บทที่ 6 ความลับที่เธอซ่อนไว้
“ทำอะไรน่ะจิล?” มนทิชาถามเมื่อเขาหยิบของบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกง
“อยู่เฉยๆ” เขาจับไหล่บางให้หันหน้าไปทางกระจก แล้วบรรจงสวมสร้อยที่มีจี้เพชรเล็กๆ ให้ มืออุ่นๆ สัมผัสอยู่บนต้นคอ “ปลอบใจที่รั้งปีกแห่งความรักเอาไว้ไม่ได้ แล้วก็...เครื่องรางแห่งความสำเร็จ ขอให้เธอหาที่เรียนต่อได้เร็วๆ”
หญิงสาวสัมผัสที่จี้รูปปีกนกเบาๆ ด้วยความปลาบปลื้ม จีรพงศ์มักทำอะไรให้แปลกใจเสมอ และเขาก็ช่างโรแมนติก เอาใจใส่เธอราวกับเป็นคนพิเศษ ต่อให้เขามีมุมที่ปิดบังอยู่เธอก็ไม่แคร์ เพราะมั่นใจว่าเธอคือคนที่ใกล้ชิดเขามากที่สุดอยู่แล้ว
“จะตีตราจองเราไว้หรือไง?”
“แก่แดดจริง...เรียนให้จบปริญญาก่อนค่อยคิดจะมีแฟน” เขาใช้หลังมือเคาะศีรษะเธอเบาๆ
“โห อีกตั้งนานหลายปี ใครจะไปรอได้ล่ะ”
“ถ้ารอไม่ได้ก็มีไปก่อน แต่ถ้าจบแล้วยังหาแฟนไม่ได้จะรับไว้พิจารณา”
“เฮอะ! ใครหมายถึงตัวเองไม่ทราบ” เธอสะบัดหน้าพรืดและหลังจากนั้นก็อารมณ์ขุ่นมัวตลอดทั้งวัน ถึงเขาจะพยายามสร้างบรรยากาศให้สนุก แต่เธอกลับไม่รื่นเริงเอาเสียเลย แม้ว่าเพิ่งจะได้ของแทนใจมาหยกๆ แต่เธอรู้ดีว่าคำพูดนั้นมันคือการปฏิเสธแบบนุ่มนวลเพื่อไม่ให้เธอบอบช้ำน้ำใจเท่านั้นเอง
เออหนอ...ถึงตัวจะอยู่ใกล้ แต่ทำไมหัวใจถึงไม่มาบรรจบกันเสียที ยิ่งเธอแสดงออกว่าชอบเขามากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่าเขาจะลำบากใจมากขึ้นเท่านั้น
“เดี๋ยวฉันไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ” จีรพงศ์ขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ไม่ถึงนาที เขาก็ตะโกนมาจากหน้าประตู “ทิชารอเราอยู่ที่นี่ก่อนนะ ไปคุยธุระเรื่องงานที่ร้านกาแฟใกล้ๆ นี่แป๊บเดียว อย่าเพิ่งกลับล่ะ เดี๋ยวจะพาไปกินไอติม”
“รู้จักเอาของกินมาล่อนะ ฮึ้ย!” เธอยังงอนไม่หาย รอจนเขาออกไปแล้วจึงเดินสำรวจห้องทำงานนี้อีกครั้งแก้เซ็ง
เธอใช้เวลาสำรวจผลงานของเขาแต่ละภาพอย่างละเอียด เขาใช้ลายเส้นแบบไหน แต่ละภาพให้ความรู้สึกอย่างไร หรือมีเทคนิคพิเศษใดที่เธอต้องเรียนรู้เพิ่ม ด้วยหวังจะวาดภาพเคียงข้างเขาในวันข้างหน้า ยังมีภาพที่วาดค้างไว้หลายรูป แต่มันก็ไม่ได้น่าสนใจเท่ากับภาพที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวตรงมุมห้อง เพราะจำได้ว่าแม้จะเข้ามาที่นี่เกือบทุกวัน เขาก็ยังวาดภาพนั้นไม่เสร็จเสียที คงจะเป็นลูกค้าคนสำคัญสั่งไว้ หรือไม่ก็เป็นภาพที่สำคัญมากๆ จึงต้องตั้งใจทำเป็นพิเศษ
หญิงสาวดึงผ้าคลุมออกแล้วขนก็ลุกซู่ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นภาพนั้นเต็มตา มันเป็นภาพเหมือนของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังยิ้มละมุนอ่อนหวานท่ามกลางกลีบดอกซากุระ แม้มันจะยังไม่สมบูรณ์แต่ก็งดงามจับใจ เธอหยิบกระดาษใบเล็กๆ ที่เสียบไว้ตรงมุมผ้าใบขึ้นมาคลี่ออกอ่าน แล้วหัวใจก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“เห็นแล้วเหรอ?”
“จิล”เธอหันขวับเมื่อได้ยินเสียงของจีรพงศ์ดังขึ้นด้านหลัง แววตานั้นว่างเปล่าราวกับเป็นคนที่เธอไม่รู้จัก “ขอโทษที่เปิดดูโดยพลการ ใครเหรอ สวยจัง”
“ปิดมันลงซะ” เขาเดินเข้ามา ดึงผ้าคลุมจากมือเธอมาปิดไว้เหมือนเดิมด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“นี่นายโกรธเราเหรอ ไหนบอกว่าจะไม่วาดภาพเหมือนให้ใครแล้วไง ที่เราเห็นนะเพิ่งสดๆ ร้อนๆ เลย”
“ทิชา...อย่าเพิ่งถามเลยนะ เรายังไม่พร้อมจะตอบตอนนี้ จะกลับเลยไหมจะไปส่ง” เขาเอื้อมมือมาแตะข้อศอกของเธอ หากแต่หญิงสาวสะบัดออกเกือบจะทันควัน
“ไม่เป็นไร” เธอข่มความน้อยใจและพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น เมื่อครูนี้เขาบอกว่าจะพาไปกินไอศกรีม สารพัดจะสรรหาคำพูดมาทำให้เธอหัวเราะ พอเธอไปแตะภาพนั้นเข้าหน่อยล่ะก็รีบไล่กลับบ้านทันที ผู้หญิงในภาพจะต้องเป็นคนสำคัญของเขาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ทำท่าหวงขนาดนี้
“คนนี้ล่ะ...ที่เราจะแนะนำให้ทิชารู้จักถ้าได้ไปญี่ปุ่น เรารู้จักกันที่โรม เธอชื่อมิกะ...เป็น...”
“ฉันจะกลับแล้ว” เธอรีบบอกเสียงห้วน กลัวว่าเขาจะพูดประโยคที่เธอไม่อยากได้ยิน แค่ฟังจากน้ำเสียงที่เขาเรียกชื่อผู้หญิงคนนั้นออกมา ก็เดาได้เลยว่า เธอคนนั้นคงเป็นคนที่ทำให้เขาต้องสร้างกำแพงไม่ให้เธอรุกล้ำเข้าไป
และคงเป็นคนที่ช่วงชิงเวลาในช่วงสี่ปีนั้นไปจากเธอด้วย
“ทิชา...”
“เรากลับก่อนนะ เอาไว้ไปญี่ปุ่นอย่าลืมแนะนำให้รู้จักด้วยก็แล้วกัน” หญิงสาวไม่อาจทนฟังเสียงเรียกอันอ่อนโยน เธอก้าวฉับๆ ออกไป เพราะอารมณ์ยังไม่คงที่และกลัวว่าจะแสดงความอ่อนแอออกมา
เธอเดินออกจากแกลลอรี่โดยไม่หันไปมองเขาอีก พอพ้นตัวอาคารเท่านั้น น้ำตาเจ้ากรรมก็ร่วงพรูจนมองไม่เห็นอะไรเลย กระทั่งได้ยินเสียงบีบแตรจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
“อะไรกันเล่า! คนกำลังอก...” เธอชะงัก ปาดน้ำตาออกเพื่อที่จะมองคนที่มาขัดจังหวะการร้องไห้ได้ถนัด “คุณจุลพัธน์! มะ...มาได้ยังไง?”
“ทิชา..ขึ้นรถสิ” เขาเปิดประตูลงมา ดึงแขนเธอให้ตามไปขึ้นรถ ความจริงเขานัดคุยธุระกับจีรพงศ์ในร้านกาแฟใกล้ๆ แต่เมื่อครู่ชายหนุ่มโทรไปขอเลื่อนนัด เขาจึงขับรถออกมาและทันได้เห็นเธอกำลังเดินแบบที่เรียกกันว่า “ไล่ควาย” อยู่บนฟุตบาทร้องไห้กระซิกๆ เหมือนนางเอกมิวสิกวีดีโอ จนเขาหวั่นๆ ว่าเธอจะถูกรถเฉี่ยวจึงขับตามมาเรื่อยๆ
“เป็นอะไรไป เดี๋ยวจะพาไปส่งที่บ้านนะ วันนี้คุณกัณกลับค่ำซะด้วย”
“ไม่อยากกลับ เลี้ยงเหล้าหน่อยสิ” เธอดึงเสื้อสูทของเขาที่พาดไว้บนพนักเบาะนั่งมาเช็ดน้ำหูน้ำตา
“เฮ้! สูทนี้แพงนะ แล้วเป็นเด็กเป็นเล็กยังกินเหล้าไม่ได้หรอก” เขาเอ็ด ดึงทิชชูให้เธอไปด้วย
“งั้นฉันจะตะโกนว่าคุณรังแกเด็ก...ช่วยด้วยๆ อุ๊บ!”
“ก็ได้ๆ จะพาไปดื่ม แต่ไม่เอาแอลกอฮอล์นะ” จุลพัธน์รีบเอามืออุดปากนั้นเสีย ลืมไปว่าน้องสาวของกัณหานั้นแสบแค่ไหนถึงจะตกลงญาติดีกันแล้วก็เถอะ
มนทิชาดันมือของชายหนุ่มออกไป แล้วหันออกไปมองข้างนอกหน้าต่างรถ ด้วยหวังว่าจีรพงศ์จะวิ่งตามออกมา แต่เขาก็ไม่ทำ เมื่อหมดหวังเธอบอกกับจุลพัธน์เสียงจ๋อยๆ
“อะไรก็ได้...ยังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้”
จุลพัธน์เลี้ยวรถเข้าไปในร้านอาหารกึ่งผับซึ่งเป็นร้านประจำของเขาและธัญธร เขาเลือกที่นั่งด้านในสุดเพื่อป้องกันไม่ให้คนรู้จักมาเห็นเข้า ด้วยความที่ว่าเด็กสาวที่จับขึ้นรถมาด้วยนี้เดี๋ยวก็นั่งนิ่งทำท่าครุ่นคิด เดี๋ยวก็บ่อน้ำตาแตก อย่างไรก็ตาม เธอคงไม่หิวข้าวสักเท่าไหร่ เขาจึงสั่งของกินเล่นและไวน์เบาๆ มาจิบแทนเหล้า เพราะมนทิชาคงไม่ยอมดื่มแค่น้ำอัดลมเป็นแน่
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขายกมือถือขึ้นมาดูแล้วมองหน้าเธอแวบหนึ่ง เพราะคนที่โทรเข้ามาคือกัณหา ซึ่งกำลังทำโอทีอยู่ที่บริษัท
“สวัสดีครับคุณกัณ”
“สวัสดีค่ะบอส คือว่า...” เสียงของกัณหาตอบกลับมา หล่อนร่ายประโยคยาวเหยียด แต่จับใจความแล้วพอจะรู้ว่ากำลังวุ่นวายกับตารางงานของเขา และได้ยินเสียงของธัญธรดังแทรกเข้ามาเป็นระยะ
สองคนนี้คือเลขาที่ทำงานเข้าขากันได้ดี ทว่าก็มักจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ่อยด้วย โดยเฉพาะฝ่ายชายที่มักจะตีรวนทุกครั้งที่มีลูกค้าเข้ามาขายขนมจีบหญิงสาว ซึ่งเขาก็พอจะรู้ว่าธัญธรนั้นพึงพอใจกัณหาอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ไม่กล้าจะรุกเท่านั้นเอง
