บทที่ 13 เปลี่ยนแปลงตัวเองขนานใหญ่
“ปกติมนต้องทานข้าวเช้าน่ะค่ะ ถ้าไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยคงไม่มีแรง” มนทิชาอธิบายแล้วรินน้ำเปล่าในเหยือกให้เขาแก้วหนึ่ง ตัวเองยกขวดน้ำแร่กรอกปากหน้าตาเฉย
“เอามาให้ผมดื่มมั่งสิ” เขาฉวยขวดน้ำแร่จากมือเธอ ไม่สนแก้วน้ำที่ถูกรินเสิร์ฟแต่อย่างใด
“อ๊ะ ไม่ได้นะ ขวดนั้นฉันกรอกปากไปแล้ว คุณเอาขวดใหม่สิ นี่มีอีกตั้งเยอะ อยากกินน้ำแร่ก็ไม่บอก” มนทิชาเอื้อมมือไปยื้อแย่งขวดน้ำของตัวเองกลับมา
“ไม่เอา เอาขวดนี้แหละ”
“นี่คุณไม่รังเกียจหรือไง?”
“ทำไมล่ะ เธอเป็นโรคติดต่อเหรอ?” เขาเลิกคิ้วถามยิ้มๆ ดีใจที่ได้เห็นอีกฝ่ายทำหน้าคว่ำ เพราะการที่เธอยิ้มหวานจ๋อยพูดจาไพเราะเพราะพริ้งมันทำให้เขาขนลุก
“บ้า! ไปกันเถอะเดี๋ยวรถติด”
“สักพักก็ได้” จุลพัธน์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “ร้านเปิดเก้าโมง เคารพธงชาติก่อนก็ยังทัน”
“อ้าว! ไม่รีบเข้างานเหรอ?” มนทิชาทรุดตัวลงนั่งตามเดิม ฉุนขึ้นมาเล็กน้อยที่เขาไม่บอกก่อนว่าจะไปสาย เธอรึอุตส่าห์รีบตาลีตาเหลือกเพราะกลัวไม่ทัน
“จะไปทั้งชุดนี้ได้ยังไง แต่พี่ก็ตั้งใจแล้วล่ะว่าจะต้องพาเธอไปซื้อเสื้อผ้าก่อน เป็นเลขาผู้จัดการต้องแต่งตัวให้ดูดี นี่แค่รูปลักษณ์ภายนอกนะ ต่อไปหนูมนจะต้องเรียนรู้งานจากพี่อีกหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องเอกสารที่ต้องตรวจอย่างละเอียดรอบคอบ ตารางงาน การนัดหมาย และการออกไปทำงานนอกสถานที่”
“โอ๊ย!” มนทิชาร้องขึ้นอย่างเหลืออดเมื่อเขาพูดถึงสิ่งที่เธอต้องทำ “นี่มันเลขาหรือทาสกันแน่!”
“ล้อเล่นน่ะ...ขืนให้เธอทำทั้งหมดมีหวังบริษัทพี่เจ๊งกันพอดี พี่ไม่ให้ทำอะไรยากๆ หรอก แต่ก็ต้องสอนบ้างเล็กๆ น้อยๆ เพื่อไม่ให้คุณย่าสงสัย” เขาพูดกลั้วหัวเราะกับคำเปรียบเปรยของเธอ
“แล้วต้องกินข้าวด้วยใช่ไหม พี่กัณบอกว่าพวกคุณกินข้าวเที่ยงด้วยกันทุกวัน นี่ฉันคงต้องทนกินอาหารเลี่ยนๆ กับคุณทุกมื้อเลยเหรอนี่” มนทิชาบ่นกระปอดกระแปด สำหรับเธอแล้วเรื่องกินคือเรื่องใหญ่ คิดว่าคนไฮโซอย่างจุลพัธน์คงจะเข้าภัตตาคารทุกมื้อ ดูแต่ตอนไปทานข้าวบ้านเขาสิ มีแต่อาหารหรูๆ ทั้งนั้น
“แล้วหนูมนอยากทานอะไรล่ะ ถ้าไม่อยากไปกินข้างนอกเดี๋ยวสั่งแม่ครัวเอามาเสิร์ฟในห้องทำงานก็ได้” เขาถามอย่างเอาใจ นึกขอบคุณกัณหาที่พูดให้เธอเข้าใจผิด
“คุณสั่งไปเถอะ ฉันจะทำปิ่นโตกินเอง แต่จะยอมนั่งเป็นเพื่อน”
“ได้ยังไงล่ะ หนูมนก็ทำเผื่อพี่ด้วยสิ” เขารีบบอกเมื่อได้ยินว่าเธอจะห่อปิ่นโต เพราะยังจำรสชาติแสนอร่อยของอาหารที่เธอทำได้ดี
“แหม...ได้คืบจะเอาศอก ก็ได้ๆ นี่เห็นแก่พี่กัณนะ”
“ครับๆๆๆ เห็นแก่คุณกัณ...เอาล่ะไปกันเถอะ กว่าจะลองชุดเสร็จก็คงจะเที่ยงพอดี พี่จะพาไปกินอะไรอร่อยๆ ก่อนเข้างานช่วงบ่าย” เขาฉุดมือเธอให้เดินตามออกไปเมื่อสมควรแก่เวลา โชคดีที่กัณหากับธัญธรเคลียร์งานสำคัญเสร็จก่อนไปเชียงใหม่และหามือฉมังอีกคนมานั่งหน้าห้อง จึงมีเวลาให้มนทิชาเต็มที่
และโดยเฉพาะการเตรียมตัวรับมือกับคุณหญิงพรพรรณ ซึ่งจะต้องทยอยทิ้งระเบิดลูกโตไว้ให้เขาได้แก้ปัญหาอีกแน่
“สวัสดีค่ะบอส”
“สวัสดีครับผู้จัดการ”
จุลพัธน์รับไหว้พนักงานด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตั้งแต่หน้าประตูบริษัทจนถึงทางเข้าประตูห้องทำงาน ซึ่งมีเลขาหน้าห้องนั่งอยู่กับแฟ้มเอกสารปึกใหญ่ เขาหันกลับไปกวักมือเรียกหญิงสาวที่เดินตามมาห่างๆ ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของบรรดาลูกน้องที่มักจะคอยจับผิดเสมอเมื่อเห็นเขาพาคนแปลกหน้ามาด้วย
“ไม่ต้องครับ” เขาโบกมือห้ามเมื่อพนักงานหญิงซึ่งเป็นผู้ช่วยของกัณหาขยับตัวเตรียมจะไปชงกาแฟตามหน้าที่ แล้วหยิบแฟ้มเอกสารจากจากโต๊ะของเลขาหน้าห้องขึ้นมาถือไว้เอง
“บอสจะให้ผมสอนงานคุณมนทิชาเลยใช่ไหมครับ?”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมจัดการเอง บ่ายสองเตรียมประชุมได้เลยนะ ใส่เรื่องพัฒนาบุคลากรเข้าไปในวาระด้วย”
“ครับ”
“มา...เรียนรู้งานกันได้แล้ว” เขาพยักหน้าเรียกมนทิชาที่ยืนจ้องแฟ้มเอกสารด้วยสายตาที่ฉายแวว ขี้เกียจ ออกมาชัดเจน ก็แน่ล่ะ ช่วงเวลานี้เธอควรจะได้ออกไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาตามประสาวัยรุ่น เพราะอย่างนี้เขาจึงต้องเรียกให้ปุณกันต์ ผู้ช่วยจากสาขาระยองมานั่งหน้าห้องแทนกัณหาเป็นการไถ่โทษ
มนทิชาเดินตามเข้าไปในห้องทำงานของเขาแล้วก็ทำตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อได้เห็นห้องทำงานที่โอ่งโถงราวกับยกบ้านหลังหนึ่งมาตั้งไว้ เพราะนอกจากโต๊ะทำงานไม้สักราคาเรือนแสนแล้ว ยังมีการกั้นห้องส่วนตัวทางด้านหลังอีก ซึ่งไม่พ้นจะเป็นห้องน้ำและห้องนอนเหมือนที่เธอเคยดูในละครแน่ๆ
ไม่น่าเชื่อว่าห้องของผู้จัดการที่เป็นผู้ชายจะติดม่านสีขาวเต็มผนังทั้งสี่ด้าน ภายในห้องตกแต่งด้วยศิลปะแบบโบราณ ซึ่งคงจะเป็นของแท้ทั้งหมด ภาพจิตรกรรมจากนักวาดชื่อดังแขวนอยู่บนผนังห้องอย่างเป็นระเบียบ ไม่ได้ดู “รก” เหมือนพิพิธภัณฑ์แต่อย่างใด
ต้องเป็นฝีมือของคุณธัญธรแน่ๆ เพราะตอนที่จัดงานในแกลลอรี่ของจีรพงศ์ เขาได้พิสูจน์ฝีมือมาแล้ว
“ไง...พูดไม่ออกเลยล่ะสิ น่าอยู่ไหมล่ะ”
“เจ๋งมากเลยลูกพี่” หญิงสาวเพิ่งจะพูดออกมาเป็นประโยคแรก เดินดุ่มๆ ตรงไปยังผนังกั้นห้องเพื่อสำรวจภายในให้ถ้วนทั่วตามประสาคนชอบศิลปะ
“เฮ้! อย่าเปิดนะ นั่นมันห้องนอน” จุลพัธน์วางแฟ้มแทบไม่ทันเมื่อเธอทำท่าเคลิบเคลิ้มลูบๆ คลำๆ รูปปั้นหน้าฉากกั้นห้องนอนด้วยความหลงใหล
“แหม...ดูหน่อยก็ไม่ได้ หรือว่าซ่อนอีหนูไว้ในห้อง ฮึ” มนทิชาหรี่ตาลง จับผิดชายหนุ่มที่ทำท่าอึกๆ อักๆ คิดว่าเขาอาจจะเคยนอกใจกัณหาแอบพาใครมาเล่นจ้ำจี้ที่นี่ตอนดึกๆ
ทันทีที่เปิดฉากกั้นเข้าไปเธอก็ตาค้างคำรบสองที่มองเห็นความวิจิตรตระการตาจากเตียงนอนขนาดใหญ่ซึ่งไม่น่าจะน้อยกว่าสิบฟุต ผ้าม่านสีขาวผูกปมอยู่บนเพดานห้อยระย้าลงระพื้นคล้ายกระโจมโบราณ ผนังห้องสลักอักขระอียิปต์โบราณและสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เธอเคยเห็นในหนังสือ
งดงามราวกับสุสานของฟาโรห์!
แต่...ผนังบนหัวเตียงมีสิ่งหนึ่งที่ไม่เข้ากันเลยแขวนอยู่ และนี่อาจเป็นสาเหตุที่เขาห้ามไม่ให้เธอเข้ามาก็เป็นได้
“ไม่อยากเชื่อนะว่าคุณจะเก็บมันไว้จริงๆ นึกว่าประมูลเล่นๆ ซะอีก” มนทิชายืนมองภาพวาด “ปีกแห่งความรัก” ของตัวเองที่บังอาจปะปนอยู่ท่ามกลางศิลปะล้ำค่าราคาแพงในห้องมหัศจรรย์นี้ด้วย แต่ก็ปลื้มนิดๆ ที่เขาไม่ได้ทิ้งขว้างอย่างที่นึกไว้ แต่กลับติดไว้บนหัวเตียงราวกับของมีค่า
“ตั้งสองแสน...ไม่เคยซื้อภาพของศิลปินโนเนมราคาแพงขนาดนี้มาก่อน” เมื่อห้ามไม่ทันเขาก็ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ปล่อยให้เธอเดินดูโน่นชมนี่อย่างสบายใจ
“แหม...แต่ขึ้นหิ้งเก็บไว้เลยนะ แอบปลื้มเราอยู่ก็ไม่บอก”
“หา!” จุลพัธน์ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ หลบสายตาอย่างมีพิรุธ “ใครจะไปชอบเด็กกะโปโล”
“ปลื้มค่ะ ไม่ใช่ชอบ คลั่งไคล้ในผลงาน...คิดอะไรอยู่ค้าพี่ชาย” เธอโน้มตัวชะโงกหน้าล้อเลียนเมื่อเขาตีความคำพูดของเธอเพี้ยนไป นึกขำที่เธอแค่พูดเล่นแต่เขาทำท่าตกอกตกใจจนเกินเหตุ
“นี่แน่ะ...” เขาใช้นิ้วมือเคาะศีรษะเธอด้วยความหมั่นเขี้ยว “เป็นเด็กเป็นเล็กริอาจล้อเลียนผู้ใหญ่ ทำงานได้แล้ว เดี๋ยวบ่ายสองมีประชุม ไปยกแฟ้มที่โต๊ะมา พี่อนุญาตให้ใช้ห้องนี้แต่ห้ามไปนอนทำงานบนเตียงนะ
ทำไมล่ะ?”
“ยังจะมาถามอีก”
"แหม...ทำเป็นหวง” หญิงสาวนิ่วหน้า แต่ก็เดินไปถือแฟ้มเอกสารเข้ามาแต่โดยดี
