บทที่ 18 เป็นแฟนกันแล้ว
“ตะ...แต่ จิลบอกว่าพี่กัณให้มาอยู่เป็นเพื่อน” มนทิชายกพี่สาวขึ้นมาอ้าง
“นั่นเราโกหก พี่กัณแค่บอกให้ช่วยมาดูเธอหน่อย แต่เราอยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง”
“อะ...อะไร?” เธอร้อนตัว กลัวเขาจะรู้เรื่องที่ไปเล่นละครกับจุลพัธน์
“ก็แค่อยากจะพิสูจน์ว่าเธอยังชอบเราอยู่หรือเปล่า จู่ๆ วันนั้นเธอก็ผลุนผลันออกมาเลย แล้วก็ทำตัวเป็นนินจาผลุบๆ โผล่ๆ” เขาหมายถึงวันที่ปรับความเข้าใจกับเธอ แต่ยังไม่ทันจะเล่าเรื่องของมิกะให้ฟังทั้งหมด เธอก็รับโทรศัพท์แล้วหายไปซะเฉยๆ
“พะ...พิสูจน์...ทำไม?”
“ก็ถ้าไม่รู้ว่า...เธอยังชอบเราอยู่หรือเปล่า...เราก็เก้ออยู่ฝ่ายเดียวน่ะสิ”
“หือ? มะ...หมาย...หมาย...ความว่าไง”
“โธ่เอ๊ย! นี่ต้องให้เราพูดจริงๆ เหรอเนี่ย” เขาผละจากร่างบาง นั่งหันหลังให้หญิงสาวที่กลายเป็นคนติดอ่างกะทันหัน
“อะไรเล่าจิลก็...พูดเป็นปริศนาอยู่ได้” มนทิชาผวาลุกขึ้นตาม เกาะไหล่ชายหนุ่มด้วยความอยากรู้
“จะอะไรซะอีกล่ะ...ก็จะบอกว่าชอบนะ! ชอบเธอ ได้ยินชัดไหม เข้าใจหรือยัง?”
“ชัดแล้ว! ชัดแจ๋วเลย!” หญิงสาวเผลอตะโกนตอบเขาเสียงดัง ใจของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งไม่อยากจะเชื่อ ทั้งยินดี ทั้งตกใจไม่คิดว่าเขาจะชอบเธอ ไม่คิดว่าเขาจะพูดมันออกมา
จิลชอบเธอ...ในที่สุดเขาก็มองเห็นความรู้สึกของเธอ ไม่อยากจะเชื่อเลย
“จิล...ไม่ได้แกล้งเราแน่นะ จิลชอบเราจริงๆ เหรอ?”
“มีใครเขาแกล้งแบบนี้กันล่ะ มานี่สิ” เขาดึงมือเธอให้นั่งลงข้างๆ เห็นเธอน้ำตาซึมก็อดสงสารไม่ได้ เขารู้ มนทิชาติดเขาตั้งแต่เด็กๆ และแม้เขาจะไปเรียนที่โรมถึงสี่ปี เธอก็ไม่ได้มองใครอื่น แม้ในวัยของเธอจะยังฉาบฉวยในเรื่องความรัก แต่ความรู้สึกของเธอกลับมั่นคงจนเขาละอาย
“เรารู้จักกันมาตั้งสิบกว่าปี แล้วเธอก็ยังเด็ก กลัวว่าความชอบของเธอจะเป็นแค่ความหลงเมื่อเธอได้พบเจอกับผู้คนมากขึ้น แต่ว่า...วันนั้นถึงได้รู้ตัว พอไม่มีเธออยู่ข้างๆ แล้วมันก็เหงา รู้เลยล่ะว่าเสียเธอไปไม่ได้ ที่บอกว่าเปิดช่องน่ะ ที่จริงไม่ใช่หรอก เธอเป็นคนซื่อตรง คนที่คิดไม่ซื่อน่ะคือฉันเอง ผู้ชายนะทิชา...ถ้าอยู่ใกล้คนที่ชอบก็มักจะลืมตัว อยากกอดอยากจูบเป็นเรื่องธรรมดา แล้วถ้าอยู่กันสองต่อสองก็ไม่รู้จะอดกลั้นได้แค่ไหน ถ้าไม่ผลักเธอออกไปก็คงจะเลยเถิด ฉันอยากจะทะนุถนอมเธอไว้ อยากดูแลให้ดีที่สุด”
“ระ...เรา...เป็นแฟนกันแล้วใช่ไหม?” เธอถามเหมือนคนละเมอเมื่อได้ยินคำสารภาพอันยาวเหยียด
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น...ถ้าเธอยังอยากจะเป็นแฟนฉันล่ะก็นะ”
“อยาก...อยากสิ...ไชโย้! เราเป็นแฟนกันแล้ว ห้ามคืนคำนะจิล ในที่สุดเราก็เป็นแฟนกัน” หญิงสาวกระโดดโลดเต้นไปรอบห้อง ไม่รู้ว่าอุปาทานหรือเปล่า เธอเห็นดอกไม้และสายรุ้งหลากสีสันและรูปหัวใจลอยอยู่เต็มไปหมด
“เอาล่ะ...ถ้าอย่างนั้นก็ไปนอนได้แล้ว”
“จ้ะ!”
“อย่าลืมปิดไฟห้องรับแขกให้เรียบร้อย”
“ได้เลย!”
“อย่าลืมล็อคห้องด้วย” เขากำชับ
“รับทราบ!” เธอขานรับพร้อมต๊ะเบ๊ะเลียนแบบทหาร แล้ววิ่งออกจากห้องด้วยอารมณ์เริงร่า
จีรพงศ์เดินตามจะไปปิดประตู ใบหน้าเขาเปื้อนรอยยิ้มไม่ต่างกัน
“อ้อ! พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้านะ” เขาตะโกนสำทับออกไป ก่อนจะได้ยินเสียงตะโกนตอบกลับมาว่า
“ขอรับเจ้านาย!”
จุลพัธน์ถอดสูทวางไว้บนพนักเก้าอี้ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนเตียงกว้าง ใช้นิ้วชี้นวดขมับทั้งสองข้างเพื่อคลายเครียด วันนี้ทั้งวันเขาต้องเหนื่อยกับทั้งการทำงาน ทั้งการดูแลเจ้าเด็กแสบและแสดงบทบาทตบตาสายสืบของคุณหญิงซึ่งไม่รู้ว่าแฝงตัวอยู่แผนกไหนบ้าง
ปุณกันต์ เลขาหนุ่มที่มาทำหน้าที่แทนธัญธรยังต้องปรับตัวอีกมาก โดยเฉพาะในเรื่องของเอกสารที่ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบเป็นพิเศษ ในสำนักงานใหญ่ยังไม่มีใครแทนที่กัณหาได้ กระนั้นคุณหญิงย่ากลับไว้ใจยัยหนูมนแบบไม่ห่วงว่าบริษัทของเขาจะเจ๊งเพราะเด็กไม่เป็นโล้เป็นพายคนหนึ่ง
อันที่จริงก็น่าเห็นใจเธอไม่น้อยที่ต้องทิ้งช่วงเวลาสนุกๆ ของวัยรุ่นมาเป็นกันชนให้เขา แต่เรื่องมันก็เลยมาถึงขั้นนี้แล้วจะถอยกลับก็คงไม่ทัน อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่อาวุโสกว่า เขาก็มองเห็นข้อดี (แบบเข้าข้างตัวเอง) ว่า การที่เธอได้มาฝึกงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ในฐานะเลขาของเขานั้น เป็นประสบการณ์ที่หาได้ไม่ง่ายเลย แม้แต่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยดังๆ ก็ยังไม่มีโอกาส เพราะฉะนั้น หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไปแล้ว เธอจะไม่ได้กลับบ้านมือเปล่า เขาจะให้ความรู้และประสบการณ์ในการทำงานกับเธออย่างเต็มที่
เมื่อใจค่อยคลายความกังวลและหันหลังให้กับความรู้สึกผิดได้แล้ว เขาก็หยิบโน้ตบุ๊คออกจากมากางบนโต๊ะทำงาน แล้วไล่ดูภาพถ่ายกับไฟล์งานที่เป็นโปรเจกต์ใหญ่สำหรับปีนี้อย่างขะมักเขม้น
รายละเอียดที่คุยกับจีรพงศ์ค่อนข้างลงตัว เหลือสถานที่ที่หมายตาไว้และต้องเดินทางไปดูด้วยตัวเองอีกสองถึงสามแห่ง ถ้าหากเชิญจีรพงศ์ไปด้วยเขาน่าจะได้ข้อสรุปง่ายขึ้น
“จุล...จุล อยู่ข้างในหรือเปล่าลูก?”
เสียงร้องเรียกของกุสุมาทำให้เขาพับหน้าจอลงแล้วเดินไปเปิดประตู นึกฉงนว่าทำไมท่านจึงมาหาเขาที่คอนโด ร้อยวันพันปีถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนไม่มีทางที่มารดาของเขาจะเสี่ยงขึ้นลิฟต์สิบแปดชั้นขึ้นมาแน่
“สวัสดีครับแม่ มากับคุณพ่อเหรอครับ?” เขาหอมแก้มกุสุมาฟอดหนึ่งแล้วเบี่ยงตัวให้ท่านเดินเข้ามา พร้อมถามหาบิดาที่น่าจะมาด้วยกัน
“มาด้วยกันแต่แยกกันแล้ว แม่ขี้เกียจนั่งเฝ้าคนแก่ตีกอล์ฟ จะกลับบ้านก็ไกลเกินไปเดี๋ยวคนขับรถต้องวกกลับมาอีก ก็เลยมาหาจุลนี่แหละ” กุสุมาหยิบหนังสือดารามาเปิดอ่านฆ่าเวลา เมื่อเห็นว่าบุตรชายอาจจะมีงานค้างอยู่
“ของว่างครับ” จุลพัธน์วางถาดผลไม้ลงบนโต๊ะ พร้อมน้ำเย็นๆ อีกหนึ่งแก้ว ตัวเขาเองนั่งฝั่งตรงข้าม ปอกเปลือกผลไม้ให้ท่านด้วย
“จุลมีงานก็ทำเถอะลูก”
“อ๋อ...ไม่ใช่เรื่องด่วนหรอกครับ เป็นโปรเจกต์ที่เราเคยคุยๆ กันไว้ ผมเพิ่งเริ่มมันเท่านั้น”
“อย่าหักโหมนะลูก ถึงเวลาพักก็ต้องพัก เอ่อ...ว่าแต่ เลขาคนใหม่เป็นยังไงบ้างล่ะ?” กุสุมาถามยิ้มๆ
“ปุณกันต์น่ะเหรอครับ ก็ดีครับ ถ้ามาจากสาขาเชียงใหม่ล่ะก็หายห่วง”
“แหม...คนนี้แม่ปั้นมากับมือทำไมจะไม่รู้ล่ะ แม่หมายถึงหนูมนต่างหาก”
“ก็...” เขาอึกอักพูดไม่ออกเมื่อเห็นมารดาทำท่าปิดปากหัวเราะคิกคักทำตาวิบวับ ไม่รู้จะบอกอย่างไรดี เพราะวีรกรรมที่เด็กแสบนั่นทำไว้มากมายเหลือเกิน แค่วันเดียวก็สามารถทำให้พนักงานในบริษัทพร้อมใจกันทำล่วงเวลาแบบไม่เบิกโอทีได้แล้ว ป่านนี้พวกนั้นคงเมาท์กระหน่ำในเฟสบุ๊ค ดีแค่ไหนที่ไม่มีใครถ่ายรูปเอาไปลงด้วย ไม่อย่างนั้นมีหวังเรื่องถึงหูกัณหาแน่ๆ
“อันที่จริงแม่ก็ไม่เห็นด้วยหรอกที่จะให้เด็กอายุสิบแปดไปทำงานในตำแหน่งสำคัญๆ แต่คุณย่าคิดไกลกว่านั้นนะลูก ท่านไม่อยากให้พวกลูกคบกันแบบฉาบฉวย จะเด็กกำพร้ายากดีมีจน ถ้ามีความรู้ รู้จักทำงานทำการก็สามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมได้ ถ้าหนูมนรักลูกจริง เธอจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้พวกเราเห็นว่าเธอเหมาะสมกับตำแหน่งสะใภ้ของธวัชดิลกกุลชัย เด็กคนนั้นมีความตั้งใจจริง แม่เชื่อสายตาของแม่ว่ามองคนไม่ผิดแน่”
จุลพัธน์แทบจะหงายหลังตกเก้าอี้กับความคิดของคุณหญิงและมารดา ตอนแรกเขาคิดว่าคุณย่าต้องการจะจับผิดว่าเขากับมนทิชาเป็นแฟนกันจริงหรือเปล่า ที่ไหนได้ท่านจริงจังถึงขั้นเตรียมเด็กสาวให้เป็นนายหญิงของตระกูลเลยทีเดียว
