บทที่ 14 หนูมนเป็นเด็กซุกซน
“ทำไมล่ะ?”
“ยังจะมาถามอีก”
“แหม...ทำเป็นหวง” หญิงสาวนิ่วหน้า แต่ก็เดินไปถือแฟ้มเอกสารเข้ามาแต่โดยดี
แล้วจุลพัธน์ก็เริ่มสอนงานง่ายๆ ให้เธอก่อน เริ่มจากการจัดแฟ้มเอกสารให้ถูกต้องตามระเบียบงานสารบรรณ ซึ่งเธอก็ตั้งใจศึกษาและทำได้ดี จนกระทั่งถึงเวลาประชุมเขาก็มอบหมายให้เธออ่านรายงานของฝ่ายการตลาด หลังเสร็จสิ้นการประชุมจะเข้ามาติดตามความคืบหน้าอีกครั้ง
“อ่านให้หมดทุกเล่มนะ เดี๋ยวอีกสองชั่วโมงจะถามว่าผลสรุปเป็นยังไงบ้าง ห้ามขี้เกียจ ห้ามงีบระหว่างทำงานเข้าใจไหม?”
“รู้แล้วน่า...สั่งๆๆๆ ไม่ใช่เลขาจริงๆ สักหน่อย”
“ตั้งใจทำงานนะ เดี๋ยวเย็นนี้จะทำอาหารฝรั่งให้กิน” เขาลูบศีรษะเธอเบาๆ ยิ้มสบตาแป๋วแหววที่กำลังมองเขาด้วยความฉงน
“อย่าบอกนะว่าเย็นนี้ต้องไปกินข้าวบ้านคุณย่าอีก นี่ใจคอจะไม่ให้เป็นอิสระเลยหรือไง อย่างนี้ก็ไม่ได้เจอกับ...” เธอเกือบจะหลุดปากพูดชื่อของจีรพงศ์ เพราะกลัวว่าเขาจะรู้ว่าเธอกับพี่จิลนั้นกลับมาคุยกันเหมือนเดิมแล้ว ขืนเขาไปเผลอพูดให้คุณหญิงพรพรรณได้ยินเข้า เธออาจถูกริดรอนสิทธิเสรีภาพมากกว่านี้ สู้ให้เขาเข้าใจว่าเธออกหักไปจนกว่าจะพ้นหนึ่งเดือนเลยซะดีกว่า
“กับใคร?”
“ไม่มีอะไร ว่าแต่ฉันต้องไปกินข้าวบ้านคุณย่าจริงๆ เหรอ บอกท่านว่าฉันไม่สบายได้ไหมอ้ะ” เธอทำตาวิบวับต่อรอง เพราะตั้งใจว่าจะไปหาจีรพงศ์ที่แกลลอรี่
“ไม่ได้ไปบ้านคุณย่าหรอก แต่จะไปรบกวนครัวที่บ้านของเธอหน่อย สองทุ่มก็กลับแล้ว ตอนนี้คุณย่ากำลังจับตาดูเรา ในบริษัทมีสายลับอยู่เต็มไปหมด เราจะต้องเล่นให้สมบทบาท ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังเธอก็ต้องเรียกฉันว่าพี่จุล เอาล่ะ...เลิกบ่นแล้วทำตามที่พี่บอกให้เรียบร้อย อย่าให้เสียชื่อคุณกัณล่ะ” เขาทิ้งท้ายด้วยชื่อของกัณหา ซึ่งมักจะปราบมนทิชาได้อยู่หมัดทุกครั้ง อดชมไม่ได้ว่าแม้เธอจะดื้อสักแค่ไหน สุดท้ายเธอก็ยังเคารพเทิดทูนพี่สาวเสมอ
หญิงสาวย่นจมูกแล้วแลบลิ้นปลิ้นตาลับหลังร่างสูงที่เดินออกไป มองเอกสารเล่มหนาด้วยความห่อเหี่ยว นี่เธอจะต้องอ่านมันพร้อมกับสรุปใจความสำคัญให้เขาอีกต่างหาก ถ้าเป็นหนังสือการ์ตูนก็ว่าไปอย่าง
หลังนั่งหลังขดหลังแข็งอ่านได้ครึ่งชั่วโมง เธอก็เริ่มเอนตัวลงนอนทีละนิดๆ แล้วก็กระเด้งตัวขึ้นมาใหม่เพราะหนังตาใกล้จะปิดเต็มแก่ พยายามนึกถึงประโยคสุดท้ายเพื่อไม่ให้เสียชื่อพี่สาว
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป หน้ากระดาษถูกพลิกไปเกือบครึ่งเล่ม ข้อดีอย่างหนึ่งที่แม้จะขี้เกียจแต่เธอก็เป็นคนอ่านหนังสือได้เร็วพอตัว แต่ข้ออ้างที่คิดได้คือแอร์ที่นี่เย็นเกินไป เธออาจไม่สบายได้ ดังนั้นการนอนอ่านหนังสือในที่อุ่นๆ ย่อมจะส่งผลดีต่อสุขภาพมากกว่า
“ยะฮู้!!”
จากโซฟาสู่เตียงกว้าง หญิงสาวกระโดดตัวลอยพร้อมกับหนังสือลงไปบนเตียงนุ่ม ขย่มแรงๆ หลายครั้งด้วยความสนุกสนานแล้วมุดลงใต้ผ้าห่ม เปิดหนังสืออ่านแล้วพลิกซ้ายพลิกขวาเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ
แล้วจู่ๆ บริเวณก้นของเธอก็สั่นรัว!
“เฮ้ย!! เตียงสั่นได้ด้วยเหรอ?”
หญิงสาวดีดตัวขึ้นมาแล้วคลำที่ก้นตัวเอง ก่อนจะถึงบางอ้อ ที่แท้โทรศัพท์หล่นจากกระเป๋าสะพายข้างตกอยู่ตรงก้นพอดี
“อ้าว! โทรศัพท์เราเองนี่นา ฮิๆ นึกว่าอีตาบอสชอบเล่นพิสดารซะอีก” เธอดึงโทรศัพท์ออกจากซองสีชมพูหวานแหวว พอเห็นชื่อคนโทรเข้าก็เกือบจะกรี๊ดออกมา
“ฮัลโหลจิล! นายอยู่ไหนอ้ะ...หา...ไปที่บ้านเหรอ...พี่กัณโทรบอกเหรอ...โทษทีๆ เราไม่ได้อยู่บ้าน ออกมาทำธุระข้างนอก จะแวะมากินข้าวเย็นที่บ้านเหรอ ได้สิ...สองทุ่มครึ่งนะ...โอเค...อื้อ...อ๋อ พี่กัณว่างั้นเหรอ...ได้ เดี๋ยวเราจะทำไว้ให้ โอเคนะเจอกัน”
เธอเก็บโทรศัพท์ ฮัมเพลงอย่างเบิกบานที่จะได้เจอกับจีรพงศ์ แอบขอบคุณกัณหาในใจที่โทรไปฝากฝังให้เขามาดูแลเธอ
เพราะฉะนั้น เธอก็จะต้องตอบแทนพี่โดยการช่วยงานนายจุลพัธน์และแสดงละครอย่างเต็มที่ด้วยเหมือนกัน
เธอไถลตัวลงนอน พลิกซ้ายพลิกขวาบ้าง ตะแคงเอาขาก่ายหมอนข้างอยู่สองสามตลบ มุ่งมั่นที่จะอ่านหนังสือให้จบเพราะเหลืออีกเพียงครึ่งเล่ม
แล้วตัวหนังสือก็ค่อยๆ กลายเป็นภาพซ้อน จนกระทั่งค่อยๆ เบลอเหมือนหนังโป๊ที่ถูกเซนเซอร์ ก่อนที่ห้องทั้งห้องจะมืดสนิท
สามชั่วโมงหลังจากนั้น จุลพัธน์ก็เปิดประตูห้องเข้ามาแล้วปิดฉับลงทันทีเพื่อป้องกันสายตาซอกแซกของพนักงานที่หมั่นชะเง้อชะแง้เข้ามาบ่อยๆ นั่นเพราะเขาพามนทิชาเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยแล้วก็สั่งปุณกัณต์ว่าห้ามใครรบกวนเด็ดขาด และด้วยความที่ไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวมาก่อน เพราะจริงๆ แล้วเขามีห้องทำงานอยู่อีกฟากหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับห้องรับรอง แต่ที่อาจหาญพามนทิชามาห้องนี้ก็เพราะมีแผนของตัวเองเหมือนกัน
เขาเดินผ่านโซฟาตัวยาวเมื่อเห็นเพียงรองเท้าของเธอ แล้วก็จริงดังคาดเมื่อคำขู่ของเขาไม่ได้ผล เพราะยัยเด็กแสบนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงโดยกางหนังสือปิดหน้า ขาข้างหนึ่งพาดขึ้นไปบนหมอนข้าง ผ้าห่มร่นลงไปที่ปลายเท้า กระโปรงถลกขึ้นไปถึงขาอ่อน
“ก็บอกแล้วว่าไม่ให้นอนบนเตียงไง ยัยเด็กบ้า” จุลพัธน์บ่นพึมเมื่อเห็นภาพหมิ่นเหม่บนเตียงกว้าง ดูเอาเถอะ เป็นสาวเป็นนางนอนเปิดพุงอ้าซ่าเอาขาพาดหมอนข้าง ขนาดเขาเดินเข้ามายืนเท้าสะเอวอยู่ตั้งนานเธอก็ยังไม่รู้ตัว
เขาดึงขาเธอลงพร้อมกับดึงกระโปรงให้ลงมาอยู่ในสภาพเรียบร้อย มันเป็นชุดใหม่ที่แกะกล่องที่เขาเป็นคนบังคับให้เธอใส่แทนชุดเมื่อเช้า แล้วเขาก็ดึงผ้าห่มลงเพื่อที่จะปลุกให้ตื่น
“ถึงแล้วเหรอ?” หญิงสาวพึมพำงัวเงียกึ่งหลับกึ่งตื่น คงเพราะไม่คุ้นกับสถานที่จึงฝันอะไรแปลกๆ แต่ก็เป็นฝันที่น่าอภิรมย์ไม่น้อย
เธอกำลังนั่งเสก็ตซ์ภาพอยู่บนเนินเขาลูกเดิม ที่เดิม ใส่เสื้อผ้าตัวเดิม และคนเดิมๆ กำลังเดินเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มแสนหวานที่คุ้นเคย เธอยิ้มหวานจ๋อยกลับไปเมื่อเห็นเส้นผมยาวสลวยของเขาพลิ้วไหวตามสายลม เส้นผมซึ่งเขามักจะให้เธอเป็นคนจัดการรัดให้เสมอ
เขานั่งลงเคียงข้าง กางผืนผ้าใบออก แล้วหันมายิ้มให้อีก จนเธออดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมวันนี้อารมณ์ดีนัก
“มัดผมให้เราหน่อยสิ”
“ว่าแล้วเชียว” หญิงสาวยื่นมือไปจับเส้นผมของเขา
“ว่าแล้วอะไรล่ะ! เฮ้! หนูมน! จะทำอะไรพี่ มาจับหัวพี่ทำไม!” จุลพัธน์ผวาเฮือกเมื่อเธอเอื้อมมือมาจิกทึ้งศีรษะของเขา ทั้งพยายามจะปลุกเธอให้ตื่น ไม่คิดว่าหญิงสาวจะนอนละเมอกลางวันแสกๆ แต่ยิ่งดิ้นเธอก็ยิ่งดึงทึ้งแรงขึ้นจนร่างสูงล้มลงไปทาบทับ
มนทิชาฮึดฮัดเมื่อจีรพงศ์ถอยหนีทั้งๆ ที่บอกให้เธอรัดผมให้ เหมือนจะหูฝาดว่าเขาพูดอะไรออกมายาวเหยียด แล้วเสียงนั้นก็ไม่ใช่เสียงของเขา หากแต่เป็นเสียงดุๆ ของใครอีกคนที่เธออยากจะวิ่งหนี
“ปล่อยนะหนูมน! เธอจะฆ่าพี่หรือไง” เขาฮึดสู้ ตบหน้าเธอเบาๆ เพื่อให้รู้สึกตัว และก็ได้ผลเมื่อเธอสะดุ้งเฮือกลืมตาขึ้นมาทันที
ปุณกันต์เปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าตระหนกเมื่อได้ยินเสียงร้องของบอสหนุ่ม พร้อมกับผู้ช่วยของกัณหาและอีกหลายสิบชีวิตที่พยายามชะเง้อชะแง้ผ่านช่องของประตู
ภาพที่เลขาหน้าห้องและผู้ช่วยสาวเห็นนั้นค่อนข้างจะติดเรตอยู่ไม่น้อย เมื่อจุลพัธน์ในชุดสูทเต็มยศนอนทับอยู่บนร่างบางของเด็กสาวที่ดูแล้วยังไม่บรรลุนิติภาวะ มือของเธอยังจิกทึ้งอยู่บนศีรษะของเขา ทว่าสมองของท่านเลขาชั่วคราวกลับคิดว่าหญิงสาวกำลังขยุ้มผมบอสหนุ่มด้วยความรัญจวน
