บทที่ 2 เราชอบนายนะ
“ฮ่าๆๆๆ นี่จิล...ฉันยังขำไม่หาย ถ้าจิลได้เห็นหน้าของหมอนั่นนะ จะต้องหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งแน่ๆ เลย ฮ่าๆๆๆ”
มนทิชาส่งเสียงหัวเราะไปตามสายโทรศัพท์ เธอยังตลกกับใบหน้าซีดเผือดของนายจุลพัธน์ไม่หายกับเหตุการณ์เมื่อช่วงหัวค่ำ แม้จะถูกพี่สาวตำหนิมายกหนึ่งแล้วก็ตาม
“ก็เพราะเธอหวงพี่กัณอย่างนี้ พี่กัณถึงไม่ได้ลงจากคานซะที ระดับประธานบริษัทนี่ยังไม่ผ่านอีกเหรอ?”
คำพูดของจิล หรือชื่อจริงว่า จีรพงศ์ ทำให้เธอยักไหล่ ผู้ชายที่มาจีบพี่สาวของเธอแต่ละคนล้วนแต่เป็นหนุ่มสังคมคนดัง บ้างก็เป็นดารา นักธุรกิจ แต่เธอก็ไม่เคยเห็นพี่ตกลงปลงใจกับใครสักที เพราะรู้ดีว่าพี่สาวนั้นเป็นห่วงเธอยิ่งกว่าสิ่งใด ถึงพี่จะชอบ แต่พอเธอบอกว่าไม่ใช่ กัณหาก็จะต้องเลือกเธอก่อนเสมอ
“ก็โอเคนะ...หล่อ รวย สมาร์ท ท่าทางเอาการเอางาน พี่อาจจะชอบคนนี้เป็นพิเศษถึงได้กล้าพามาแนะนำที่บ้าน”
“แสดงว่าคนนี้ยอมงั้นสิ?”
“แล้วแต่พี่ คนนี้เราไม่ยุ่ง คราวนี้จะปล่อยจริงๆ ซะที อ้อ! พรุ่งนี้เจอกันที่เดิมนะ” เธอแทนตัวเองว่า “เรา” และทำเสียงอ้อนในประโยคสุดท้าย พูดคุยกับปลายสายอีกสองสามประโยคแล้วล้มตัวลงนอน รอคอยวันพรุ่งนี้ที่กำลังจะมาถึง
เช้าวันรุ่งขึ้น หญิงสาวสะพายเป้ขึ้นไปบนเนินเขาย่อมๆ ที่เป็นสถานที่นัดหมาย วันนี้อากาศหนาวแต่ลมไม่แรงนัก เหมาะกับการวาดภาพที่สุด เธอชอบที่นี่ ชอบผืนหญ้าสีเขียว ใบไม้ที่ปลิวหล่นระไปตามลม แสงแดดอ่อนๆและสีสันของดอกไม้ ยกเว้นหนุ่มผมยาวที่นั่งสเก็ตซ์ภาพรออยู่ก่อนแล้วที่น่าหมั่นไส้เป็นที่สุด
“มาเร็วจริง บ้านอยู่แถวนี้หรือไง?” เธอนั่งลงข้างๆ ชายหนุ่มที่เธอไม่เคยนับถือหรือเห็นว่าเขาเป็นพี่เลยแม้อีกฝ่ายจะอายุมากกว่าถึงห้าปี จีรพงศ์เป็นเจ้าของแกลลอรี่ชื่อดัง เขาชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นเพื่อนบ้านที่สนิทสนมมานาน ก่อนที่จะไปเรียนที่โรมแล้วกลับมาอีกครั้ง น่าเสียดายที่พ่อแม่ของเขาไปปลูกคฤหาสน์อยู่ที่เชียงใหม่และขายที่ดินทิ้งไปแล้ว เขาจึงต้องเช่าคอนโดอยู่เพียงลำพัง
“ขอดูความคืบหน้าหน่อย” จีรพงศ์ดึงภาพสเก็ตซ์ของหญิงสาวออกมาดู ผลงานของเธอใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงเก็บรายละเอียดเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริง มนทิชากับเขาคลุกคลีกันมาเกือบยี่สิบปี ในวัยเด็ก กัณหาอายุสิบสาม เขาอายุแปดปี ส่วนมนทิชาเพิ่งจะสามขวบ การเล่นกับเด็กรุ่นน้องนั้นจะสนุกกว่าและแสดงความเป็นผู้นำได้อย่างเต็มที่ เขาจึงสนิทกับมนทิชามากกว่าจนไม่รู้ว่าถูกเด็กสาวเทียบรุ่นเรียกเขาว่า “จิล” ซึ่งเป็นชื่อเล่นเฉยๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ฝีมือใช้ได้ แต่ไม่รู้จะขายได้หรือเปล่า?”
“โธ่! แค่ได้ไปโชว์ในแกลลอรี่ของจิลก็เป็นพระคุณแล้ว แต่ว่า...ถ้าเธอจะกรุณาซื้อไว้ฉันก็ไม่ขัดข้องหรอกนะ”
“เธอนี่เจ้าเล่ห์จริงๆ เอ้า...ลงมือทำต่อให้เสร็จ คืนนี้จะพาไปเที่ยว”
มนทิชาลงมือสเก็ตซ์ภาพต่อเงียบๆ เมื่อเขาเอาเรื่องเที่ยวมาล่อ นานๆ ครั้งจึงจะเหลือบมองชายหนุ่มสักแวบหนึ่งให้ชื่นใจ ผมยาวสลวยสีน้ำตาลอ่อนถูกรัดไว้ด้วยยางยืดแบบหลวมๆ เธอชอบปลายจมูกโด่งนั้นที่สุด รวมถึงแววตาอบอุ่นนั้นด้วย เพราะเขามักจะมองเธอด้วยความอ่อนโยนเสมอ
จีรพงศ์ไปโรมสี่ปี ในสี่ปีนั้นเป็นช่วงเวลาที่โดดเดี่ยวและไร้ความหมาย ตอนนี้เขากลับมาแล้ว และเธอจะต้องใช้เวลาทั้งหมดเพื่อทดแทนช่วงเวลาสี่ปีที่ขาดหายไปกับเขาให้คุ้มค่าที่สุด
“จริงๆ เราน่าจะแต่งตัวให้สวยกว่านี้หน่อย นายน่าจะบอกก่อนว่าจะพาไปเที่ยว” เมื่อนึกได้ว่าตัวเองนั้นแต่งชุดไม่ค่อยเข้าท่า เธอก็ต่อว่าเขา ซ้ำยังเปลี่ยนสรรพนามจาก “เธอ” เป็น “นาย” ตามสภาพอารมณ์อีกด้วย
“แบบนี้ก็ดีแล้ว” เขาเหลือบมองหล่อนแล้วยิ้ม มนทิชาชอบรองเท้าผ้าใบเป็นชีวิตจิตใจ เธอซื้อรุ่นเดียวกันสิบสองสีเพื่อให้ครบกับสีของเสื้อ กางเกงยีนขาดๆ กับเสื้อกล้ามตัวโคร่ง เสื้อกันหนาวที่ดูรุ่มร่ามมองแล้วเหมือนเด็กผู้ชายมากกว่า แต่ก็ยังดูน่ารัก
“นึกว่าผู้ชายจะชอบผู้หญิงแบบพี่กัณหมดซะอีก”
“ผู้หญิงบางคนชอบดอกกุหลาบ บางคนชอบดอกบัว แล้วทำไมผู้ชายต้องชอบแต่คนสวยๆ ล่ะ”
“ไม่รู้สิ...แล้วนาย...ชอบผู้หญิงแบบไหนล่ะ?”
“ก็แบบที่ชอบนั่นแหละ ตั้งใจหน่อยสิ เดี๋ยวก็ไม่พาไปเที่ยวหรอก”
หญิงสาวค้อนขวับเมื่อเขาไม่ยอมบอกเสปกผู้หญิงที่ชอบสักที แม้จะหลอกถามกี่ครั้งๆ เขาก็เฉไฉไปเรื่อย แล้วก็ชอบทำหน้าอมยิ้มเหมือนคนถือไพ่เหนือกว่า ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอนั้น “ชอบ” เขามากแค่ไหน “ชอบ” ซะจนพาลเกลียดผู้ชายทั้งโลกโดยไม่มีสาเหตุ
“เมื่อไหร่นายจะรู้ตัวสักที เมื่อไหร่จะรู้ว่าฉันชอบนาย ชอบจนไม่อยากจะเก็บมันไว้อีกแล้ว”
จุลพัธน์ก้าวลงจากเบาะหลังของรถคันหรู เขาเพิ่งลงจากเครื่องหลังบินไปประชุมเปิดตลาดนำเข้าของตกแต่งบ้านสไตล์โรมันที่ยุโรปมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ แม้ว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่จะชอบสไตล์อียิปต์โบราณมากกว่า แต่เขาคิดว่าคนที่ชอบแบบโรมันก็มีไม่น้อย เขามีของตัวอย่างและของฝากมาฝากพนักงานคนละชิ้นสองชิ้นตามประสาเจ้านายที่ดี
เขาเลือกนาฬิกาตั้งโต๊ะให้กับเลขาทั้งสองคน กัณหานั้นเป็นเลขาในสำนักงาน คอยดูแลจัดการเรื่องเอกสาร การประชุม ส่วนการออกพื้นที่ ออกงานกลางคืนจะมีธัญธร ลูกพี่ลูกน้องของเขาช่วยดูแลอยู่ เพราะไม่ต้องการให้เกิดข้อครหาเรื่องสมภารกินไก่วัด และอำนวยความสะดวกให้กับกัณหาอีกต่อหนึ่ง
“ตกลงวันเสาร์นี้คุณจะไปเองใช่ไหม?” ธัญธรหันมาถามเลขาอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเมื่อจุลพัธน์เดินเข้าห้องไปแล้ว เขาหมั่นไส้หล่อนที่เป็นคนสวยอย่างหาที่ติไม่ได้ หล่อนมีคุณสมบัติของกุลสตรีไทยเต็มเปี่ยม ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ดื่ม ไม่แต่งตัวล่อแหลม แต่ก็ช่างเลือกไม่น้อย เธอยิ้มให้กับทุกคน พูดคุยได้ทุกเรื่อง แต่ก็ยังไม่เลือกใคร บ่อยครั้งที่ออกงานด้วยกันเธอจะกลายเป็นดาวเด่นของงานจนเขาไม่กล้าจะไปยืนใกล้
“อ๋อ! งานเปิดตัวแกลลอรี่ใช่ไหมคะ ฉันจะไปเองค่ะ”
“คุณไม่ชอบเรียนศิลปะ แต่กลับจะไปดูนิทรรศการศิลป์?” เขาเลิกคิ้ว ความจริงอย่างหนึ่งคือพวกเขาเรียนมาด้วยกันตั้งแต่มัธยม กัณหานั้นเป็นดาวโรงเรียน เธอมักจะยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ในกลุ่มผู้หญิงสวยๆ เธอเรียนสายวิทย์ เขาเรียนสายศิลป์ ชีวิตของเขาเปื้อนสีฝุ่นและผ้าใบมาก่อน พอเรียนปริญญาเขาก็ยังเลือกเรียนทางศิลปะ ก่อนจะเบนเข็มไปเรียนบริหารแล้วก็กลับมาเจอกันอีกจนได้
“ถึงฉันจะไม่ชอบเรียนวิชาศิลปะ แต่ฉันก็ชอบงานศิลป์ คุณเองก็ไม่มีผลงานมาหลายปีแล้วนี่” หล่อนย้อนกลับไปได้ตรงจุด เพราะหลังจากเกิดอุบัติเหตุเมื่อสี่ปีก่อน เขาก็เลิกสร้างสรรค์ผลงานไปเลย ทั้งๆ ที่เคยเป็นคนมีชื่อเสียง เป็นนักประติมากรรมที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก
“เอ่อ...ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะสะกิดแผลของคุณ” หล่อนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเขาเงียบไป
“คุณพูดถูก...เมื่อก่อนผมมีความฝัน มีจินตนาการ มีมือที่มีพรสวรรค์ เดี๋ยวนี้ผมไม่มีแม้แต่ความหวัง” เขายอมรับเสียงขรึม เบือนหน้าหนีจากหล่อนเพราะไม่อยากเห็นสายตาที่แสดงความรู้สึกผิดของเธอ
“ฉัน...ขอโทษจริงๆ ค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทับถมคุณจริงๆ”
“ช่างมันเถอะ! เราไม่ถูกชะตากันมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องแค่นี้ผมไม่ถือ!”
