บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 ผมเคยอาบน้ำร้อนมาก่อน

จุลพัธน์เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วมองน้องสาวของเลขาคนเก่ง สองพี่น้องซึ่งมีวัยต่างกันถึงสิบปีแทบจะไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย กัณหานั้นสวยหยาดเยิ้มชนิดที่เรียกว่าประกวดนางงามได้สบายๆ กริยามารยาทก็เรียบร้อย ทั้งยังมีความกระฉับกระเฉงอยู่ในตัว แต่ว่าหล่อนกลับทำอาหารไม่เป็น ส่วนมนทิชา อายุเพียงสิบแปดปี อยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย กลับไม่ใช่คนรักสวยรักงาม ผมซอยสั้นเหมือนทอมบอย เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ออกแนวๆ สวมรองเท้าผ้าใบผืนเก่าสะพายย่าม ต่างจากสาวๆ สมัยนี้ที่ชอบสวมกางเกงขาสั้นจุ๊ดจู๋โชว์เรียวขา ทว่าเธอกลับมีฝีมือทำอาหารที่อร่อยสุดยอด

เธอไม่พูดกับเขา เอาแต่ดื่มไวน์เหมือนดื่มน้ำ บางทีก็เหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ริมฝีปากสั่นระริกขึ้นมาแล้วเธอก็เม้มปากราวกับกำลังสะกดกลั้นอารมณ์ คงลืมไปว่ามีเขานั่งอยู่ตรงนี้ด้วย เขาสวมชุดสูทเต็มยศเพราะเพิ่งเลิกจากงานก็ตรงดิ่งมาหาจีรพงศ์เลย นั่งด้วยกันกับเธออย่างนี้แล้วไม่ค่อยจะเข้ากันนัก เธอเด็กกว่าเขาถึงสิบห้าปี ใครไม่รู้จะคิดว่าเป็นป๋า ล่อลวงเด็กมาทำมิดีมิร้าย

“กินอะไรบ้างสิ เดี๋ยวก็เมาหรอก”

“ไม่เห็นจะเมาเลย...หึๆ ทำไม...กลัวคนรู้จักเหรอ” เธอย้อนถามตาปรือ ยกแก้วดื่มเอาๆ

“พูดจาไม่มีหางเสียงเลย...เป็นเด็กเป็นเล็กพูดให้ไพเราะหน่อยสิ ต้องทำตัวให้อ่อนหวานน่ารัก” เขาเอ็ด แล้วตกใจเมื่อหล่อนแหวกลับเสียงดัง ราวกับว่าเขาไปจี้ใจดำอะไรเข้า

“ไม่มีทางหรอก!!” มนทิชาซบหน้าลงบนโต๊ะ เจ็บจี๊ดๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าหวานๆ ของหญิงสาวในภาพที่เพิ่งเห็นมา “ชอบคนหวานๆ แล้วยังไงล่ะ...คนไม่หวานไม่มีหัวใจเหรอ?”

“เฮ้! นี่อกหักมาล่ะสิ...พอได้แล้วไวน์ เดี๋ยวคุณกัณด่าฉันว่ามอมเหล้าเธอ” เขายกแก้วของเธอมาวางไว้ข้างตัว ส่ายหน้าอย่างระอาระคนเห็นใจ รู้ดีว่าการอกหักมันเป็นยังไงเพราะผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร

“กลัวด้วยเหรอ...ดี...หัดกลัวไว้น่ะดีแล้ว ผู้ชายกลัวเมียเจริญนะจะบอกให้” เธอพูดเสียงยานคาง เดาว่าเขาคงจะเกรงใจพี่สาวเธอไม่น้อยทีเดียว และคงจะจริงใจมากด้วยถึงขนาดพาเธอมาดื่มปลอบใจ ผิดกับผู้ชายอีกคนที่ให้ความหวังเธอมาตลอด แต่สุดท้ายเขาก็รักคนอื่น

พอคิดถึงจีรพงศ์ หญิงสาวก็สะอื้นฮัก บ่อน้ำตาแตกอีกรอบ

“นี่ๆๆ ร้องไห้ทำไมเล่า ถ้าไม่หยุดจะพากลับเดี๋ยวนี้” เขาดึงทิชชูออกมา เช็ดแก้มให้เธอลวกๆ มองซ้ายมองขวาทำหน้าเลิกลักเมื่อโต๊ะข้างๆ เริ่มหันมามอง

“ฮือๆๆ ฮือๆๆๆ ใจร้าย...ทำกับเราได้ยังไง...ฮือๆๆๆ” มนทิชายังไม่หยุดคร่ำครวญ ยิ่งเขาห้ามเธอก็ยิ่งร้อง

“หยุดเลยนะ เดี๋ยวใครจะคิดว่าฉันรังแกเธอ น้องครับ...เช็คบิลเลย” เขากวักมือเรียกพนักงานมาคิดค่าเสียหาย

จุลพัธน์กึ่งจูงกึ่งลากหญิงสาวมาที่รถ ท่ามกลางสายตาเกือบร้อยคู่ที่ต่างก็พากันอมยิ้ม ซุบซิบอย่างมีเลศนัย แต่กว่าจะพาเธอขึ้นไปนั่งบนรถได้ก็ทุลักทุเลพอสมควร เพราะเธอนั้น “เมาไวน์” แข้งขาอ่อนไปแล้ว

ขับรถออกจากร้านไม่ทันไร โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ครับคุณแม่ อะไรนะครับ! ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ” เขาวางสายจากมารดา แล้วหันมาหาตุ๊กตาหน้ารถ “เดี๋ยวฉันจะ...อ้าว...หลับแล้วเรอะ! ให้ตาย แล้วใครจะกล้าไปส่งล่ะทีนี้”

จุลพัธน์ส่ายหัว การพาเธอกลับบ้านในสภาพนี้ไม่เป็นผลดีเลย กัณหาอาจจะคลางแคลงใจเอาได้ ทั้งเจ้าเด็กแสบนี่คงไม่คิดจะแก้ตัวให้เขาด้วย รอให้เธอตื่นแล้วค่อยไปส่งที่บ้านดีกว่า

เขาบึ่งรถเปลี่ยนทิศทางไปที่โรงพยาบาล เนื่องจากกุสุมา มารดาของเขาเพิ่งโทรศัพท์มาบอกว่าคุณย่าทรุดหนัก จากที่เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ อยู่แล้ว คราวนี้ถึงกับหามส่งโรงหมอกลางค่ำกลางคืน

เมื่อมาถึงโรงพยาบาล เขาก็จอดรถ เปิดแอร์ทิ้งไว้ ถอดเสื้อสูทคลุมร่างบางที่นอนหลับไม่ได้สติน้ำตายังนองหน้า แล้ววิ่งขึ้นไปบนตึก

มารดาของเขายืนรออยู่หน้าห้องพิเศษ ทันทีที่เห็นเขา ท่านก็วิ่งเข้ามากอดแขน ละล่ำละลักพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์ จนเขาต้องบอกให้ท่านใจเย็นๆ

“คุณย่า...มีอะไรจะพูดกับจุล เข้าไปข้างในเถอะจ้ะ”

ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องพิเศษ ร่างผอมบางของหญิงชรานอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง โดยที่บิดาของเขานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาสำหรับญาติที่มาเฝ้าไข้

“สวัสดีครับคุณย่า คุณพ่อ คุณย่าเป็นยังไงบ้างครับ” เขากุมมือบางนั้นไว้ด้วยความอ่อนโยน

“จุล...มาแล้วหรือ...ตั้งแต่ไปทำงานแทนพ่อแก เราก็ไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะ งานยุ่งมากหรือ?” คุณหญิงพรพรรณมองหลานชายคนเดียวด้วยความรัก อดตัดพ้อต่อว่าไม่ได้

“เพิ่งรับตำแหน่งใหม่ๆ ก็อย่างนี้ล่ะครับคุณแม่” นภดลซึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เงยหน้าขึ้นมาตอบแทนบุตรชาย

“กำลังเรียนรู้งานอยู่ครับ ก็เลยนอนค้างที่คอนโด เพราะมันใกล้ที่ทำงานมากกว่า”

“แม่ขอตัวลงไปเดินรับลมเย็นๆ ข้างล่างก่อนนะ คุณแม่มีอะไรจะพูดกับตาจุลก็ตามสบายเลยนะคะ” กุสุมาย้ำกับแม่สามีถึงจุดประสงค์ที่เรียกหลานชายมาที่นี่

หล่อนเดินลงมาคนเดียว ในสมองครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนที่ไม่ยอมเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ปีนี้เขาก็อายุปาเข้าไปสามสิบห้าแล้ว ฐานะการงานก็มั่นคง ธุรกิจกำลังไปได้สวย แวดวงสังคมกว้างขวาง แถมยังหล่อเหลาแบบไม่มีที่ติ ทำไมจึงไม่เคยพาผู้หญิงมาแนะนำที่บ้านเลยสักครั้ง คุณหญิงพรพรรณซึ่งเป็นแม่ย่านั้นก็บ่นอยากอุ้มหลานเต็มแก่ เพราะที่บ้านไม่มีเด็กๆ เลย หล่อนเองก็อยากจะมีลูกสะใภ้ใจจะขาดอยู่แล้ว

“นั่นรถของจุลนี่...ทำไมจอดค้างอยู่กลางถนน สงสัยคงรีบมาก รปภ. ไปเลื่อนรถของคุณจุลหน่อยซิ ไม่รู้ว่าใส่เกียร์ว่างไว้หรือเปล่า?” กุสุมากวักมือเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาล ซึ่งโรงพยาบาลแห่งนี้ก็เป็นของคุณหญิงพรพรรณ ในอนาคตก็ไม่พ้นที่จุลพัธน์จะต้องเข้ามานั่งแท่นเป็นผู้บริหารต่อไป

รปภ.หนุ่มวิ่งไปที่รถตามคำสั่ง กำลังจะเข็นเข้าข้างทางก็ร้องตะโกนออกมาเสียงดังลั่น

“ว้าก! ผี! ผีหลอก! ท่านครับ ผีครับ! ผีอยู่ในรถคุณจุล”

“อะไรนะ! ผีที่ไหน?” กุสุมาวิ่งหน้าตื่นไปที่รถแล้วก้มลงมองเข้าไปข้างใน ยื่นหน้าไปจนติดกระจก เห็นเสื้อสูทของจุลพัธน์คลุมอยู่บนเบาะ แล้วจู่ๆ เสื้อตัวนั้นก็เลื่อนไถลลงพร้อมกับใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งโผล่ขึ้นมา

“ว้าย!”

“โอ๊ย!” รปภ. ร้องลั่น

“ร้องทำไม ผีมันบีบคอเหรอ?”

“เปล่าครับ...คุณท่านเหยียบเท้าผม” รปภ.หนุ่มเดินอ้อมไปอีกฝั่งหนึ่ง ไม่ทันจะทำอะไร ประตูก็เปิดออกมา

มนทิชาลงมาจากรถ ยืนบิดขี้เกียจและขยี้ตาแรงๆ เธอเผลอหลับไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ที่จริงเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรลงไป จำได้แต่ว่าวิ่งร้องไห้ออกมาจากแกลลอรี่ของจีรพงศ์แล้วก็มาเจอแฟนของพี่ ตอนนี้มันงงๆ เบลอๆ ไปหมด

เธออกหัก...อกหักตั้งแต่ยังไม่บอกรัก แม้จะไม่เชี่ยวชาญด้านความรักแต่เมื่อเห็นสายตาที่จีรพงศ์มองผู้หญิงในภาพแล้ว เธอก็รู้ว่าเขารู้สึกเช่นไร นั่นก็เพราะเธอเองก็มองเขาแบบนั้นเช่นกัน

เมื่อนึกถึงจีรพงศ์ น้ำตาก็ไหลพรากออกมาอีกอย่างช่วยไม่ได้

“ตายจริง!...หนู...หนูเป็นใครจ๊ะ มาอยู่บนรถตาจุลได้ยังไง?”

“เอ้อ...คือ...” มนทิชาเพิ่งจะรู้ว่ามีคนอยู่ตรงนี้ด้วย เธอพูดไม่ออกเพราะสมองไม่อาจประมวลผลได้ทัน จะให้บอกอย่างไรว่าเธออกหักจากผู้ชายคนหนึ่งและไปนั่งดื่มจนเมาไม่ได้สติกับผู้ชายอีกคน ผู้หญิงคนนี้คงเป็นอะไรกับจุลพัธน์แน่ เพราะเรียกชื่อของเขาอย่างสนิทสนม ท่าทางก็ดูเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว หวังว่าคงไม่ใช่กิ๊กวัยดึกของเขาหรอกนะ ไม่อย่างนั้นเธอจะไปฟ้องกัณหาแน่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel