ้มบางๆ
“ห๊ะ!” หญิงสาวอุทานด้วยความตระหนก จ้องมองเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่มด้วยความเคลือบแคลง
“เราเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน เป็นศิษย์รักพี่ธัญทั้งคู่ก็เลยสนิทกันมากกว่าคนอื่นๆ”
กริ๊งๆๆ
เสียงโทรศัพท์ของหญิงสาวดังขึ้นมาขัดจังหวะ มนทิชาดึงมันออกจากกระเป๋าแล้วก้มดูเบอร์ ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อสายเรียกเข้าเป็นชื่อของจุลพัธน์ แฟนจอมปลอมที่โทรมาแบบไม่ดูเวล่ำเวลา
“สวัสดีค่ะ มนทิชารับสายค่ะ” หล่อนกดรับสาย กรอกเสียงลงไปอย่างเป็นการเป็นงานเมื่ออยู่ต่อหน้าจีรพงศ์ ซึ่งกำลังปรับความเข้าใจกันและก็มีนิมิตรหมายที่ดีซะด้วย
“อยู่ที่ไหน ทำไม่มาตามนัด”
เสียงชายหนุ่มต่อว่ามาตามสาย หญิงสาวเหลือบดูนาฬิกาข้อมือแล้วตกใจ ลืมไปเลยว่าวันนี้จุลพัธน์นัดหล่อนไปซื้อเสื้อผ้าสำหรับรับประทานอาหารค่ำกับครอบครัวซึ่งเขาได้โทรมาย้ำตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งเขาคงเห็นแล้วว่าเธอควรจะปฏิวัติตัวเองใหม่หมดทั้งเสื้อผ้าหน้าผมเพื่อสลัดคราบเด็กกะโปโล ให้สมกับเป็นแฟนนักธุรกิจคนดัง ว่าที่หลานสะใภ้คุณหญิง ขืนหล่อนยังทำตัวมอซอมีหวังแพ้ผู้หญิงที่พวกท่านตั้งใจให้มาเป็นคู่แข่งกับพี่สาวของเธอแน่
“ขอประทานโทษค่ะ ดิฉันจะรีบไปให้เร็วที่สุด” เธอกดตัดสายอย่างรวดเร็วโดยไม่คำนึงถึงมารยาท กระวีกระวาดเก็บของใส่กระเป๋าสะพาย
“จะไปไหนล่ะทิชา พี่กัณโทรมาเหรอ?” จีรพงศ์ถามด้วยความสงสัย เมื่อเธอทำหน้าเลิกลักร้อนรน
“ปละ เปล่า เรามีธุระด่วน เดี๋ยวเราโทรหานะ” มนทิชาไม่รอให้เขาทักท้วง วิ่งปรู๊ดออกไปทันที
จุลพัธน์ได้แต่มองโทรศัพท์ด้วยความงงงวยกับคำพูดจาแสนสุภาพอย่างผิดปกติของเธอ ยัยเด็กบ๊องนั่นคงจะอยู่กับใครสักคนถึงได้ทำเสียงห่างเหิน ไม่แว้ดๆ อย่างที่เคยทำ คุณหญิงกับมารดาของเขาก็ดูจะยินดีปรีดาที่เขามีแฟนเป็นตัวเป็นตนเสียที อย่างน้อยก็ลบข้อครหาที่ว่าเขาเป็นคู่เกย์กับธัญธรไปได้ แม้ท่านจะติอยู่บ้างที่มนทิชานั้นยังเด็กเกินไป ส่วนนภดลผู้เป็นบิดานั้นสนับสนุนเต็มที่ ทั้งยังบอกด้วยว่าการมีเมียเด็กจะทำให้ชีวิตกระชุ่มกระชวย ผลคือได้กินกำปั้นของภรรยาไปหลายลูก
คืนนี้คุณย่ารบเร้าจะดินเนอร์กับว่าที่หลานสะใภ้ เขาจึงโทรนัดเธอตั้งแต่เมื่อคืน นี่เธอคงลืมหรือไม่ก็จงใจแกล้งเขาแน่นอน
เขารออยู่เกือบชั่วโมง ร่างบางก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องเสื้อซึ่งเป็นร้านประจำของครอบครัว ทันทีที่เห็นหน้าขมึงถึงของเขา เธอก็ยิ้มเผล่อวดฟันขาวด้วยความเจ้าเล่ห์ แก้มนวลแดงเรื่อ ไหล่คู้เข้าหากันเมื่อหล่อนใช้สองมือจับหัวเข่าเพื่อพยุงตัวแล้วหอบแฮ่กๆ ไปด้วย
“วิ่งมาหรือไงเราน่ะ” เขาทักทายแค่นั้นแล้วดึงตัวเธอขึ้นมา โยนเข้าไปในห้องเสื้อที่เจ้าของร้านรออยู่ก่อนแล้ว
“โอ๊ย! เบาๆ สิคุ๊ณ แค่นี้ก็อารมณ์เสีย”
เขาส่ายหน้า ไม่นำพาต่อเสียงบ่นของเด็กสาว เมื่อส่งเธอให้เจ้าของร้านแล้วตัวเองก็ถือโอกาสนั่งงีบอยู่บนโซฟารับแขก
สามวันที่แล้วเธอร้องไห้ฟูมฟายเพราะอกหัก วันนี้กลับมาร่าเริงเหมือนนกน้อย เขาเองก็เคยผ่านช่วงวัยรุ่นมาแล้วพอจะเข้าใจอารมณ์นั้นอยู่ แต่ไม่คิดว่ามนทิชาจะทำใจได้รวดเร็วขนาดนี้
เขาสะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเดินตึกๆ เข้ามาใกล้ ภาพแรกที่เห็นเมื่อลืมตาขึ้นคือนางฟ้าตัวน้อยสวมชุดสีขาวยืนอยู่ข้างโซฟา หล่อนยิ้มหวานขณะที่โน้มกายลงมา ขณะที่เขาถลันลุกขึ้นเมื่อมองเห็นเนื้อนวลลอยอยู่ใกล้ๆ สบถอย่างลืมตัวที่เธอไม่ได้ระวังตัวเสียเลยว่าชุดนี้มันน่ารักน่าใคร่แค่ไหน มนทิชาคงไม่รู้ว่าว่าวันนี้หล่อนสลัดคราบทอมบอยได้หมดจด จนเขาเองยังคาดไม่ถึง
“สวยไหมคะ พอจะไปทานข้าวกับครอบครัวคุณได้หรือยัง?”
“สวยแล้วทูนหัว” เขารีบตอบเมื่อหล่อนถามได้อย่างไม่เคอะเขิน ก่อนจะรวบเอวบางเข้ามาชิดแล้วก้มลงจุมพิตหล่อนที่ขมับเบาๆ นึกเสียดายริมฝีปากอิ่มนั้นยิ่งนัก
“คะ คุณ ทำอะไร!” หญิงสาวผงะถอยออกด้วยความตกใจที่จู่ๆ ก็ถูกกอดแบบไม่ทันตั้งตัว
“อย่าลืมนะว่าตอนนี้เราเป็นแฟนกัน เป็นพี่จุลกับน้องมน หรือพี่จุลกับหนูมน ถ้าไม่อยากให้พวกคุณย่าสงสัยก็ทำตามพี่ดีๆ ก็แล้วกัน” จุลพัธน์หัวเราะหึๆ ด้วยความชอบใจ ที่เห็นหล่อนทำตาเขียว
“ฮึ้ย! ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วคิดว่าเหนือกว่าเด็กหรือไง แล้วถ้าจะแตะเนื้อต้องตัวก็บอกกันก่อนสิ อย่างนี้มันไม่แฟร์สำหรับฉันนะ”
“นี่เด็กน้อย พี่น่ะเอ็นดูเราเหมือนน้องนุ่ง ถ้าพี่ชายจะจุ๊บน้องสาวก็ไม่เห็นจะแปลก” เขาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
มนทิชาถอนหายใจโล่งอกที่เขาบอกว่าเอ็นดูเธอเหมือนน้องสาว อย่างน้อยความดื้อของเธอก็จะไม่เป็นอุปสรรคสำหรับความรักของกัณหา อันที่จริงเขาก็ไม่ได้เป็นคนฉวยโอกาสอะไร เพราะถึงยังไงพวกคุณย่าก็คิดว่าเธอกับเขาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว ประการสำคัญเธอเพิ่งจะปรับความเข้าใจกับจีรพงศ์ ผู้หญิงที่ชื่อมิกะนั่นก็ไม่อยู่ขวางหูขวางตาแล้ว พ้นหนึ่งเดือนนี้ความสัมพันธ์ของเธอกับจีรพงศ์ก็อาจจะก้าวหน้าขึ้นบ้าง
เมื่อนึกถึงชายหนุ่มที่เธอหลงรักมากว่าสิบปี หัวใจก็อิ่มเอิบขึ้นมาจนอดยิ้มไม่ได้
“เอาเถอะๆ ก็เราเพิ่งจะรู้จักกันนี่นะ ฉันจะพยายามฝึกให้ชินเหมือนตอนที่ทำกับจิลก็แล้วกัน”
“อะไรนะ!” จุลพัธน์ร้องเสียงหลง
“อ้าว! ก็จุ๊บแบบพี่ชายน้องสาวไง จิลเขาก็ทำแบบนี้บ่อยๆ คุณเองก็จะมาเป็นพี่เขยฉันแล้ว ฉันก็ต้องทำตัวให้คุณเอ็นดูใช่ไหมล่ะ ถ้าฉันแข็งข้อกับคุณพี่กัณก็คงไม่มีความสุข ตอนแรกๆ ฉันก็ทดสอบคุณไปอย่างนั้นเอง เพราะมีพวกแมลงสาบมาเกาะแกะพี่เยอะ ฉันก็เลยต้องช่วยกำจัด แต่คุณก็มีความพยายามที่จะพิสูจน์ตัวเอง เพราะฉะนั้นฉันจะต้องปกป้องความรักของคุณกับพี่กัณให้ได้ ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่าก็เถอะ”
คุณหญิงพรพรรณสวมกอดเด็กสาวด้วยความยินดี ท่านคล่องแคล่วเสียจนมนทิชานึกภาพหญิงชราหน้าซีดที่นอนอยู่บนเตียงท่ามกลางสายน้ำเกลือระโยงระยางในโรงพยาบาลไม่ออก นอกจากนี้แล้ว เสื้อผ้าหน้าผมที่ทุกคนบรรจงแต่งกันสุดฤทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นคุณนภดล หรือแม้แต่คุณกุสุมาก็ดูหรูเลิศอลังการราวกับอยู่ในงานเลี้ยงสำคัญ จนไม่น่าจะเป็นเพียงการรับประทานอาหารค่ำธรรมดา ๆ
หรือว่านี่จะเป็นเรื่องปกติของคนรวย ชุดอยู่บ้านของเธอคือเสื้อยืดหรือเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะ ขณะที่ในละครหลังข่าว ชุดอยู่บ้านของผู้หญิงจะเป็นชุดราตรีหรือเดรสสวยๆ เมื่อพระเอกขับรถมาชวนนางเอกไปเที่ยว นางเอกก็จะวิ่งขึ้นไปแต่งตัวลงมาใหม่ เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนางเอกจะต้องขึ้นไปเปลี่ยนชุด ในเมื่อชุดนั้นมันก็สวยอยู่แล้ว แล้วเอาเวลาไหนไปทำผมทรงใหม่ และอื่นๆ อีกมากที่เธอแสนจะรำคาญจนกัณหาต้องไล่ให้เธอกลับไปอ่านนิยายที่ห้องของตัวเองซะ
ถ้าพี่สาวของเธอมาอยู่ในบ้านหลังนี้ พี่คงจะปรับตัวได้ไม่ยาก หนึ่งเพราะกัณหานั้นเป็นคนสวย เสื้อผ้าสวยๆ ก็เยอะ หรือถึงไม่มีจุลพัธน์ก็คงจะเต็มใจซื้อให้อยู่แล้ว แต่เธอสิ แค่ต้องมาใส่ชุดเปิดไหล่นี่ก็นึกรำคาญที่ต้องคอยดึงคอยระวังไม่ให้เกาะอกมันหลุด
แม้จะคิดอย่างนั้น แต่หญิงสาวก็บรรจงไหว้ทุกคนอย่างอ่อนช้อยที่สุด พร้อมกับแจกยิ้มหวานตามที่ชายหนุ่มร้องขอ ทว่าทุกคนกลับเป็นกันเองกว่าที่คิด จะมีก็แต่เจ้านายของพี่ที่นั่งทำหน้าพิลึกๆ อยู่คนเดียว
