บทที่ 17 อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจแฟน
มนทิชามองจานเปล่าตรงหน้าชายหนุ่มแล้วอมยิ้มจนแก้มตุ่ย เพราะจีรพงศ์กินผัดหมี่ฝีมือเธอจนหมด ก่อนที่เขาจะนั่งลูบท้องเอนหลังอย่างสบายอารมณ์ วันนี้ชายหนุ่มสวมกางเกงยีนทรงกระบอกสีซีดกับเสื้อคอกลมพอดีตัว ผมยาวสลวยล้อมกรอบใบหน้า พลันใจของเธอก็กระหวัดคิดถึงชายอีกคนซึ่งตรงข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง
จุลพัธน์ผมสั้นดกดำและมักจะหวีเรียบแปล้หล่อเนี้ยบทุกวัน เธอไม่เคยเห็นเขาใส่ชุดไปรเวทเลยนอกจากสูทเต็มยศ แม้แต่วันแรกที่กัณหาพาเขามาที่บ้าน เขาก็สวมกางเกงผ้าเดอนิมเนื้อดี กับเสื้อลำลองภายในทับด้วยเสื้อโค้ทตัวใหญ่ราวกับหลุดออกมาจากหนังฮอลลีวู้ด ทั้งๆ ที่อากาศเมืองไทยมิได้หนาวขนาดนั้น
จุลพัธน์สูงและหนากว่าจีรพงศ์เล็กน้อย รูปร่างออกไปทางนายแบบฝรั่ง ขณะที่พี่จิลของเธอดูโปร่งบางกว่าและเป็นคนสบายๆ เขากลับเจ้าระเบียบและมีตารางงานอันน่าปวดหัว ซึ่งสมองน้อยๆ ของเธอคงไม่สามารถบรรจุสาระ และสิ่งที่ต้องทำทั้งหมดนั้นไว้ภายในหนึ่งเดือนนี้แน่ๆ
แค่คิดว่าพรุ่งนี้จะต้องแต่งตัวสวยเนี้ยบเข้าไปในบริษัทของเขา ต้องเจอกับสายตาสอดรู้สอดเห็นของพนักงานและสายลับที่แฝงตัวคอยสอดแนมรายงานคุณหญิงพรพรรณ เธอก็อดเพลียระเหี่ยใจไม่ได้
“เฮ้อ...”
“ถอนหายใจเรื่องเราหรือเปล่า?” จีรพงศ์เลิกคิ้วถาม แม้จะเปิดโทรทัศน์ดูข่าวบันเทิงอยู่ แต่ตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้านวลตลอดเวลา สังเกตเห็นว่าเธอดูเนือยๆ ไป ไม่สดชื่นร่าเริงเหมือนเก่า เขากลัวว่าเรื่องในวันนั้นจะเป็นสาเหตุทำให้เธอไม่สบายใจ
“หือ? จิลว่าอะไรนะ?”
“มีเรื่องกลุ้มอะไรหรือเปล่า ถอนหายใจดังอย่างกับเสียงตด”
“บ้า!” มนทิชาทุบขาชายหนุ่มเบาๆ “กำลังคิดอะไรเพลินๆ ต่างหาก”
“คิดอะไรล่ะ ถึงได้ทำท่าเซ็งขนาดนั้น” เขายันตัวขึ้นนั่งพิงพนักโซฟา ขยับให้หญิงสาวเลื่อนตัวขึ้นจากพื้นมานั่งใกล้ๆ
“กำลังคิดว่าถ้าจิลตัดผมสั้น แต่งตัวใส่สูทจะเป็นยังไงนะ”
“เปลี่ยนแนวแล้วเหรอ...ไหนบอกว่าชอบหนุ่มเซอร์ไง นี่ต้องเข้าร้านตัดผมแล้วเหรอเนี่ย?”
“ไม่ๆๆๆ “เธอรีบปฏิเสธรัวเร็ว “จิลที่เป็นแบบนี้น่ะดีแล้ว ตอนเห็นนายกลับจากเมืองนอกครั้งแรกนะถึงกับตะลึงเลย ยังไงก็ชอบหนุ่มผมยาวอยู่ดีนั่นแหละ พวกผมเรียบเนี้ยบโก้น่ะดูเคร่งเครียดไม่น่าคบหาสมาคม” หญิงสาวทำท่าขนลุกขนพองไปด้วยเมื่อนึกถึงใบหน้าคมดุของจุลพัธน์
“พูดอย่างนี้แล้วนึกถึงคุณจุลขึ้นมาทันทีเลย แต่เราว่าเขาดูดีออก มีไม่กี่คนที่จับธุรกิจเกี่ยวกับศิลปะแล้วทำกำไรให้บริษัทปีละร้อยล้านอย่างเขา ไม่นับรวมธุรกิจโรงพยาบาลนับสิบแห่ง เพราะอย่างนี้คุณหญิงพรพรรณถึงได้เร่งหาหลานสะใภ้มาช่วยดูแลกิจการของครอบครัว” จีรพงศ์กดเปลี่ยนช่องเมื่อข่าวบันเทิงจบลง พร้อมเลื่อนถาดของว่างมาไว้ตรงหน้าหญิงสาวที่เริ่มจะกินอีกแล้วหลังจากเพิ่งอิ่มผัดหมี่ไปไม่นาน ถ้าเป็นคนอื่นคงจะกลัวอ้วน แต่สำหรับมนทิชา หล่อนใช้พลังงานในการทำงานบ้านและตระเวนไปโน่นไปนี่ทุกวันจึงไม่ต้องกลัวไขมันจะพอกขึ้นมา และเขาเห็นว่าเธอผอมเกินไปด้วยซ้ำ
“ก็แบ่งให้ญาติพี่น้องดูแลบ้างซิ คนๆ เดียวจะทำงานหลายอย่างได้ยังไง”
“เมื่อก่อนก็มีเยอะอยู่หรอก แต่ว่า...ตั้งแต่โศกนาฏกรรมครานั้น ตระกูลธวัชดิลกกุลชัย ก็เหลือเครือญาติที่ใกล้ชิดอยู่ไม่กี่คน สายเลือดแท้ๆ ที่ใช้นามสกุลธวัชดิลกกุลชัยก็คือคุณจุลนั่นแหละ พี่สาวน้องสาวของคุณนภดลแต่งงานไปแล้วก็ใช้นามสกุลสามีกันหมด”
“นายนี่รู้ประวัติเขาซะละเอียดยิบเลยนะ อย่างกับนักสืบ” หญิงสาวทำทีเอนหลังพิงพนักโซฟาในอิริยาบถสบายๆ ทว่าหูกลับเก็บข้อมูลทุกถ้อยทุกคำไว้เผื่อต้องเจอเหตุการณ์เฉพาะหน้า
“คนทำธุรกิจก็ต้องรู้ข้อมูลลูกค้าบ้างสิ ว่าแต่อ่านหนังสือบ้างหรือเปล่าเราน่ะ ช่วงนี้รู้สึกจะเที่ยวตะลอนๆ เลยนะ”
“เที่ยวที่ไหนกันล่ะ คนเขาทำ...” เธอโพล่งออกมาแล้วรีบหุบปากฉับเพราะเกือบทำความลับรั่วไหล
“ทำอะไร? บ้านช่องก็ไม่อยู่ โทรหาก็ไม่ค่อยจะรับสาย” เขาเขกศีรษะเธอทีหนึ่ง
“โอ๊ย! แหม...ลูบเบาๆ ก็ได้” หญิงสาวย่นคอใช้มือคลำศีรษะป้อยๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เจ็บ “คิดถึงเราอ่ะดิ...ใช่ม้า?”
“แก่แดด”
“เราไม่ใช่เด็กแล้วนะ โตเป็นสาวแล้ว แต่งงานได้แล้วด้วย”
“ยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย ไม่มีใครอยากพรากผู้เยาว์หรอก สมัยนี้ใครเขาแต่งงานตอนอายุสิบแปดกัน ดูอย่างพี่กัณสิ ทั้งสวยทั้งเก่งยังไม่คิดจะมีแฟนเลย จะมีทั้งทีก็ต้องเลือกกันหน่อย ชาติตระกูลเอย ฐานะเอย ภูมิหลังเอย เราเองก็เหมือนกัน อย่างน้อยหาเลี้ยงตัวเองได้แล้วค่อยคิดเรื่องแต่งงาน”
“จ้าๆๆ แหม...หลักการเยอะจริง สำหรับเราให้แต่เป็นผู้ชายแท้ก็พอแล้ว คุณสมบัติอย่างอื่นค่อยหาเพิ่มทีหลัง ว่าแต่จิลเถอะ!” หญิงสาวกระดกตัวขึ้นจากโซฟา หรี่ตาชี้หน้าชายหนุ่มด้วยความสงสัย “เป็นผู้ชายแท้หรือเปล่า?”
“พิสูจน์ดูไหมล่ะ?”
จีรพงศ์จ้องเธอกลับ สองมือจับข้อมือเธอไว้ทั้งสองข้าง ออกแรงผลักร่างบางจนหงายตึงบนโซฟา ขณะที่มนทิชาร้องอุทานเบาๆ ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ
เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ขาดเป็นห้วงๆ ของอีกฝ่าย คลับคล้ายว่าจะได้ยินเสียงหัวใจเธอเต้นตึกตัก ริมฝีปากอิ่มสั่นระริก สองสายตาประสานกันเนิ่นนาน
“หลับตาทำไม?” เขาถามเมื่อจู่ๆ เธอก็หลับตาพริ้ม
“อะ...อ้าว” หญิงสาวลืมตาแล้วกระพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง “ไม่ได้จะจูบหรอกเหรอ?”
“บ้าจริง...หัดระวังตัวหน่อยสิ นี่ดีนะที่เป็นเรา ถ้าเป็นคนอื่นคงเสร็จไปแล้ว เล่นเปิดช่องโหว่ขนาดนี้” เขาปล่อยเธอเป็นอิสระ ถอยกลับมานั่งที่เดิม พร้อมกับหยิบรีโมททีวีมากดเปลี่ยนช่องไปมา
“เปิดช่องอะไร เราก็แต่งตัวมิดชิดออก” เธอแย่งรีโมทจากมือเขามาถือไว้ เพราะเขาเล่นกดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ดูช่องไหนสักที จนเธอกลัวว่าเซ็นเซอร์มันจะพังเสียก่อน
“ไม่เอาละเบื่อเด็กพูดไม่รู้เรื่อง ไปนอนดีกว่า” เขาผลุนผลันลุกขึ้นเดินตึกๆ ขึ้นไปชั้นบน เปิดประตูห้องนอนของมนทิชาที่คืนนี้จะเป็นที่สิงสถิตของเขา ตัวเธอเองจะย้ายไปนอนห้องของกัณหาชั่วคราว ทว่ายังไม่ทันจะปิดประตูลงกลอน เจ้าของห้องเสียงแปดหลอดก็พุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว เธอท้าวสะเอวทำหน้าขมึงถึง บ่งบอกว่าระดับอารมณ์กำลังพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
“ยังนอนไม่ได้นะจิล เราเปิดช่องยังไง พูดไม่รู้เรื่องยังไง บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
มนทิชาก็คือมนทิชา อารมณ์ของเธอแปรปรวนดุจพายุดีเปรสชั่นและไม่ชอบทำอะไรค้างคา ในหนึ่งนาทีเธอสามารถหัวเราะพร้อมๆ กับร้องไห้ได้เสมอ
“เดี๋ยวก็รู้เองนั่นล่ะ” เขาตัดบท พร้อมกับถอยไปนั่งบนเตียง ขณะที่เธอยังไม่ยอมลดละ
“บอกเรามาเดี๋ยวนี้!”
“ไม่บอก”
“บอก!”
“เอ้า! ถ้าอยากรู้นักล่ะก็!”
“กรี๊ด!” หญิงสาวร้องกรี๊ดเมื่อมือยาวๆ ของเขาตวัดเอวบางของเธอเข้าไปหา ร่างของเธอหมุนคว้างก่อนจะหล่นตุ้บลงบนเตียงนุ่ม แล้วร่างสูงก็เอนลงทาบทับพร้อมกับริมฝีปากที่บดเคล้าลงมารวดเร็วปานงูฉก
เขาจูบเธอ!
หญิงสาวตกตะลึงนอนตัวแข็ง หัวใจเต้นรัวราวจะทะลุออกมา ทว่าร่างกายกลับเบาโหวงอย่างประหลาดเมื่อริมฝีปากนุ่มของอีกฝ่ายเบียดชิดอยู่กับกลีบปากของเธอ มือที่ยันหน้าอกเขาไว้สัมผัสได้ว่าหัวใจเขาเองก็เต้นแรง
“รู้หรือยังทีนี้” ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกมา แต่ยังไม่ยอมขยับตัว ความจริงเขาไม่ได้จูบหล่อนดูดดื่มอะไรนัก แค่จะสั่งสอนคนช่างสงสัยเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
“เธอน่ะ...ไม่รู้จักระวังตัว แค่ยอมให้เราเข้ามาในบ้านก็ถือว่าผิดแล้ว นี่เล่นทำความสะอาดห้องรอ แถมให้เรานอนบนเตียงของเธอด้วย เราไม่ใช่เด็กๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ”
